อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินรู้สึกอิจฉาเจ้านกแก้วตัวที่เหล่าอี๋หนิงโหวซื้อมาเลี้ยง ก่อนจะหันมาเอ่ยถามว่า “อาฮวนอ้วนขึ้นบ้างแล้วหรือไม่ บัดนี้นางน่าจะนั่งได้แล้วใช่หรือไม่”
เจียงซื่อยิ้มขึ้น “บัดนี้นางคลานได้แล้วเจ้าค่ะ”
อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินตกตะลึง “อาฮวนยังอายุไม่ถึงแปดเดือนไม่ใช่หรือ นางคลานได้แล้วงั้นหรือ”
ว่ากันว่าพลิกตัวตอนสามเดือน นั่งตอนหกเดือน คืบตอนเจ็ดเดือนและคลานได้ตอนแปดเดือน นี่คือพัฒนาการทั่วไปของทารก ส่วนทารกที่เกิดในตระกูลมั่งคั่งมักจะพัฒนาการช้ากว่าเล็กน้อย มิใช่อื่นใด เป็นเพราะมีคนคอยรับใช้ปรนนิบัติเจ้านายน้อย จึงทำให้เกิดการเคลื่อนไหวพัฒนาช้ากว่าคนอื่น
“เจ้าค่ะ นางคลานได้ไกลทีเดียว” ตอนที่เจียงซื่อกล่าวถึงบุตรสาวของตนแววตานางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
การที่อาฮวนคลานเร็วกว่าคนอื่นนั้นนางไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร มีอยู่ครั้งหนึ่งนางเห็นกับตาว่าเอ้อร์หนิวใช้ปากอันใหญ่โตของมันผลักอาฮวนไปข้างหน้า แต่อาฮวนไม่อยากขยับเขยื้อน ดูเหมือนว่าจะหันไปขู่มันด้วย
เมื่อเห็นภาพบุตรสาวของตนถูกสุนัขตัวใหญ่ไล่ให้คลานไปข้างหน้าด้วยความยากลำบาก เจียงซื่อก็ได้แต่รู้สึกขบขัน
อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินกล่าวว่า “ดียิ่งนัก ช่างดีเหลือเกิน การที่เด็กๆ แข็งแรงดีกว่าสิ่งอื่นใด ตอนเจ้ายังเล็กนั้นเจ้าไม่ได้เป็นเช่นอาฮวน ทั้งบอบบางอ่อนแอดุจดั่งลูกแมว”
ดูเหมือนว่าอี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินจะนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ สายตาของนางเป็นประกาย
เจียงซื่อเม้มริมฝีปากเบาๆ นางดูลังเลเล็กน้อย
อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินเห็นถึงความผิดปกติไปจึงเอ่ยถามว่า “เป็นอะไรไปหรือ”
“ท่านยาย หลานรู้สึกว่าไทเฮาไม่ค่อยชื่นชอบหลานเท่าไรนัก…”
อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินชะงักลง จากนั้นมือของนางที่จับแก้วน้ำชาเอาไว้ก็บีบแน่น
เจียงซื่อรู้ดีว่าหากนางเอ่ยเพียงแค่ประโยคนี้คงไม่ดีนัก จึงได้กล่าวเสริมขึ้นช้าๆ ว่า “อาจิ่นได้กลายไปเป็นโอรสของฮองเฮา ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายกันแน่…”
มือของอี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินขยับเขยื้อนเล็กน้อย นางดูเงียบมากขึ้น
เจียงซื่อเอื้อมมือไปจับแขนของอี๋หนิงเหล่าฮูหยินเอาไว้ กระซิบเบาๆ ว่า “ท่านยาย การที่ไทเฮาไม่ชื่นชอบหลาน เป็นเพราะเรื่องในครานั้นของท่านแม่และองค์หญิงใหญ่หรงหยางหรือไม่”
อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินส่งสายตามองไปทางเจียงซื่อ อารมณ์ของนางดูหนักอึ้ง
“ท่านยาย…”
อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินยกมือขึ้นลูบศีรษะของเจียงซื่อราวกับว่านางยังเป็นเด็กน้อย น้ำเสียงดูแหบแห้งกล่าวขึ้นว่า “บางทีเจ้าอาจจะคิดมากจนเกินไป ไทเฮาจะไม่ชื่นชอบหลานได้อย่างไร เรื่องของแม่เจ้าและองค์หญิงใหญ่หรงหยาง แท้จริงแล้วเป็นความผิดของแม่ทัพชุย ไม่ได้เป็นความผิดของแม่เจ้า ไทเฮาเป็นคนฉลาดมีเหตุมีผล นางจะไม่ชื่นชอบเจ้าด้วยเหตุนี้ได้อย่างไร…”
เจียงซื่อกะพริบตาด้วยสายตาอันเจ้าเล่ห์ “เช่นนั้นหมายความว่าการที่ไทเฮาไม่ชื่นชอบหลานยังมีเหตุผลอื่นงั้นหรือ”
อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินหยุดลงชั่วครู่ก่อนจะยิ้มแล้วส่ายหน้า “เจ้าเด็กคนนี้ เหตุใดเจ้าจึงมั่นใจหนักหนาว่าไทเฮาไม่ชื่นชอบเจ้า”
เจียงซื่อผิดหวังเล็กน้อยอยู่ในใจ
ท่านยายไม่ยอมกล่าวสิ่งใดออกมาเลย ดูเหมือนในวันนี้นางจะกลับบ้านมือเปล่าอีกแล้ว
โชคดีที่นางเตรียมตัวมาแล้วก่อนหน้าจึงได้ยิ้มด้วยความขมขื่น “จะชื่นชอบหรือไม่นั้นหลานสัมผัสได้ หากเป็นคนอื่นก็ไม่เท่าไหร่ แต่นี่กลับเป็นไทเฮา หลานเกรงว่าในอนาคตอาจจะเดือดร้อนด้วยเหตุนี้…”
เมื่อรู้ว่านางไม่อาจเอ่ยถามสิ่งใดจากปากของอี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินได้ เจียงซื่อจึงได้เปลี่ยนเรื่องสนทนา ขณะเดียวกันอี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินแสดงอาการเหม่อลอยออกมา
เมื่อเจียงซื่อกล่าวอำลาและจากไป อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินก็นั่งอยู่ภายในห้องเพียงลำพังเป็นเวลาเนิ่นนาน ดูเหมือนนางจะมีเรื่องทุกข์ใจ
เหล่าอี๋หนิงโหวเดินถือกรงนกเข้ามาด้านใน เห็นดังนั้นก็ตกตะลึง “เป็นอะไรหรือ”
อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินได้สติกลับคืนมา “ไม่มีอะไร”
เหล่าอี๋หนิงโหววางกรงนกแขวนไว้ด้านข้างแล้วเดินตรงเข้าไป “ซื่อเอ๋อร์เดินทางมาหาเราเป็นเรื่องที่น่ายินดี เหตุใดข้ามองไปจึงรู้สึกว่าเจ้ามีเรื่องทุกข์ใจกัน”
อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินเงยหน้ามองดูเหล่าอี๋หนิงโหวแล้วถอนหายใจออกมา “ข้าเพียงรู้สึกว่าบัดนี้ซื่อเอ๋อร์เติบใหญ่แล้ว นางมีความคิดเป็นของตัวเองมากมายทีเดียว”
เหล่าอี๋หนิงโหวยิ้มขึ้นอย่างไม่ได้ใส่ใจ “บัดนี้ซื่อเอ๋อร์เองก็กลายเป็นแม่คนแล้ว แน่นอนว่านางต้องโตขึ้น อีกอย่างเจ้าไม่เห็นหรือว่าซื่อเอ๋อร์แต่งงานไปยังสถานที่แห่งใด ในราชวงศ์เดิมทีก็ไม่ได้เป็นที่สบายใจนัก ประกอบกับบัดนี้เยี่ยนอ๋องยังกลายเป็นโอรสของฮองเฮา ยิ่งไม่ต่างอันใดกับเดินบนน้ำแข็งบางๆ …”
อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินชะงักลงเล็กน้อย ผ่านไปเนิ่นนานนางจึงได้กล่าวขึ้นว่า “วันนี้ซื่อเอ๋อร์ร์กล่าวกับข้าว่าไทเฮาไม่ชื่นชอบนาง”
ดวงตาของอี๋หนิงโหวมืดหม่นลงเล็กน้อย “หืม มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ”
อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินพยักหน้า
เหล่าอี๋หนิงโหวเอามือตบลงไปที่โต๊ะแล้วกล่าวด้วยความโมโหว่า “ช่างรังแกกันเกินไปแล้ว ในตอนนั้นที่องค์หญิงใหญ่หรงหยางแย่งสามีของอาเคอไป ท้ายที่สุดแล้วนางก็ได้รับผลกรรมที่ตนก่อ ไทเฮาจะขุ่นเคืองและไม่ชื่นชอบซื่อเอ๋อร์เพียงด้วยเหตุผลเช่นนี้ ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก”
อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินพึมพำว่า “ข้าเกรงว่าจะไม่ใช่เพราะเรื่องนี้”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินได้สติกลับคืนมาแล้วส่ายหน้า “ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างไร”
เหล่าอี๋หนิงโหวกลับนึกขึ้นมาได้ถึงเรื่องบางอย่าง เขาขมวดคิ้วขึ้น “ข้าจำได้ว่าเจ้ากับไทเฮาเมื่อครั้นเยาว์วัยเคยสนิทสนมกัน เหตุใดภายหลังจึงขาดการติดต่อเล่า”
ในสมัยนั้นที่ไทเฮายังไม่ได้ออกเรือน นางมักจะมาที่จวนอี๋หนิงโหวเป็นประจำ ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงได้ตัดความสัมพันธ์และไม่ได้ติดต่อกันอีก บางครั้งเขาเอ่ยถึงเรื่องนี้ หญิงชราก็เลิกคิ้วจ้องมองเขา ดังนั้นหลังจากเอ่ยถามอยู่สองสามหน ในที่สุดเขาก็ไม่ได้เอ่ยถึงอีก
“ตอนที่สนิทสนมกันนั้นยังเล็กหนักหนา เมื่อเติบใหญ่ต่างมีความคิดเห็นเป็นของตนเองจึงไม่อาจเข้ากันได้” อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินกล่าวด้วยท่าทางเย็นชา แววตาของนางดุจดั่งมีน้ำแข็งปกคลุมช่างหนาวเหน็บยิ่งนัก
เหล่าอี๋หนิงโหวรู้อยู่ในใจว่าคงต้องมีเรื่องบางอย่างผิดปกติไปอย่างแน่นอน แต่ในเมื่อนางไม่อยากบอก เขาเองก็จนปัญญา ดังนั้นเขาจึงหันไปเปิดประตูกรงนกแล้วถอนหายใจว่า “ไม่ว่าพวกเจ้าเคยขัดแย้งกันเช่นไร หากว่าเรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อซื่อเอ๋อร์ ทางที่ดีเจ้าควรจะบอกหลานสักนิด อย่าให้ซื่อเอ๋อร์ถูกคนอื่นจัดการโดยที่นางไม่รู้เรื่องราวใดเลย…ข้าออกไปข้างนอกก่อน”
เหล่าอี๋หนิงโหวเดินถือกรงนกตรงออกไปข้างนอก ก่อนจะมีอีกน้ำเสียงหนึ่งดังขึ้นว่า “ข้าออกไปข้างนอกก่อน”
เหล่าอี๋หนิงโหวหยุดชะงักลงทันทีแล้วก้มลงมอง
นกแก้วในกรงเงยหน้าขึ้น มองดูช่างไร้เดียงสา
เหล่าอี๋หนิงโหวตื่นเต้นยิ่งนัก เขาชี้ไปที่กรงนกแล้วกล่าวว่า “นี่ยายเฒ่า เจ้าได้ยินหรือไม่ นกแก้วตัวนี้พูดได้แล้ว!”
อี๋หนิงโหวฮูหยินมองนกแก้วที่ดูซื่อบื้อตัวนั้นด้วยท่าทางอันสงสัย
“เจ้าลองว่ามาอีกประโยคสิ”
นกแก้วตัวนั้นเอียงศีรษะ มันไม่ส่งเสียงอันใด
เหล่าอี๋หนิงโหวครุ่นคิดแล้วลองกล่าวขึ้นว่า “ข้าออกไปข้างนอกก่อน”
“ข้าออกไปข้างนอกก่อน” นกแก้วตอบรับ
เหล่าอี๋หนิงโหวรู้สึกมีความสุขยิ่ง เขายิ้มเสียจนแทบมองไม่เห็นดวงตา “นกแก้วตัวนี้เฉลียวฉลาดยิ่งนัก ไม่เสียแรงที่ข้าซื้อมันมาด้วยเงินถึงสามร้อยตำลึง!”
“หืม สามร้อยตำลึงหรือ” สีหน้าท่าทางอันอยากรู้ของอี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินจางหายไปทันที แทนที่ด้วยไอสังหาร
แย่ล่ะสิ เผลอหลุดปากไปเสียได้!
“อ้อ ข้ามีธุระด่วน กลับมาค่อยว่ากัน”
เหล่าอี๋หนิงโหววิ่งออกไปข้างนอกพร้อมกับกรงนกแก้ว เหลือไว้เพียงอี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินที่ริมฝีปากสั่นเทา
เรื่องราวของซื่อเอ๋อร์ทำให้นางเป็นกังวลมากพอแล้ว ยังต้องมากังวลเรื่องตาเฒ่าเผาทรัพย์ผู้นี้อีก!
เมื่อคิดได้ดังนั้น อี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินก็รู้สึกอยากจะทุบหายทำลายกล่องความลับนั้นทิ้งแล้วไขความลับทั้งหมดออกมา
เจียงซื่อไม่พบข้อมูลใดจากอี๋หนิงโหวเหล่าฮูหยินเลย แต่นางก็ไม่ท้อใจและแอบคิดอยู่ในใจว่าอีกสองสามวันนางจะไปอีก น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน ไม่แน่ว่าสักวันท่านยายของตนอาจจะใจอ่อน
……
กาลเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไป ในที่สุดวันคล้ายวันคล้ายวันพระราชสมภพของไทเฮาก็ใกล้เข้ามาถึง
ในวันนี้ฉีอ๋องได้เชิญเซียงอ๋องมาดื่มน้ำชาในจวน
“วันคล้ายวันพระราชสมภพของท่านย่า น้องแปดเตรียมของขวัญเอาไว้แล้วหรือ”
เซียงอ๋องยิ้มขึ้น “ของขวัญไม่แตกต่างอันใดกับเมื่อปีที่แล้วนัก ของขวัญที่ข้ามักจะมอบให้ก็มีเพียงไม่กี่อย่าง”
เมื่อนึกถึงเรื่องโอรสของฮองเฮา หลายวันมานี้เซียงอ๋องอารมณ์ไม่ดีเอาเสียเลย จะมีเวลาครุ่นคิดเกี่ยวกับของขวัญในวันคล้ายวันพระราชสมภพของไทเฮาได้อย่างไรกันเล่า