บทที่ 759 คับขันยิ่งกว่าเดิม

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

———-

บทที่ 759 คับขันยิ่งกว่าเดิม

มือของเจ้ากำลังทำบ้าอะไรอยู่!?

แม้จะมีปฏิกิริยาตอบสนองที่ไม่พอใจ แต่เพ่ยเหมียนหมานก็รู้ว่าซูอันจับต้นข้าเพื่อช่วยเหลือนาง ดังนั้นนางจึงไม่พูดอะไรและได้แต่เพียงสบถในใจ

“เปลี่ยนท่ามากอดข้าที่ด้านหน้าและใช้ขาของเจ้าโอบไว้รอบเอวข้า ท่านี้จะทำให้เจ้าเกาะติดกับข้าได้ง่ายขึ้น” ซูอันพูดในขณะที่ยกขาของนางขึ้น พยายามช่วยให้นางเปลี่ยนท่าทาง

“ไม่มีทาง!” เพ่ยเหมียนหมานปฏิเสธทันที แม้แต่หญิงสาวที่บริสุทธิ์และไร้เดียงสาก็ยังรู้ว่ามันไม่เหมาะสม! นางจะยอมทำตามได้อย่างไร?

ซูอันเริ่มเหงื่อออก “คุณหนูเพ่ยผู้สูงศักดิ์! ข้าไม่ได้กำลังพยายามเอาเปรียบเจ้าหรอกนะ! มือทั้งสองของข้าต้องใช้ในการปีนกำแพง ถ้าข้าต้องสละแขนข้างหนึ่งเพื่ออุ้มเจ้า เราจะไปไหนกันไม่ได้!”

เพ่ยเหมียนหมานเงยหน้าขึ้น นางสามารถเห็นเส้นเลือดบนแขนข้างที่กำลังยึดจับกระบี่ไว้ของเขาปูดโปน เห็นได้ชัดว่ามันรองรับน้ำหนักไว้มาก

นางไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผล แม้มันจะน่าอาย แต่นางก็ยังเห็นด้วยในท้ายที่สุด “ได้ แต่เจ้าอย่าบอกชูเหยียนเรื่องนี้ได้ไหม? ไม่สิ เจ้าห้ามบอกทุกคนเลยต่างหาก!”

สีหน้าของซูอันเปลี่ยนเป็นมึนงง “ข้าจะเอาเรื่องนี้ไปบอกคนอื่นทำไม??”

ด้วยความพอใจ เพ่ยเหมียนหมานก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก นางกัดริมฝีปากก่อนจะพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อเปลี่ยนท่าย้ายตัวเองไปกอดซูอันที่ด้านหน้าของเขา จนท้ายที่สุดนางเอาแขนโอบรอบคอเขาอีกครั้งและขาของนางก็รัดรอบเอวของซูอันอย่างแน่นหนา

ทั้งสองคนตัวแนบกันอย่างใกล้ชิด และนางก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นกายของความเป็นชายของซูอัน แม้ปกตินางจะดูขี้เล่นและชอบเย้าแหย่ซูอัน แต่เมื่ออยู่ในท่าทางนี้นางก็รู้สึกเขินอายเป็นอย่างมาก นางซุกหัวเข้าไปในอกของเขา ร่างกายของนางสั่นเล็กน้อยและไม่เอ่ยปากพูดแม้แต่คำเดียว

ซูอันไม่เคยมีความคิดที่ชั่วร้ายมาก่อน แต่เมื่อรู้สึกว่านางอ่อนไหวแค่ไหน จิตใจของเขาก็เริ่มสั่นคลอนเช่นกัน

เสียงฟ่อของฝูงงูที่อยู่ด้านล่างลากชายหนุ่มให้กลับสู่ความเป็นจริง พวกเขายังไม่พ้นจากอันตรายอย่างสมบูรณ์

ซูอันกำลังจะไต่กำแพงต่อด้วยแท่งพิษ แต่แล้วกลับมีแสงสีฟ้าสองสามเส้นพุ่งขึ้นมาหา

ซูอันเบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนกก่อนจะฟันพวกมันด้วยแท่งพิษและแสงสีน้ำเงินเหล่านั้นก็ร่วงลงไป เขาสังเกตเห็นแล้วว่าสิ่งที่พุ่งเข้ามาหาตนเมื่อครู่คือเหล่างูบนพื้น

งูบางตัวพยายามขดตัวเป็นสปริงและพุ่งขึ้นมาหาพวกเขา

ซูอันนึกขอบคุณที่ตัวเองยังไม่ได้แทงแท่งพิษเข้าไปในกำแพง ถ้าอาวุธทั้งสองติดอยู่กับกำแพง เขาคงไม่สามารถปัดป้องงูพวกนี้ได้ทันเวลา

โชคดีที่ชายหนุ่มอยู่สูงพอประมาณ งูทั้งหลายจึงไม่สามารถพุ่งตัวเข้าโจมตีเขาได้พร้อม ๆ กัน

แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องรีบมาดีอกดีใจ เพราะการที่งูจู่โจมเขาได้แบบนี้ ซูอันจึงต้องมุ่งเน้นไปที่การป้องกัน และไม่สามารถปีนกำแพงต่อได้อีก

เพ่ยเหมียนหมานสังเกตเห็นสถานการณ์นี้เช่นกัน นางรีบพูดว่า “ให้เวลาข้าหน่อย ถ้าข้าดีขึ้นข้าจะใช้เปลวไฟของข้าช่วยป้องกันเรา แล้วจากนั้นเจ้าจะได้ปีนขึ้นไปได้”

“ตกลง!” นี่เป็นทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่สำหรับพวกเขา ซูอันมุ่งเน้นไปที่การฟาดฟันบรรดางูที่พุ่งขึ้นมาหา

เพ่ยเหมียนหมานครุ่นคิดครู่หนึ่งจากนั้นจึงพยายามถอดจี้ออก “ใส่นี่ไว้”

ซูอันตกตะลึง “มันคืออะไร?”

เขาสังเกตเห็นสายสีแดงซึ่งห้อยอยู่ที่คอของนางมาระยะหนึ่งแล้ว อย่างไรก็ตาม วัตถุที่ถูกแขวนไว้กับสายสีแดงนี้มันฝังอยู่ในระหว่างอกของนางตลอดดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่ามันคืออะไร

เขามองดูนางดึงมันออกมาช้า ๆ จากร่องอก ผิวสีขาวกระจ่างของนางใสจนแทบจะมองเห็นเส้นเลือด ทำเอากำเดาแทบจะพุ่งออกมาจากจมูกของเขา

“มันเป็นเครื่องรางที่แม่ของข้ามอบให้ มันสามารถคุ้มกันเจ้าจากเปลวไฟสีดำ แต่ตอนนี้ข้าอยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยดีนัก ดังนั้นข้าจึงควบคุมเปลวไฟได้ไม่ดีเหมือนปกติ ข้าไม่อยากทำร้ายเจ้าโดยไม่ได้ตั้งใจ” เพ่ยเหมียนหมานอธิบาย

“ห๊ะ?” ซูอันรู้สึกประทับใจอย่างไม่น่าเชื่อ เขาอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาว่า “นี่เป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของเจ้าไม่ใช่เหรอ? ถ้าเจ้าให้สิ่งนี้กับข้า แสดงว่าเจ้ายอมรับข้าแล้วใช่ไหม? ถ้าข้าคิดชั่วร้ายกับเจ้า เจ้าก็จะไม่สามารถต่อต้านข้าได้เลยเชียวนา”

ความน่ากลัวเกินครึ่งของเพ่ยเหมียนหมานมาจากเปลวไฟสีดำของนาง หากจี้นี้ทำให้เขาปลอดภัยจากต่อเปลวไฟสีดำเหล่านั้น ชีวิตของนางก็อยู่ในอุ้งมือของเขา

เพ่ยเหมียนหมานมองดูเขาด้วยความหมั่นไส้ จากนั้นนางก็ถอนหายใจด้วยความละอา “ข้าจะให้มันกับเจ้าทำไมถ้าข้ากังวลเรื่องนั้น? เตรียมตัวได้แล้ว!”

“เข้าใจแล้ว!” ซูอันไม่กล้าปล่อยให้ตัวเองฟุ้งซ่านในระหว่างที่กำลังอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายเช่นกัน

“เอาล่ะ!” มือของเพ่ยเหมียนหมานลุกโชนด้วยเปลวไฟสีดำทันที และงูที่พุ่งเข้ามาก็ถูกเปลวไฟลุกไหม้และกระเด็นออกไป

งูที่อยู่ด้านล่างต่างก็กลัวเปลวไฟของนางจนการโจมตีจากพวกมันถี่น้อยลง

ซูอันแทงแท่งพิษเข้าไปในกำแพง และเริ่มปีนกำแพงอีกครั้ง

ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าเปลวไฟสีดำนี้แตกต่างออกไป

ในอดีต เขารู้สึกเสมอว่าเปลวไฟสีดำนั้นน่ากลัวอย่างยิ่ง และเต็มไปด้วยพลังทำลายล้าง แต่ตอนนี้พวกมันดูอบอุ่นและให้ความรู้สึกสบายใจ ทั้งหมดนี้อาจเป็นเพราะจี้ของเพ่ยเหมียนหมาน เขารู้สึกได้ถึงคลื่นความร้อนแผ่ออกมาจากหน้าอกของเขา ไม่แน่ใจว่าเป็นจี้ที่อุ่นขึ้นเองหรือเป็นเพียงความร้อนจากร่างกายที่คงอยู่ของสาวงามที่เกาะติดเขา

“ช่วยข้าด้วย!” เพ่ยเหมียนหมานตะโกนร้อง

ซูอันเตรียมตัวเอาไว้แล้ว เขาเหวี่ยงกระบี่ไท่เอ๋อร์ออกไปเพื่อหยุดงูที่พุ่งเข้ามา เมื่อเทียบกับแท่งพิษ ความยาวของกระบี่ไท่เอ๋อร์ทำให้มันมีประโยชน์มากกว่า

งูหยุดการโจมตี พวกมันอาจตระหนักว่าความพยายามทั้งหมดของพวกมันส่งผลให้เกิดการตายอย่างเสียเปล่าเท่านั้น

ซูอันหายใจด้วยความโล่งอก ทั้งสองแขวนตัวอยู่กับที่เพื่อพักเหนื่อย เมื่อเพ่ยเหมียนหมานฟื้นตัวได้เล็กน้อย พวกเขาก็เริ่มปีนขึ้นไปอีกครั้ง

ซูอันรู้สึกอยากหยอกล้อนางเมื่อได้กลิ่นหอมของนางเต็มจมูกอีกครั้ง แต่ดวงตาของเขาก็หรี่ลง เขาสังเกตเห็นว่ามีงูจำนวนมากรวมตัวกันอยู่ด้านล่าง

เขาไม่ได้สังเกตในตอนแรก แต่เมื่องูรวมตัวกันมากขึ้นเรื่อย ๆ พวกมันจึงค่อย ๆ ก่อตัวเป็นก้อนทรงกลมแปลก ๆ

ก้อนงูนี้สูงขึ้นและใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมีงูเข้าร่วมมากขึ้น และส่วนยอดของก้อนงูนี้ก็ค่อย ๆ เข้าใกล้ทั้งสองมากขึ้นเรื่อย ๆ

ก่อนหน้านี้มีเพียงงูบางตัวเท่านั้นที่มีพละกำลังกระโดดมากพอที่จะคุกคามพวกเขาได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกมันก่อตัวเป็นทรงกลมที่สูงใหญ่แบบนี้แล้ว อีกไม่นานพวกเขาจะถูกคุกคามโดยงูในจำนวนที่มากกว่า

“จับข้าไว้ให้แน่น! ข้าจะย้ายไปที่อื่น” ซูอันพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“อะไรนะ? แต่ข้ายังไม่หายเหนื่อยเลย!” หน้าผากของเพ่ยเหมียนหมานเต็มไปด้วยเหงื่อ การต่อสู้ครั้งสุดท้ายทำให้นางหมดแรง และไม่มีแรงเหลือที่จะปกป้องเขา

“ไม่เป็นไร ข้าจะเคลื่อนที่ไปในพริบตา”

จริง ๆ แล้วซูอันต้องการใช้จ้าววายุในช่วงเวลาที่อันตรายมากกว่านี้ แต่มันอันตรายมากที่จะอยู่ที่นี่ต่อไป