บทที่ 590 วิญญาณงดงาม (3)

หน้าม้าลูบท้องตัวเองและพึมพำว่า “มันน่าจะเพียงแค่ทรงตัวเสถียรขึ้นได้เท่านั้น แต่ยังอาจจะมีอันตรายแอบแฝงอยู่อีก…เอิ๊ก”

ในขณะนั้นเองก็มีข้อความเสียงหนึ่งดังเข้ามาในหูของเขา

“สหายเต๋าทั้งสอง…”

“เป็นข้าเอง ห่างหายไม่พบเจอกันไปสองสามวัน พวกท่านทั้งสองคนเป็นอย่างไรกันบ้าง สบายดีหรือไม่?”

หัววัวและหน้าม้าพยักหน้าหงึกหงักอย่างแรง แล้วพวกเขาทั้งสองก็มองไปทางทิศตะวันออก และในไม่ช้า…

เขาจำได้ว่าปราณวิญญาณของพวกเขาไม่แข็งแกร่งมากนัก และระยะการตรวจจับของพวกเขาก็จำกัด

ทว่าในขณะนั้น หัววัวและหน้าม้าสามารถมองเห็นได้เพียงวิญญาณ[1]และวิญญาณแท้[2]จำนวนมากที่ล่องลอยอยู่เหนือศีรษะมาจากระยะไกลๆ เท่านั้น และมีผู้ฝึกบำเพ็ญสองสามคนกำลังขี่เมฆอยู่ที่เชิงผา พวกเขาคือสิ่งมีชีวิตที่มายังแดนยมโลกเพื่อกระทำภารกิจต่างๆ …

ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ส่งเสียงดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเผยรอยยิ้มเล็กน้อย

“ท่านทั้งสอง ตอนนี้ข้ายังอยู่ห่างออกไปกว่าหมื่นลี้ ข้ากำลังรีบไปพร้อมกับแม่ทัพแห่งศาลสวรรค์ผู้หนึ่ง แม่ทัพผู้นี้มีภูมิหลังไม่น้อยเลย

เขากำลังจะไปที่แดนยมโลกเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ในแดนยมโลก เขาพูดกับจักรพรรดิหยกหนึ่งคำ ยังได้ผลมากกว่าข้าพูดสิบประโยคด้วยซ้ำ

หากแดนยมโลกมีความตั้งใจที่จะเข้าสู่ภายใต้เขตอำนาจการปกครองของศาลสวรรค์และได้รับการคุ้มครองจากจักรพรรดิแห่งสวรรค์ ครั้งนี้พวกท่านก็จำเป็นต้องทำงานให้ดีและจัดการมันอย่างระมัดระวัง”

หัววัวและหน้าม้าหูผึ่งตะลึงงันเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้น แล้วทั้งสองพี่น้องต่างก็มองหน้ากันและกันด้วยแววตาเต็มไปด้วยความสุข

ทันใดนั้น หัววัวก็ร้องตะโกนว่า “เร็วเข้า! ม้า รีบไปแจ้งจอมเวทใหญ่และกระตุ้นบรรยากาศในเมืองให้คึกคัก! ม่อ!”

“ฮี้!”

หน้าม้ารีบหันศีรษะไป แล้วกระโดดห่างออกไปหลายร้อยจั้งด้วยเพียงก้าวเดียวก่อนจะควบเต็มฝีเท้าพุ่งขึ้นไปบนยอดผา ในขณะนั้น เขาก็ยังไม่ลืมหยิบหวีหินออกมาหวีขนแผงคออ่อนนุ่มของเขาให้ราบเรียบ

หัววัวถูมือใหญ่ของเขาแล้วกระโดดลงไปที่จุดด่านตรวจด้านล่าง เขาร้องตะโกนสุดเสียงจนทำให้ชาวเผ่าเวทนับร้อยที่เฝ้าสถานที่ล้วนชุลมุนวุ่นวาย นอกจากนี้เขายังทำให้บรรดาผู้ฝึกบำเพ็ญสองสามคนซึ่งกำลังจะผ่านด่านไป ล้วนตกใจกลัว

เมื่อหลี่ฉางโซ่วขี่เมฆบินไปพร้อมกับจ้าวเต๋อจู้ หลงจี๋และอ๋าวอี่ได้พันลี้ เขาก็ถูกหัววัวค้นพบ

จากนั้น หัววัวก็หันกลับมาแล้วร้องตะโกนว่า

“ตีกลอง!”

ทันใดนั้นชาวเผ่าเวทที่แข็งแกร่งกำยำสองสามคนก็ถือกลองใบใหญ่ที่เก่าทรุดโทรม เดินออกไปข้างหน้า แล้วหัววัวก็หยิบไม้ตีกลองขึ้นมาตีกลองศึกของเผ่าเวทอยู่ครู่หนึ่ง

ตึ้งๆๆ…

ในขณะนั้นเสียงกลองก็ดังสนั่นขึ้นจากทั่วทุกที่ในเมืองเฟิงตู และกว่าครึ่งหนึ่งของแดนยมโลกก็สั่นสะเทือน

หลี่ฉางโซ่วมองเห็นได้จากในระยะไกลและเผยรอยยิ้มบางออกมา

จ้าวเต๋อจู้แย้มยิ้มและส่งข้อความเสียงว่า “ฉางเกิง ดูเหมือนว่าเจ้าได้เตรียมการไว้มากมายหลายอย่างในแดนยมโลก”

“ฝ่าบาท พระองค์ทรงเข้าพระทัยผิดแล้ว เทพน้อยหาได้ทำอันใดไม่” หลี่ฉางโซ่วตอบผ่านข้อความเสียง “เป็นเพียงว่า เมื่อแดนยมโลกได้ยินว่าเผ่ามังกรยอมจำนนต่อศาลสวรรค์ และพวกเขาก็รู้ว่าจักรพรรดิแห่งสวรรค์นั้นทรงมีพระเมตตากรุณาและคุณธรรมยิ่ง ดังนั้นพวกเขาจึงปรารถนาจะเข้าร่วมด้วย”

จ้าวเต๋อจู้ยิ้มและหรี่ตาลงทันที ทว่า… ความเข้าใจผิดนั้นยิ่งลึกซึ้งมากขึ้นไปอีก

ในยามนั้นที่ด้านหลังของพวกเขาทั้งสองคน หลงจี๋ได้มองไปที่อ๋าวอี่และพึมพำเบาๆ ว่า “ท่านอาจารย์ได้ส่งข้อความเสียงไปตลอดทาง”

อ๋าวอี่พยักหน้าโดยไม่ตอบกลับใดๆ ใบหน้าที่บอบบางของเขาเผยรอยครุ่นคิดออกมา

ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วที่ขี่เมฆบินไปบนท้องฟ้าก็ร่อนร่างลงมาเมฆจากก้อนเมฆ และเขาก็ได้ยินเสียงของชาวเผ่าเวทหลายสิบคนร้องตะโกนดัง ‘อูล่า อูว่า’ ออกมา

ชาวเผ่าเวทได้ถอดชุดเกราะผ้าของเจ้าหน้าที่แห่งแดนยมโลกออก และสวมหนังสัตว์ร้ายห่อหุ้มตัวเองเอาไว้ในขณะที่ระงับพลังโลหิตของพวกเขาและเต้นระบำไปตามเสียงกลองโดยแสดงการเต้นรำหมู่ที่ทรงพลังยิ่ง

หลังจากชาวเผ่าเวทต้นรำเสร็จสิ้นแล้ว พวกเขาก็ถอยกลับไป จากนั้น จ้าวเต๋อจู้ก็ปรบมือและพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

“ม่อ! เปิดทาง! เปิดคำต้อนรับของเจ้าให้ข้าดู!”

หัววัวตะโกนเรียก แล้วเหล่าเจ้าหน้าที่แห่งแดนยมโลกที่เฝ้าด่านอยู่หันกลับมาและยกหินก้อนมหึมาสิบก้อนขึ้นทั้งสองด้าน ที่มีอักขระขนาดใหญ่สิบคำที่เขียนด้วยเลือดซึ่งไม่รู้แหล่งที่มา

“แดนยมโลกยินดีต้อนรับพวกท่าน!”

“สังสารวัฏหรือ? ไม่มีปัญหา!”

“พรึ่ด!” ทันใดนั้นหลงจี๋ก็อดจะปิดปากหัวเราะออกมาดังๆ ไม่ได้ในขณะที่อ๋าวอี่ก็เผยรอยยิ้มบางออกมา

ในขณะนั้น จ้าวเต๋อจู้ก็ยิ้มอย่างอบอุ่นและเดินออกไปข้างหน้าพร้อมกับหลี่ฉางโซ่ว แล้วพวกเขาก็เข้าไปนั่งบน… เกวียนเทียมวัวที่แดนยมโลกได้เตรียมเอาไว้ให้

ครั้งนี้ หัววัวเป็นผู้จูงวัวนำหน้าให้ด้วยตัวเอง และก่อนที่เขาจะก้าวออกจากแนวท้องฟ้าหนึ่งเส้น เขาก็แนะนำ “สถานที่ท่องเที่ยว” ของแดนยมโลกให้พวกเขาทั้งสองคนอย่างกระตือรือร้น

หลี่ฉางโซ่วยิ้มและเอ่ยถามว่า “เหตุใดข้าถึงไม่เห็นสหายเต๋าหน้าม้าเล่า?”

“เขาออกไปเตรียมการเอาไว้ให้พร้อมล่วงหน้า! ม่อ!” หัววัวตอบอย่างเป็นกันเองในขณะที่เขาเพิ่งเดินออกจากแนวท้องฟ้าหนึ่งเส้น แล้วออกจากค่ายกลใหญ่ไป

ทันใดนั้นก็มีลมหนาวเย็นยะเยือกพัดผ่านมาทางด้านหน้าของพวกเขา และได้ยินเสียงหัวเราะสนุกสนานที่น่ากลัวดังไปทั่วทุกที่

จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงบรรเลงเพลงงานศพที่โศกเศร้ารันทดอันไพเราะดังมาแต่ไกล แล้วร่างงดงามก็บินมาจากทั่วทุกทิศทางเต็มไปทั่วท้องฟ้าพร้อมกับเสียงดนตรีที่วังเวงอ้างว้างนี้

นางมาที่นี่ นางมาที่นี่ แล้วพวกนางทั้งหมดก็กำลังบินมาที่นี่ด้วยกันพร้อมกับรอยยิ้มแข็งทื่อและพลังหยิน[3]ที่น่าสะพรึงกลัวจนขนลุกชัน!

พวกนางถือกระเช้าดอกไม้และโปรยกลีบดอกปี้อั้น[4]…

พวกเขาส่งเสียงร้องเพลงเบาๆ ด้วยท่วงทำนองเพลงซึ่งฟังดูเหมือนเพลงเย้ายวนชวนให้หลงใหลที่แพร่กระจายออกไปในหมู่มวลมนุษย์ปุถุชนทั่วไป…

“ท่านเทพวารี เป็นอย่างไรบ้าง?”

หัววัวยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “นี่คือการต้อนรับระดับสูงสุดในแดนยมโลกของเรา หากยังไม่เพียงพอ พวกเราก็หาเพิ่มได้! ยังมีอีกมากมาย!”

………………………………………………………………..

[1] ในที่นี้เป็นวิญญาณหุนโป้คือ วิญญาณที่มีดวงวิญญาณทางจิตหรือวิญญาณหุน (魂) ที่ไม่มีวันเสื่อมสลาย (ซึ่งบางที่เรียกว่าวิญญาณเมฆหรือวิญญาณหยาง เป็นวิญญาณด้านสว่างที่ตามตำนานว่าไว้คือ ดวงวิญญาณที่จะเดินทางไปสวรรค์) และรักษาดวงวิญญาณทางกายหรือวิญญาณโป้ (魄) ((บางที่เรียกว่าวิญญาณหยิน เป็นวิญญาณด้านมืดที่ตามตำนานว่าไว้คือ ดวงวิญญาณที่จะเดินทางไปแดนยมโลก) ดวงวิญญาณทางกายเป็นเพียงส่วนหนึ่งของวิญญาณหุนที่สมบูรณ์ วิญญาณหุนที่ไร้วิญญาณโป้ก็คือ ผี หรือวิญญาณผี ส่วนวิญญาณโป้ที่ไร้ที่วิญญาณหุนก็คือ ผีดิบ

[2] เป็นวิญญาณเสิ่นหลิง 真灵 คือ วิญญาณแท้ วิญญาณที่มีพลังจิต มีสติ จิตสำนึกเช่นในเทพเซียน หรือมนุษย์

[3] เปรียบดั่งพลังด้านมืด พลังชั่วร้าย

[4] หรือดอกพลับพลึงแดง ดอกปี้อั้นเรียกว่าเป็นบุปผาแห่งความตาย ปี้อั้นแปลตรงตัวว่าอีกฟากฝั่งหนึ่ง ซึ่งตามความเชื่อของจีนนั้นแม่น้ำในแดนยมโลกจะแบ่งออกเป็นสองฟากฝั่งระหว่างคนเป็นและคนตาย และบนฝั่งคนตายจะมีทุ่งดอกปี่อั้นเบ่งบานไปทั่ว