บทที่ 574 เจียวเจียวและหลงอี (1)
กู้เจียวหลับยาวจนถึงช่วงบ่าย
ส่วนหลงอีถูกเซียวเหิงลากตัวออกไปแล้ว ในห้องจึงเหลือแค่กู้เจียวคนเดียว
กู้เจียวลุกขึ้นพร้อมกับหันซ้ายหันขวา แล้วครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง
“เอ๋ นี่ข้าง่วงจนขึ้นมาเองเลยหรือนี่”
วันนี้ ที่กั๋วจื่อเจียนและสำนักชิงเหอมีการเรียนการสอน ทว่ากู้เฉิงเฟิงช่วงนี้กำลังง่วนกับภารกิจกำจัดเนื้อร้ายให้กับกู้เจียว ก็เลยขอลาหยุดเรียนโดยการอ้างว่าป่วย
ตอนแรกกะจะลาแค่วันเดียว แต่ไปๆ มาๆ กลับยืดเยื้อเป็นสองวันเสียอย่างนั้น
กู้เจียวเดินออกมาจากห้องนอน ก็เจอกู้เฉิงเฟิงกำลังผ่าฟืนอยู่ที่ลานหลังเรือน พอกู้เฉิงเฟิงเห็นกู้เจียวก็หยุดงานในมือลงและโบกมือให้กู้เจียวเข้าไปใกล้ๆ
“มีเรื่องอะไร” กู้เจียวถามพร้อมกับเดินเข้าไปหา
กู้เฉิงเฟิงมองไปรอบๆ ก่อนจะกระซิบ “มานี่สิ ข้ามีเรื่องจะบอกเจ้า”
“เรื่องอะไร” กู้เจียวหยุดฝีเท้าลง
กู้เฉิงเฟิงจุ๊ปากหนึ่งที วางขวานลงแล้วใช้ผ้าเช็ดมือ จากนั้นเดินเข้าไปใกล้ๆ หูของนางแล้วเอ่ยเบาๆ “คือว่า…”
ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร จู่ๆ ปรากฏร่างสูงลงมาจากฟ้าคว้าคอเสื้อแล้วเหวี่ยงเขาออกไป
กู้เฉิงเฟิงผู้ซึ่งถูกโยนและแขวนไว้บนกิ่งไม้ถึงกับทำหน้าเหวอ
เกิดอะไรขึ้น
กู้เจียวอุทานด้วยความงุนงง
นี่เขาไปทำอะไรให้หลงอีไม่พอใจหรือเปล่านะ
ต่อมาไม่นาน จิ้งคงก็เดินทางกลับมาถึงที่เรือน
“เจียวเจียว เจียวเจียว! วันนี้ข้ามีสอบด้วยล่ะ!”
เจ้าตัวเล็กวิ่งเตาะแตะมาที่ลานหลังเรือนพร้อมกับยื่นกระดาษสอบให้กู้เจียว
ตามคาด เขาสอบได้ที่หนึ่งเช่นเคย
กู้เจียวยื่นมือยีหัวเจ้าตัวเล็ก “จิ้งคงเก่งจริงๆ เลย”
จิ้งคงก้มหน้าลงด้วยความเขินอายพร้อมกับเอานิ้วชี้จิ้มเข้าหากัน “ขอจุ๊บเจียวเจียวหน่อย”
จากนั้น จิ้งคงก็ถูกหลงอีอุ้มไป
กู้เจียวมองตามเงาของทั้งสองคนพร้อมกับเอามือลูบคาง
ในตอนนั้นเอง เซียวเหิงกลับมาที่เรือนพร้อมกับตะกร้าไข่ไก่แล้วยื่นให้กู้เจียวด้วยสีหน้าดังเดิม “ยายเฒ่าโจวให้ไข่ไก่มา บอกว่าขอบคุณที่คราวก่อนเจ้าช่วยรักษาอาการป่วยให้หลานแกน่ะ”
กู้เจียวจ้องเขากลับ “งั้นรึ”
“เอ่อ ก็ใช่น่ะสิ” เซียวเหิงชักตะกร้ากลับ “ข้าเอาไปวางไว้ที่ห้องครัวนะ”
แล้วเขาก็เดินผ่านกู้เจียวไป
กู้เจียวหันตามเขาก่อนจะเอ่ยทัก “เจ้าได้ไปพูดอะไรกับหลงอีไว้รึ”
“พูดเรื่องอะไร” เซียวเหิงวางตะกร้าบนเตาอย่างใจเย็น เปิดโหลไข่ใบเล็กและใส่ไข่ทีละฟอง
กู้เจียวถามต่อ “แล้วทำไมหลงอีถึงไม่ให้ใครเข้าใกล้ข้าเลย”
เซียวเหิงหันหลังให้กู้เจียวแล้ววางไข่ลง มุมปากของเขาม้วนขึ้นโดยไม่รู้ตัว จากนั้นเขาก็หันใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกอีกครั้งมาที่นาง “งั้นรึ”
“อื้อ” กู้เจียวพยักหน้า
เซียวเหิงยังคงเอ่ยหน้าตาย “บางทีหลงอีอาจจะแค่เล่นกับพวกเขาก็ได้”
กู้เจียวครุ่นคิด “อ้อ”
หลังจากที่เซียวเหิงวางไข่ฟองสุดท้ายเสร็จก็หันไปมองกู้เจียว ก็เห็นว่านางกำลังยืนพิงเตาและครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แสงจากดวงอาทิตย์อัสดงส่องเข้ามาจากประตูทางเข้าและตกกระทบกับรูปร่างที่สมบูรณ์แบบของนาง เผยให้เห็นทรวดทรงอันผอมเพรียวและใบหน้าที่เปล่งประกายแวววาว
นันย์ตาเซียวเหิงเริ่มสั่นไหว “คือว่า…”
“หืม” กู้เจียวมองเขาอย่างสงสัย
“ตรงนั้น…” เซียวเหิงชี้ไปที่จอนผมของนาง
กู้เจียวยกมือแตะตามที่เขาชี้ แต่ก็แตะไม่เจออะไร
เซียวเหิงเดินเข้าไปใกล้ๆ พร้อมกับยื่นมือข้างซ้ายที่ไม่ได้จับไข่ไก่ออกมา คว้าเอาเจ้าใบไม้ที่ไม่รู้ลอยมาติดจอนผมร่างเล็กตั้งแต่เมื่อไหร่ออก
ทั้งสองยืนแนบชิดกันจนทั้งห้องได้ยินแต่เสียงลมหายใจของอีกฝ่าย
เซียวเหิงก้มหน้าลงจนเกือบจะจุมพิตเข้าที่หน้าผากคนตรงหน้าได้
“มันคืออะไรรึ” กู้เจียวเงยหน้ามองเขา
เซียวเหิงจ้องมองใบหน้าที่อยู่ใกล้แค่นิดเดียว หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้น และค่อยๆ โน้มตัวเข้าไปใกล้ๆ
ในวินาทีถัดมา เงาดำก็แวบผ่านมา และแล้วเซียวเหิงก็ถูกหลงอีลากไปเช่นกัน!
เซียวเหิง “…?!”
คนอื่นในความหมายของเซียวเหิงคือใครก็ได้ ที่ไม่ใช่ตัวเขา
ขณะที่คนอื่นของหลงอีก็คือทุกคนนั่นเอง
…
ตกบ่าย กู้เจียวแวะไปที่ร้านตีเหล็ก จากนั้นยื่นแบบพิมพ์เขียวให้กับช่างตีเหล็ก
ช่างตีเหล็กมองพิมพ์เขียวด้วยความสงสัย “พวกข้าไม่เคยทำของแบบนี้มาก่อน”
กู้เจียวถาม “ทำให้ได้ไหม”
ช่างตอบ “ไอ้ทำน่ะมันทำได้ เพียงแต่…ทำออกมาอาจไม่สวยเท่าพิมพ์เขียวของเจ้า”
กู้เจียวเอ่ย “ทำไปก่อน ค่อยว่ากัน”
“ได้เลย!”
จากนั้นกู้เจียวมาที่โรงหมอ
นางเปิดกล่องยาออก ดูยาปฐมพยาบาลที่มีอยู่เต็มกล่องพร้อมขมวดคิ้ว “ยังไม่มีอุปกรณ์สำหรับทำเบ้าขาเทียมอีกรึ นี่จะให้ข้าสร้างขึ้นมาเองจริงอย่างนั้นหรือ”
ขณะที่กำลังบ่นพึมพำ เถ้าแก่รองก็วิ่งลุกลี้ลุกลนเข้ามาพร้อมตะโกนร้อง “เสี่ยวกู้! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
กู้เจียวเดินออกมาจากห้อง “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือน! เมื่อครู่นี้มีคนจากวังเข้ามาหาคนไข้ของเรา แล้วบังเอิญว่าเขาเป็นทหารองครักษ์ของวังพอดี เห็นบอกว่าเกิดเรื่องขึ้นที่วัง ฮองเฮาเรียกตัวเขากลับวังโดยด่วน!”
ณ ตำหนักปี้สยา
องค์หญิงหนิงอันผู้ถูกองค์หญิงซิ่นหยางตบจนร่วงลงจากบันไดเมื่อวานนี้จนมีรอยฟกช้ำทั่วร่างกายกำลังคว้ากริชจ่อที่คอของฉินฉู่อวี้
แถมยังมีสายลับฝีมือดีราวสิบคนยืนอยู่เบื้องหลังของนางเพื่อป้องกันไม่ให้ใครมาคว้าร่างของฉินฉู่อวี้ออกไปได้
องครักษ์และพลธนูจำนวนมากซุ่มโจมตีอยู่นอกตำหนักปี้สยา
องค์หญิงหนิงอันหันไปทางเซียวฮองเฮาและเอ่ยอย่างไม่เกรงกลัว “อย่าคิดทำอะไรบุ่มบ่ามเป็นอันขาด ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเจ้าหากข้าตาย แต่ไม่มีใครรับประกันได้ว่าข้าจะไม่เผลอพลั้งมือเชือดคอลูกชายของเจ้า”
เซียวฮองเฮาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าองค์หญิงหนิงอันจะลงมือเร็วขนาดนี้ ไม่รู้เป็นเพราะซ่อนไว้ไม่อยู่แล้วหรืออะไรถึงได้เลิกเล่นละครและเผยธาตุแท้ออกมาเช่นนี้
ต้องยอมรับว่าไม่มีใครใจเด็ดได้เท่าหนิงอันอีกแล้ว
ช่างเป็นสตรีที่ใจกล้าหน้าด้านยิ่งนัก!
หลังจากที่องค์หญิงหนิงอันถูกกักบริเวณในตำหนักปี้สยา นางก็เริ่มประเมินความเป็นไปได้แล้วว่าจะเดินหน้าอย่างไรต่อ ในเมื่อองค์หญิงซิ่นหยางแสดงความแข็งแกร่งที่ไร้เทียมทานออกมาอย่างชัดเจนขนาดนั้น แม้ฮ่องเต้จะเอ็นดูนาง แต่ซิ่นหยางกลับไม่เป็นแบบนั้น
ไม่ช้าก็เร็ว ตัวตนของนางจะต้องถูกเปิดเผย
นางยอมเปิดฉากฆ่าพวกมันให้ประหลาดใจกันเล่นๆ ก่อน ดีกว่าอยู่เฉยๆ รอให้จนมุม!
“เสด็จแม่ ข้ากลัว…ฮือ ฮือ…”
ฉินฉู่อวี้ตกใจกลัวจนร้องไห้เสียงดัง
หัวใจของเซียวฮองเฮาผู้เป็นแม่แทบจะแตกสลาย ขณะเดียวกันก็อยากจะฉีกร่างของสตรีร้ายตรงหน้านี้เป็นชิ้นๆ !
ถ้าเป็นท่านพี่จะทำอย่างไร
ท่านพี่คงบอกว่า ไม่ต้องร้องไห้ ลูกผู้ชายอกสามศอกอย่าได้เสียน้ำตาเป็นอันขาด
“ไม่ต้องร้องแล้ว!” เซียวฮองเฮาสูดหายใจลึก “เจ้าเป็นองค์ชายนะ! เลิกร้องไห้เดี๋ยวนี้!”
“ข้าทำไม่ได้…ฮือ ฮือ ฮือ…” ฉินฉู่อวี้ผวาจนร้องไห้หนักกว่าเดิม
เซียวฮองเฮาทั้งโกรธและเสียใจ พยายามกลั้นอารมณ์ไว้ในใจ และมองไปที่หนิงอันอย่างเย็นชา “เจ้าต้องการอะไรกันแน่”
องค์หญิงหนิงอันตรัสอย่างเย็นชา “เตรียมรถม้าให้พร้อมแล้วพาพวกเราออกจากเมือง! ห้ามมิให้ผู้ใดตามไป ไม่เช่นนั้น ลูกชายของเจ้ากับข้าจะต้องตายพร้อมกัน!”
ซูกงกงมองไปทางฮองเฮาด้วยแววตากังวล
เซียวฮองเฮากำหมัดแน่น ก่อนออกคำสั่ง “…ไปเตรียมรถม้า!”
องค์หญิงหนิงอันตรัสเสียงแผ่วเบา “เหลียนเอ๋อร์ ไปเอาตัวเสียนเอ๋อร์มาเดี๋ยวนี้”
เหลียนเอ๋อร์ยืนผวาน้ำตาคลอเบ้าอยู่ด้านข้างตั้งแต่แรกเริ่มเพราะไม่เคยเห็นมุมนี้ขององค์หญิงมาก่อน
องค์หญิงหนิงอันเริ่มตะคอก “มัวแต่ยืนอึ้งอยู่ได้! ยังไม่รีบไปอีก!”
เหลียนเอ๋อร์ตัวสั่นจนน้ำตาเม็ดใหญ่ร่วงไหลลงมา
“…เพคะ เพคะ”
“องค์ชาย องค์ชายเพคะ” เหลียนเอ๋อร์เดินเข้าไปในห้องด้วยความงุนงง และมาที่ข้างเตียงพร้อมกับสะอื้นไห้
แต่ไร้การตอบสนองจากหวงฝู่เสียน
เหลียนเอ๋อร์ยื่นมือออกไปแตะหน้าผากของเขา และสีพระพักตร์ของนางก็ปลี่ยนไป “องค์หญิง! องค์ชายทรงประชวรเพคะ! ตัวร้อนจี๋เลย! รีบตามหมอหลวงมาเถิดเพคะ!”
เซียวฮองเฮาได้ยินดังนั้นก็รีบตรัส “หนิงอัน มีอะไรก็พูดคุยกันดีๆ เถอะ สุขภาพของเด็กเป็นสิ่งสำคัญ ข้าจะเรียกหมอหลวงมาให้ก่อน ให้เสียนเอ๋อร์รักษาตัวก่อน”
“ไม่ต้อง!” องค์หญิงหนิงอันตรัสด้วยน้ำเสียงเย็นชา ก่อนหันไปทางสายลับของนาง “เจ้าไปช่วยที”
หนึ่งในสายลับเดินเข้าไปในห้องแล้วอุ้มหวงฝู่เสียนมาวางลงบนรถเข็น
หวงฝู่เสียนถูกเข็นออกมาด้วยสภาพซีดเซียว
“รถม้าล่ะ!” องค์หญิงหนิงอันจี้กริชไปที่ลำคอของฉินฉู่อวี้อีกครั้ง
“อ๊าก!” คราวนี้ฉินฉู่อวี้ร้องไห้หนักกว่าเดิม!
เซียวฮองเฮาได้แต่ใจสลาย พร้อมกัดฟัน “ซูฉี่อัน ไปเตรียมรถม้าให้องค์หญิงหนิงอัน! ต้องเป็นรถที่เสียนเอ๋อร์ใช้ได้ด้วย”
จากนั้นซูกงกงก็ได้เตรียมรถม้าและเข้าจอด
จากนั้นเหล่าสายลับขององค์หญิงก็จัดแจงเขนหวงฝู่เสียนขึ้นรถม้า ส่วนองค์หญิงก็คว้าตัวฉินฉู่อวี้ไว้เป็นตัวประกันแล้วเดินขึ้นตาม
“เหลียนเอ๋อร์ ขึ้นมา”
เหลียนเอ๋อร์จำใจเดินขึ้นรถทั้งน้ำตา
องค์หญิงหนิงอันเปิดม่านออกแล้วตรัสกับเซียวฮองเฮา “ห้ามให้ใครตามมาเด็ดขาด หากเจอหนึ่งครั้ง ข้าจะตัดนิ้วเจ้าเด็กนี่ออกหนึ่งนิ้ว!”
…
“องค์ชายเจ็ดถูกลักพาตัวรึ ออกไปทางประตูไหน” เซียวเหิงเอ่ยถามฉินกงกงที่มารายงานข่าว
“ประตูเมืองฝั่งตะวันตก เท่าที่ทราบจากทหารที่เฝ้าประตูเมืองนะขอรับ”
“ฝั่งตะวันตกอย่างนั้นรึ” จากนั้นเซียวเหิงก็ทำท่ามองหาอะไรบางอย่าง
กู้เจียวเห็นดังนั้นจึงหยิบแผนที่ขึ้นมากางให้
เซียวเหิงพยักหน้าให้นาง “ขอบใจเจ้ามาก”
เขาชี้นิ้วไปที่ถนนที่มุ่งหน้าออกจากประตูเมืองฝั่งตะวันตก “ถนนชางเป้ย ภูเขาชางเป้ย ศาลาเฟิ่งหวง…ม้าของพวกเขาถ้าวิ่งถึงตรงนี้ก็น่าจะเริ่มหมดแรงแล้ว บริเวณนั้นมีจุดพักม้าอยู่ หากพวกเขาจะเปลี่ยนม้าก็ต้องหยุดพักที่นี่”
กู้เจียวเอ่ยถาม “แล้วถ้าพวกเขาไม่เปลี่ยนม้าล่ะ”
เซียวเหิงขมวดคิ้ว “ถ้าไม่เปลี่ยนม้า ก็คงจะลำบากหน่อย”
การจัดการกับหนิงอันนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่นางเป็นผู้หญิงที่บ้าคลั่ง หากพวกเขาใจร้อนเกินอาจเกิดอันตรายกับฉินฉู่อวี้ได้
อีกทั้งยังมีหวงฝู่เสียนที่บาดเจ็บอยู่ด้วย ดังนั้นความปลอดภัยของเด็กทั้งสองจึงเป็นเรื่องที่น่ากังวล
ถ้าจะให้ต่อสู้กันระหว่างทางคงอันตรายมาก แต่ถ้าให้พวกนั้นหยุดอยู่กับที่ อาจจะยังพอหาช่องโหว่ได้