บทที่ 573 น้ำลดตอผุด
หลงอีลากตัวไท่จื่อไปยังที่ลับตาคนแล้วจัดการไปยกหนึ่ง แม้จะไม่ได้ลงมือหนัก แต่ก็หนักพอที่จะทำให้ไท่จื่อเกิดอาการจุกได้
หลังจากเซียวฮองเฮากลับมาที่ตำหนักคุนหนิงก็เรียกให้เซียวเหิงเข้าเฝ้า
เซียวเหิงมิอาจเข้าเฝ้าที่ตำหนักคุนหนิงด้วยสถานะลูกท่านหลานเธอ พวกเขาจึงนัดพบกันตรงบริเวณที่อยู่ใกล้กับตำหนักฮว๋าชิง
เซียวฮองเฮานึกสงสัยและตั้งคำถามอย่างไม่หยุดหย่อนตั้งแต่ตอนออกมาจากตำหนักหลวง
ส่วนเซียวเหิงพอรู้ว่าถูกเรียกเข้าเฝ้า ก็ได้เข้าใจถึงประโยคที่ว่ากระดาษไม่อาจห่อไฟได้ เรื่องบางเรื่องไม่ช้าก็เร็วถึงเวลาก็ย่อมต้องเปิดเผย เขาไม่มีเรื่องอะไรที่ต้องปิดบังเซียวฮองเฮาอีกแล้ว
เซียวเหิงเริ่มต้นด้วยการเล่าเรื่องวีรกรรมของจิ้งไท่เฟย มีหลายอย่างที่องค์หญิงซิ่นหยางไม่ได้พูดถึง เช่น จิ้งไท่เฟยถูกฮ่องเต้สั่งประหาร
ก่อนหน้าที่เซียวเหิงจะเดินทางมาถึงที่นี่ เซียวฮองเฮาได้ทำใจไว้แล้วระดับนึงเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น พอเซียวเหิงเล่ามาว่าจิ้งไท่เฟยผู้ที่พระองค์เคยเคารพรักมาตลอดถูกฮ่องเต้สั่งประหาร จึงไม่ได้แสดงท่าทีตื่นตระหนกเท่าใดนัก
เพียงแต่อดใจหายไม่ได้ก็เท่านั้น
ใครๆ ต่างก็พูดกันว่าคนในราชวงศ์ล้วนเย็นชา แต่เซียวฮองเฮารู้ดีว่าฮ่องเต้เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์มากเพียงใด ดูไท่จื่อเป็นตัวอย่าง เพราะเติบโตมาด้วยความรักและเอ็นดูของฝ่าบาท เขาถึงได้ตกหลุมรักเวินหลินหลังอย่างโงหัวไม่ขึ้น
“แล้วองค์หญิงหนิงอันเล่า เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับนางรึ”
เซียวฮองเฮาดูจะกังวลกับองค์หญิงผู้นี้ที่ยังมีชีวิตอยู่ยิ่งกว่าเรื่องของจิ้งไท่เฟยที่จบไปแล้วเสียอีก “หนิงอัน…จงใจปองร้ายซิ่นหยางอย่างนั้นรึ”
เซียวเหิงส่ายหัว “ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับ”
องค์หญิงหนิงอันกลับมาเพื่อแก้แค้นก็จริง แต่เป้าหมายของนางมิใช่องค์หญิงซิ่นหยางแต่อย่างใด
ทั้งฝ่าบาท ท่านย่า กู้เจียว และตระกูลกู้…ล้วนเป็นคนที่องค์หญิงหนิงอันต้องการจะแก้แค้นมากที่สุด ฝ่าบาทและไทเฮาคือต้นเหตุที่ทำให้จิ้งไท่เฟยต้องตาย ส่วนกู้เจียวและกู้ฉังชิงคือผู้ที่ทำให้สามีของนางต้องตาย
เซียวฮองเฮาขมวดคิ้วโก่ง “เกี่ยวอะไรกับแม่นางกู้ด้วยล่ะ” สามคนที่เหลือพอเข้าใจได้ แต่คนที่ฆ่าหวงฝู่เจิงไม่ใช่กู้ฉังชิงหรอกรึ
“พวกอดีตราชวงศ์วางแผนล้มกองทัพตระกูลกู้ด้วยการแพร่เชื้อโรคระบาด ตอนเจียวเจียวกำลังรักษาผู้ป่วยอยู่นางเกิดติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว ระหว่างทางนางเกิดเป็นลม หวงฝู่เจิงจับตัวนางไป ก็เลยพลอยติดเชื้อไปด้วย แต่เจียวเจียวกลับไม่ให้ยารักษาแก่เขาขอรับ” เซียวเหิงเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง
พอเซียวฮองเฮาฟังจบก็ถึงกับเม้งแตก “สวะพรรค์นั้นไม่ควรได้รับยารักษาอยู่แล้ว! แล้วอย่างไรเล่า นางก็เลยผูกใจเจ็บคิดจะเอาคืนเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างนั้นรึ ก็ไหนโรคระบาดนี่พวกมันเป็นคนทำขึ้นมาเอง กรรมใดใครก่อกรรมนั้นคืนสนอง! เกี่ยวอะไรกันกับแม่นางกู้ด้วยเล่า!”
เซียวเหิงพูดด้วยน้ำเสียงใจเย็น “คนบางประเภทก็ไม่ฟังเหตุและผล ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำตัวเช่นนั้นหรอกขอรับ”
เซียวฮองเฮาถอนหายใจแรง “จริงของเจ้า พอคิดๆ ดูแล้ว ที่ตอนนั้นนางทิ้งหวงฝู่เจิงคงไม่ใช่เพราะจะตัดขาดกันหรอก แต่คงเป็นเพราะไม่มีทางเลือกแล้วต่างหาก”
เซียวเหิงเล่าต่อ “กระหม่อมได้ยินเจียวเจียวเล่าว่า ความสัมพันธ์ระหว่างองค์หญิงกับหวงฝู่เจิงตึงเครียดตั้งแต่ก่อนที่เขาจะได้รับการวินิจฉัยว่าติดโรคระบาด พอมาคิดดูแล้ว บางทีองค์หญิงอาจวางแผนไว้ทุกย่างก้าวตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วก็เป็นได้ขอรับ”
ขนาดหวงฝู่เจิงยังไม่อาจรู้ได้ว่าภรรยาของเขาคิดอะไรอยู่ และมองแค่ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาเริ่มห่างเหินก็เท่านั้น
“สตรีผู้นี้ มารยาเยอะยิ่งนัก…เหตุใดข้าถึงไม่เคยรู้ว่านางเป็นคนเล่ห์เหลี่ยมเยอะขนาดนี้มาก่อน” เซียวฮองเฮาขมวดคิ้ว รอยยิ้มที่สดใสขององค์หญิงหนิงอันตัวน้อยแวบเข้ามาในความคิดของฮองเฮา ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนเราจะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าได้ถึงเพียงนี้
จากนั้นเซียวเหิงก็เล่าเรื่องคดีหอเซียนเล่อ รวมถึงเรื่องที่องค์หญิงหนิงอันสังหารซุนผิง ปองร้ายฝ่าบาท ติดสินบนหลี่ซื่อหลังเพื่อใส่ร้ายเสนาธิการสิงและไทเฮา
แน่นอนว่าเขาไม่ลืมที่จะเล่าเรื่องที่องค์หญิงปลอมแปลงพระราชโองการของฝ่าบาทสองฉบับด้วย
เซียวฮองเฮากริ้วจนพระพักตร์เปลี่ยนสี “ทำแบบนี้ได้อย่างไรกัน! โอหังนัก!”
ฮองเฮากัดฟันด้วยความโกรธ และใช้เวลาพักใหญ่ในการระงับอารมณ์ จากนั้นเอ่ยถามเซียวเหิง “แล้วไทเฮาทรงเป็นอย่างไรบ้าง”
เซียวเหิงตอบ “ไม่เป็นไรแล้วขอรับ ทรงพำนักอยู่ที่ตรอกปี้สุ่ยอย่างปลอดภัยขอรับ”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” เซียวฮองเฮาถอนหายใจโล่งอก “พวกเจ้าเองก็ระวังตัวด้วย”
“พวกเราจะระวังตัวขอรับ”
จากนั้น เซียวฮองเฮาส่งแววตาฉงนปนตะลึงมาที่เขาอีกครั้ง “ไหนๆ ก็พูดถึงเรื่องนี้แล้ว พวกเจ้านี่ก็กล้าหาญกันเกินไป อย่าว่าแต่ไปเรียนรู้การปลอมราชโองการจากหนิงอันเลย ดูพวกเจ้าสิ กล้าที่จะจับคนมาปลอมตัวเป็นองค์หญิงซิ่นหยางได้อย่างไรกัน!”
มิน่าล่ะ เมื่อวานนี้องค์หญิงซิ่นหยางถึงได้ดูแปลกๆ คำพูดคำจาก็ดูแปลก มิหนำซ้ำจู่ๆ ก็เกิดเผลอหกล้มคะมำต่อหน้าต่อตาด้วย! ทุกคนในวังเห็นกันเต็มๆ ตา!
ถ้าซิ่นหยางรู้เรื่องนี้เข้า มีหวังคนพวกนั้นได้ถูกถลกหนังเป็นแน่!
แค่คิดก็สยองแทนคนพวกนั้นแล้ว
“แล้วหากแม่ของเจ้ากลับมาไม่ทันเวลา เจ้าจะจัดการกับสถานการณ์ในวังหลวงเมื่อเช้านี้อย่างไรกัน” เซียวฮองเฮาตั้งคำถาม
เรื่องนี้เซียวเหิงคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว
เมื่อวานนี้ หลังจากที่กู้เจียวและกู้เฉิงเฟิงกลับมาจากการติดตามองค์หญิงหนิงอัน พวกเขาพบว่ากระโปรงของกู้เฉิงเฟิงถูกดึงขาดรุ่ยเล็กน้อย พวกเขาจึงเดาว่าตัวตนของพวกเขาอาจถูกเปิดเผย
องค์หญิงหนิงอันจะต้องคิดเปิดโปงพวกเขาให้เร็วที่สุด
และช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดก็คือตอนที่องค์หญิงซิ่นหยางเข้าองค์ประชุม
ขณะที่พวกเขากำลังวางแผนกันอยู่นั้น องค์หญิงซิ่นหยางก็กลับมาพอดี
องค์หญิงกลับมาอย่างเงียบๆ ไม่ให้ใครรู้
เรื่องที่ควรพูดถึงก็คือ ตัวละครที่กู้เจียวปลอมตัวนั้นมีตัวตนอยู่จริงๆ ซึ่งก็คือบ่าวที่ชื่ออวี้เอ๋อร์ กู้เจียวสร้างหน้ากากขึ้นมาโดยเลียนแบบใบหน้าของอวี้เอ๋อร์
ระดับขุนนางฮั่นหลินที่ควบสองตำแหน่งอย่างเขาไม่มีทางปล่อยให้แผนมีรูรั่วได้อย่างแน่นอน
การที่เช้านี้องค์หญิงหนิงอันโวยวายในองค์ประชุมก็นับว่าหักมุมสุดๆ แล้ว องค์หญิงซิ่นหยางไม่ใช่คนที่เล่นงานได้ง่ายๆ เห็นนิ่งๆ แบบนั้นใช่ว่านางจะไม่คิดอะไร ถึงแม้จะไม่พอใจมากก็ตาม
เซียวฮองเฮาคาดไม่ถึงว่าเด็กๆ พวกนี้จะใจกล้าบ้าบิ่นได้ถึงเพียงนี้ ทั้งๆ ที่เสี่ยงแต่ก็จงใจพุ่งชน
ไม่รู้จะพูดว่าเป็นเพราะคราวนี้หนิงอันดวงตกหรือเพราะพวกเขาโชคดีกันแน่
เซียวฮองเฮาเอ่ยถามด้วยอารมณ์ค้างที่ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “พวกเจ้ามีแผนอะไรต่อ”
เซียวเหิงตอบ “ยังมีกลุ่มอำนาจลับอยู่ ขั้นตอนถัดไปคือการรวบพวกกลุ่มอำนาจลับนั้นขอรับ”
เซียวฮองเฮาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนถาม “กลุ่มอำนาจลับที่ว่ามาจากไหนกัน”
เซียวเหิงนิ่งอยู่พักหนึ่ง ก่อนตัดสินใจตอบ “แคว้นเยี่ยนขอรับ”
เซียวฮองเฮาถึงกับสูดปาก!
….
เรื่องที่ควรเล่าเซียวเหิงก็ได้เล่าออกไปหมดแล้ว เว้นเสียแต่เรื่องเดียวที่เขาไม่ได้เล่าก็คือ กลุ่มอำนาจลับของแคว้นเยี่ยนกำลังหมายตาเขาอยู่
ใช่ว่าเขาไม่กล้าบอกเซียวฮองเฮา เพียงแต่ เขาไม่รู้ควรเริ่มจากตรงไหน
เขากลัวว่าหากพูดถึงมัน อาจทำให้เขาเข้าใกล้ความจริงบางอย่างได้เร็วขึ้น
พบเจอกับความจริงที่เขาไม่ควรมองหาตั้งแต่แรก ทั้งยังกลัวว่า วันหนึ่ง เขาจะต้องห่างจากองค์หญิงซิ่นหยาง
มารดาที่แท้จริงสำหรับเขามีเพียงหนึ่งเดียว ซึ่งก็คือองค์หญิงซิ่นหยาง
……
ณ ตรอกปี้สุ่ย
กู้เจียวกำลังนั่งสัปหงกพร้อมกับมือที่กำลังปอกฝักข้าวโพด ที่นางมีสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่นเช่นนี้ก็เพราะเมื่อคืนหลงอีลากนางไปหักไส้ดินสอทั้งคืน กู้เจียวทั้งเพลียทั้งเหนื่อย เอาแต่นั่งยกหัวขึ้นลงราวกับไก่ที่กำลังจิกเมล็ดข้าว
ในตอนนั้นเอง กู้เฉิงเฟิงเข้ามานั่งใกล้ๆ พอดี ก่อนจะโบกมือให้ “นี่ แม่สาวน้อย!”
กู้เจียวไม่สนใจเขา ยังคงนั่งสัปหงกเหมือนเดิม
ขณะที่หัวของกู้เจียวอีกนิดเกือบจะทิ่มลงโต๊ะ กู้เฉิงเฟิงก็รีบเอาหลังมือมาป้องไว้
กู้เจียวหลับตาพร้อมกับสบถ “มือเจ้าแข็งชะมัด”
กู้เฉิงเฟิง ‘อุตส่าห์ช่วยไว้ยังมาพูดแบบนี้อีก! ปล่อยให้หัวฟาดโต๊ะไปเลยดีไหม!’
จากนั้นกู้เจียวก็นั่งตัวตรง
กู้เฉิงเฟิงมองด้วยสายตาสงสัย “เป็นอะไรไป”
“ข้านอนไม่อิ่ม” กู้เจียวเอ่ยพร้อมกับหาวหวอด “ตอนเช้าตื่นขึ้นมาก็รู้สึกเจ็บร้าวที่มือสุดๆ ”
กู้เฉิงเฟิงจุ๊ปากหนึ่งที จากนั้นหยิบฝักข้าวโพดที่กู้เจียวปอกไว้ครึ่งหนึ่งพร้อมเอ่ย “เด็กผู้หญิงอย่างเจ้าจะปวดมืออะไรนักหนา ไม่ได้เป็นผู้ชายสักหน่อย!”
“เป็นผู้หญิงแล้วปวดมือไม่ได้หรือไร” กู้เจียวย้อน
“ก็ผู้…” กู้เฉิงเฟิงที่เพิ่งระลึกได้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไปก็รีบกระแอมในลำคอแล้วเปลี่ยนเรื่องทันที “ข้าหิวแล้ว ไปดูดีกว่าว่ามีอะไรกินบ้าง!”
พูดจบก็รีบลุกออกไปจนเผลอหยิบฝักข้าวโพดติดมือไปด้วย
พอเซียวเหิงกลับมาก็เจอกับกู้เจียวที่อยู่ในสภาพฟุบหลับน้ำลายไหลเยิ้มบนโต๊ะ
เวลานี้ไม่มีใครอยู่ในเรือน กู้เสี่ยวเป่ากับแม่นางเหยาก็ไม่อยู่ คงออกไปดูไทเฮาเล่นไพ่กันหมด
เซียวเหิงหยุดยืนอยู่เบื้องหลังของกู้เจียว จากนั้นค่อยๆ อุ้มร่างเล็กไปที่ห้องนอนแล้ววางลงบนเตียง จัดแจงถอดเสื้อคลุมและรองเท้าออก แล้วหยิบผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้
กู้เจียวพลิกตัวไปทางเขาขณะที่เขากำลังแกะผมของนางออก ทำให้มือของเขาถูกแก้มอุ่นๆ ของนางทับเข้าพอดี
เขาสัมผัสได้ถึงผิวที่นุ่มนวลและละเอียดอ่อนจากฝ่ามือของนาง
หัวใจของเขาเหมือนถูกอะไรบางอย่างสะกิดเข้า
เขาหย่อนตัวนั่งลงข้างเตียงโดยไม่ขยับมือออก
ขณะที่มองคนตรงหน้า มุมปากของเขายกยิ้มอย่างไม่รู้ตัว
กู้เจียวกำลังหลับใหลในนิทรา
ในห้องที่อวลไปด้วยไออุ่นจากตะเกียง ไม่นานอุณหภูมิร่างกายของกู้เจียวก็สูงขึ้นจนพวงแก้มเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ
เซียวเหิงรู้สึกได้ถึงความร้อนจากฝ่ามือ เขามองใบหน้าคนเล็กพร้อมกับยื่นมืออีกข้างออกไปโดยไม่รู้ตัว และปัดเศษผมบนใบหน้าหวานออก
จากนั้น เขาค่อยๆ โน้มศีรษะลง
แต่ในขณะที่กำลังจะพรมจูบได้สำเร็จ จู่ๆ เซียวเหิงก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง จึงหันไปมองและเห็นใบหน้าที่สวมหน้ากากเข้ามาใกล้เขาด้วยดวงตาที่เบิกกว้างและเคร่งขรึมมองมาที่เขาอย่างสงสัย
เซียวเหิงผละออกแล้วรีบนั่งตัวตรง!
หลงอีก็เช่นกัน
เซียวเหิงนั่งที่เตียง ขณะที่หลงอีนั่งอยู่บนเก้าอี้เล็กของจิ้งคง
เซียวเหิงกะพริบตาปริบๆ พลางนึกย้อนเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ว่าหลงอีคงเห็นหมดแล้ว ใบหูของเขาเริ่มร้อนผ่าว และรีบพูดกับหลงอี “เจ้าทำแบบนี้ไม่ได้นะ”
หลงอีพยักหน้า
เซียวเหิงพูดต่อ “คนอื่นก็ทำแบบนี้ไม่ได้เช่นกัน”
หลงอีเงยหน้ามองฟ้า ครุ่นคิด ราวกับว่าฟังเข้าใจแล้วจริงๆ