ตอนที่ 697 ข้ออ้าง

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 697 ข้ออ้าง

เขายังคิดอยู่เลยว่าคุณหนูเปี่ยวเก่งกาจถึงเพียงนี้ ไม่มีทางได้รับบาดเจ็บหนักอย่างแน่นอน ทว่า เมื่อเห็นสภาพของไป๋ชิงเหยียนในตอนนี้ เขาเริ่มสงสัยแล้วว่าข่าวลือที่ลือกันอาจเป็นความจริง!

“คุณหนูเปี่ยว…” สือฮุ่ยสู่เอ่ยเรียกไป๋ชิงเหยียนอย่างเป็นกังวล

ไป๋ชิงเหยียนยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “แม่ทัพสือไม่ต้องมากพิธี เชิญนั่งลงเถิด แม่ทัพสือมาพบข้าเช่นนี้แสดงว่าท่านน้าชายมีเรื่องสำคัญฝากมาให้ข้าใช่หรือไม่”

สือฮุ่ยสู่ยกมือคารวะไป๋ชิงเหยียน “ครั้งนี้ใต้เท้าต่งไม่ได้กำชับสิ่งใดมาขอรับ ทว่า ระหว่างที่ข้าเดินทางมาที่นี่ ข้าพบหมอที่เดินทางมาจากเมืองหวาหยาง หมอผู้นั้นบอกว่าเมืองหวาหยางเกิดโรคระบาดขึ้น สัตว์เลี้ยงในเมืองหวาหยางค่อยๆ ล้มตายไปทีละตัวสองตัว ต่อมาผู้คนเริ่มล้มป่วยมากขึ้นเรื่อยๆ หมอตรวจดูจึงพบว่าคือโรคระบาด พวกเขาจึงใส่ผ้าปิดปากพาครอบครัวหนีออกมาจากเมืองหวาหยางขอรับ”

เมื่อไป๋ชิงเหยียนได้ยิน ใจของหญิงสาวกระตุกวูบทันที เมืองหวาหยางเกิดโรคระบาดขึ้นอย่างนั้นหรือ

“เรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด” ไป๋ชิงเหยียนเงยหน้ามองไปทางสือฮุ่ยสู่

“หมอผู้นั้นกล่าวว่าสัตว์เริ่มล้มตายตั้งแต่เดือนเก้า ผู้คนเริ่มล้มป่วยประมาณช่วงวันที่สิบห้า เดือนสิบขอรับ หมอผู้นั้นพาครอบครัวหนีออกมาจากหวาหยางในวันที่ยี่สิบ เดือนสิบ ข้าพบหมอผู้นั้นในช่วงกลางดึกของวันนั้น หมอเตือนข้าไม่ให้เข้าไปในเมืองหวาหยางขอรับ”

“ขณะที่ข้าเดินทางอ้อมเมืองหวาหยาง ข้าพบชาวบ้านเร่ร่อนกลุ่มหนึ่งจึงส่งคนไปสืบเรื่องราว ชาวบ้านเร่ร่อนกลุ่มนั้นกล่าวว่าพวกเขาคือคนเมืองหวาหยาง หมอในเมืองต่างหนีออกจากเมืองไปหมดแล้ว กล่าวว่าเมืองหวาหยางมีโรคระบาด พวกเขากลัวว่าเมืองหวาหยางจะถูกปิดตาย พวกเขาต้องนอนรอความตายอยู่ในเมืองจึงเก็บสัมภาระหลบหนีออกมาจากเมือง ตั้งใจว่าจะมุ่งหน้ามายังซั่วหยางขอรับ พวกเขาได้ยินว่าองค์หญิงเจิ้นกั๋วกำลังฝึกฝนชาวบ้านปราบปรามโจรป่าในซั่วหยาง พวกเขาจึงอยากมาขออาศัยข้าวกินขอรับ”

สือฮุ่ยสู่มองไป๋ชิงเหยียนด้วยสายตาจริงจัง “คุณหนูเปี่ยว ข้ากลัวว่าชาวบ้านเร่ร่อนกลุ่มนั้นจะติดโรคระบาดมาแล้ว หากให้พวกเขาเข้ามาในเมือง ซั่วหยางอาจพลอยเดือดร้อนไปด้วย วันหน้าหากสถานการณ์โรคระบาดในเมืองหวาหยางร้ายแรงมากขึ้น คงมีชาวบ้านอีกมากมายในเมืองหวาหยางอพยพมายังเมืองซั่วหยาง คุณหนูเปี่ยวควรเตรียมพร้อมรับมือไว้แต่เนิ่นๆ ขอรับ”

ไป๋ชิงเหยียนรู้ดีว่าสือฮุ่ยสู่บอกเรื่องนี้กับนางเพราะหวังดีต่อเมืองซั่วหยาง

โรคระบาดไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย หากปล่อยให้ชาวบ้านที่ติดเชื้อเข้ามาในเมืองซั่วหยาง ชาวบ้านในเมืองซั่วหยางต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วยแน่ๆ

“ชุนเถา เจ้าไปบอกให้ลุงผิงไปเชิญเจ้าเมืองเสิ่นและนายอำเภอโจวมาที่จวนไป๋ที” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวจบจึงมองไปทางสือฮุ่ยสู่ “รบกวนใต้เท้าสือไปพบเจ้าเมืองเสิ่นและนายอำเภอโจวกับข้าด้วย”

“ขอรับ!” สือฮุ่ยสู่กำหมัดรับคำ

“หากเมืองหวาหยางเกิดโรคระบาดขึ้นจริง องค์รัชทายาทคงได้รับรายงานเรื่องนี้แล้ว หวังว่าพระองค์จะจัดการเรื่องนี้อย่างเหมาะสม” ไป๋ชิงเหยียนกำหมัดแน่น

เมื่อเจ้าเมืองและนายอำเภอโจวได้ยินว่าไป๋ชิงเหยียนต้องการพบตัว พวกเขาจึงรีบตามหลูผิงมาที่จวนไป๋ทันที

ตอนที่เจ้าเมืองเสิ่นและนายอำเภอโจวมาถึงจวนไป๋ ไป๋ชิงเหยียนและสือฮุ่ยสู่นั่งรออยู่ในโถงรับรองหลักแล้ว นายอำเภอโจวรีบทำความเคารพไป๋ชิงเหยียน เดิมทีเขาอยากบอกไป๋ชิงเหยียนว่าเขาเตรียมของบำรุงใดมามอบให้ไป๋ชิงเหยียนบ้าง ทว่า ไป๋ชิงเหยียนกลับกล่าวขึ้นก่อน “ท่านทั้งสองเชิญนั่ง ข้าเรียกท่านทั้งสองมาในวันนี้เพราะมีเรื่องต้องการปรึกษา! ผู้นี้คือ…”

ไป๋ชิงเหยียนชี้ไปทางสือฮุ่ยสู่ “ผู้นี้คือลูกน้องของท่านน้าชายที่เป็นผู้ตรวจการเมืองเติงโจวของข้า ระหว่างที่แม่ทัพสือเดินทางมายังซั่วหยาง เขาผ่านเมืองหวาหยางและได้ยินว่าเมืองหวาหยางเกิดโรคระบาดขึ้น มีชาวบ้านบางส่วนเริ่มอพยพมุ่งหน้ามายังเมืองซั่วหยางแล้วเพราะได้ยินว่าหากมาฝึกทหารที่ซั่วหยางจะไม่อดตาย”

เมื่อเจ้าเมืองได้ยินเช่นนี้จึงเงยหน้าขึ้นทันที

สือฮุ่ยสู่เล่าเรื่องที่เขาพบหมอจากหวาหยางระหว่างทางให้เจ้าเมืองเสิ่นและนายอำเภอโจวฟังอีกครั้ง

ฝ่ามือของนายอำเภอโจวชื้นไปด้วยเหงื่อ เขาเช็ดฝ่ามือลงบนชุดขุนนางของตัวเอง “ให้ท่านเจ้าเมืองถวายฎีกาไปขอความเห็นจากองค์รัชทายาทว่าควรจัดการเรื่องนี้เช่นไรดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

“องค์รัชทายาทประทับอยู่ในเมืองหลวง เมืองหลวงใกล้หวาหยางมากกว่าซั่วหยาง พระองค์คงได้รับรายงานเรื่องนี้แล้ว พวกเราควรปรึกษากันว่าจะปกป้องเมืองซั่วหยางไว้ได้อย่างไร” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวเสียงสงบนิ่ง

“องค์หญิงเจิ้นกั๋วทรงหมายความว่าจะไม่ปล่อยให้ชาวบ้านเร่ร่อนเข้ามาในซั่วหยางหรือพ่ะย่ะค่ะ” เจ้าเมืองเสิ่นได้สติอย่างรวดเร็ว

ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า “สร้างกระโจมที่พักชั่วคราวให้ชาวบ้านที่อพยพมาจากเมืองหวาหยางที่นอกเมืองซั่วหยาง หากชาวบ้านเหล่านั้นติดเชื้อ ให้ส่งหมอออกไปรักษาพวกเขา จัดหาอาหารให้พวกเขา อย่าให้พวกเขาความก่อความวุ่นวายเพราะความหิวโหยเด็ดขาด! ข้าทำเรื่องนี้คนเดียวไม่ได้ รบกวนท่านทั้งสองด้วย”

“องค์หญิงเจิ้นกั๋วไม่ต้องกังวลพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะจัดการเรื่องนี้อย่างดีที่สุด…” เจ้าเมืองเสิ่นยกมือคารวะไป๋ชิงเหยียน

นายอำเภอโจวเห็นดังนั้นจึงรีบแสดงความจริงใจบ้าง “กระหม่อมก็จะทำสุดความสามารถเช่นเดียวกันพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงเจิ้นกั๋วทรงพักฟื้นร่างกายให้เต็มที่ ไม่ต้องกังวลเรื่องเหล่านี้หรอกพ่ะย่ะค่ะ หากพวกกระหม่อมทำให้องค์หญิงเจิ้นกั๋วต้องทุกข์กับปัญหาเหล่านี้จนไม่มีเวลาพักผ่อน ถือเป็นความผิดใหญ่หลวงของพวกกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”

นายอำเภอโจวกล่าวด้วยท่าทีจริงใจอย่างสุดซึ้ง ขนาดสือฮุ่ยสู่เห็นยังเข้าใจว่านายอำเภอโจวผู้นี้เป็นห่วงไป๋ชิงเหยียนจริงๆ

สือฮุ่ยสู่พยักหน้าอย่างวางใจ เขาคิดว่าหากมีขุนนางเช่นนี้อยู่ในซั่วหยาง ต่อให้ชาวบ้านที่ติดเชื้อโรคระบาดอพยพมายังซั่วหยางก็คงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อันใด

“อาการบาดเจ็บของข้าไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญในตอนนี้คือจะปกป้องความปลอดภัยของชาวบ้านซั่วหยางและดูแลชาวบ้านที่กำลังจะอพยพมายังซั่วหยางเช่นไรต่างหาก” ไป๋ชิงเหยียนมองไปทางนายอำเภอโจว “นายอำเภอโจวควรใส่ใจเรื่องนี้ให้มาก!”

“องค์หญิงเจิ้นกั๋วไม่ต้องกังวลพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อนายอำเภอโจวกล่าวจบ เขาเหลือบไปเห็นพ่อบ้านเหากำลังยืนขยิบตาส่งสัญญาณให้ไป๋ชิงเหยียนอยู่หน้าประตูห้องโถง

ไป๋ชิงเหยียนรู้ทันทีว่าพ่อบ้านเหามีเรื่องจะเรียนให้นางทราบตามลำพัง หญิงสาวจึงยกชาขึ้นส่งแขก “ในเมื่อเจ้าเมืองและนายอำเภอโจวทราบเรื่องนี้แล้ว พวกท่านจงรีบกลับไปเตรียมพร้อมเถิด ท่านทั้งสองมีภารกิจมากมาย ข้าไม่รั้งพวกท่านไว้แล้ว”

นายอำเภอโจวรีบลุกขึ้นยืน จากนั้นโค้งกายคำนับไป๋ชิงเหยียน “องค์หญิงเจิ้นกั๋วทรงพักผ่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่รบกวนองค์หญิงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เจ้าเมืองเสิ่นยังไม่ลืมเรื่องที่เขาต้องอธิบายให้ไป๋ชิงเหยียนฟัง เดิมทีเขาต้องการอยู่ต่อ ทว่า เขากลัวว่านายอำเภอโจวที่ชอบคิดมากจะอยู่ต่อกับเขาด้วย เขาจึงลุกขึ้นอำลาไป๋ชิงเหยียนเช่นเดียวกัน

“ขอบพระคุณท่านแม่ทัพสือมากที่มาช่วยอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้เจ้าเมืองและนายอำเภอฟัง…” ไป๋ชิงเหยียนหันไปทางถงหมัวมัว “รบกวนหมัวมัวพาแม่ทัพสือไปพักผ่อนที”

สือฮุ่ยสู่ลุกขึ้นยืนทำความเคารพไป๋ชิงเหยียน จากนั้นเดินตามถงหมัวมัวออกไปด้านนอก

สือฮุ่ยสู่เห็นพ่อบ้านเหาซึ่งเป็นคนพาเขาเข้ามาในจวนไป๋ยืนอยู่ที่หน้าประตู เขาก้มศีรษะให้พ่อบ้านเหาเล็กน้อย จากนั้นจึงเดินไปยังที่พักของตน

พ่อบ้านเหาเดินเข้ามาด้านใน ทำความเคารพไป๋ชิงเหยียนแล้วกล่าวขึ้น “คุณหนูใหญ่ คนจากตระกูลบรรพบุรุษไป๋มาขอพบคุณหนูใหญ่ขอรับ พวกเขาอ้างว่านำของขวัญวันเกิดมามอบให้คุณหนูใหญ่ หวังว่าคุณหนูใหญ่จะรับไว้ขอรับ”

หากคนตระกูลบรรพบุรุษไป๋ต้องการรู้ พวกเขาย่อมสืบรู้ได้ว่าวันนี้คือวันเกิดของไป๋ชิงเหยียน พวกเขาหาข้องอ้างนี้เพื่อมาประจบไป๋ชิงเหยียนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด

“ผู้ใดพาพวกเขามา” ไป๋ชิงเหยียนเป่าไอร้อนในถ้วยชาของตัวเองเบาๆ