รถม้าเคลื่อนตัวไปช้าๆ ผ้าม่านสีเขียวนั้นมองไปค่อนข้างเรียบง่าย แต่ภายในตกแต่งหรูหรานั่งสบาย
อวี้จิ่นเอื้อมมือออกไปหยิบผลไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมากัดไปคำหนึ่ง ยิ้มแล้วมองไปทางเจียงซื่อ
การเดินทางเข้าวังในครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าจะไม่มีความสงบสุข แต่สำหรับเขาแล้วไม่ได้กลัวแต่อย่างใด ในทางกลับกันช่างรู้สึกกระตือรือร้นอยากจะเผชิญ
เขาไม่เคยกลัวผู้คนพวกที่ตาบอดและหน้าซื่อใจคด ในเมื่อเขามุ่งเป้าหมายไปที่ตำแหน่งนั้น ระหว่างทางยิ่งมีหินเข้ามาคอยสกัดขวางกั้นมากเท่าไรก็ควรจะเตะออกมันไปอย่างรวดเร็วเท่านั้น เมื่อจัดการได้ทั้งหมด เป้าหมายก็นับว่าเกือบสำเร็จแล้ว
ความตื่นเต้นในแววตาของอวี้จิ่นทำให้เจียงซื่อส่ายหน้าแล้วหัวเราะขึ้น “ในเมื่อรู้ว่าจะเกิดเรื่อง แต่เหตุใดข้าจึงมองเห็นว่าเจ้ากำลังตั้งตารอมัน”
อวี้จิ่นวางจานผลไม้ลงแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าไม่ได้ตั้งตารอคอยสักหน่อย แต่ข้าอดใจรอไม่ไหวแล้วต่างหาก”
เจียงซื่ออดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
การต่อสู้เพื่อบัลลังก์สืบทอดตำแหน่งนั้น ถนนในภายภาคหน้าเต็มไปด้วยขวากหนาม แต่ท่าทางอันดีงามของอวี้จิ่นเช่นนี้ทำให้เจียงซื่อผ่อนคลายมากขึ้น
“เจ้าควรระวังไว้สักหน่อย อย่าได้ประมาทจนเกินไป”
“วางใจเถิด เจ้าเองก็ควรระวังเช่นกัน”
ทั้งสองสนทนากันไปมา ในที่สุดก็มาถึงพระราชวัง
แท้จริงแล้วงานวันคล้ายวันคล้ายวันพระราชสมภพของไทเฮานับเป็นงานใหญ่ที่รองมาจากวันคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้ แต่หลายปีมานี้ไทเฮาไม่ชื่นชอบจัดงานเลี้ยงใหญ่โต ประกอบกับในปีนี้ร่างกายของนางไม่ได้แข็งแรงนัก จึงจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองในตำหนักฉางเซิงเท่านั้น ผู้ที่เดินทางมาร่วมงานล้วนเป็นคนในตระกูล
อวี้จิ่นลงจากรถม้าแล้วเอื้อมมือไปประคองเจียงซื่อ
เจียงซื่อเพิ่งจะยืนได้มั่นคงก็ได้ยินน้ำเสียงดังมาจากด้านหลังว่า “บังเอิญเสียจริงที่ได้พบน้องเจ็ดกับน้องสะใภ้เจ็ดที่นี่”
ทั้งสองคนหันหลังกลับไปมองพบว่าฉีอ๋องยืนอยู่ไม่ไกลออกไปนัก ใบหน้าของเขาปรากฏเป็นรอยยิ้มจางๆ
ฉีอ๋องรีบเดินก้าวเข้ามาด้านหน้า “น้องเจ็ด เข้าไปด้วยกันเถิด”
อวี้จิ่นมองไปทางเขาอย่างลึกล้ำ แล้วจู่ๆ ก็ก้าวเข้าไปด้านหน้ากล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้มว่า “พี่สี่ชอบเอาหน้าอุ่นๆ ไปสัมผัสก้นเย็นๆ ของคนอื่นเสียจริงเชียว”
“เจ้า…” ต่อให้ฉีอ๋องได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดีเพียงไร บัดนี้เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นล้วนโมโหโกรธเคือง ลืมเรื่องที่จะรักษามารยาทของตนทันที
ในทางกลับกัน ใบหน้าของอวี้จิ่นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “พี่สี่จะเข้าไปด้วยกันไม่ใช่หรือ ท่านเป็นพี่ เชิญเข้าไปก่อนเถิด…”
เสียงของเขาดูสูงขึ้นเล็กน้อย ดึงดูดความสนใจของบรรดาราชวงศ์คนอื่นๆ ให้หันมามอง
ฉีอ๋องไม่สามารถระบายความโมโหขุ่นเคืองใจออกมาได้ในขณะนี้
มีผู้คนมากมายจับจ้องมองอยู่ ต่อให้เจ้าเจ็ดจะไร้ยางอายสักเพียงใด เขาก็ยังคงต้องรักษาหน้าตาของตนไว้ หากว่าสองพี่น้องเกิดข้อวิวาทกันในงานวันคล้ายวันคล้ายวันพระราชสมภพของเสด็จย่า เรื่องนี้ไปถึงหูเสด็จพ่อจะมีข้อดีอันใดเล่า
ฉีอ๋องพยายามเก็บกลั้นความโกรธเอาไว้และไม่ได้กระทำการใดออกมา อวี้จิ่นยิ้มขึ้นกล่าวว่า “พี่สี่ช่างเกรงใจกันมากไปแล้ว ถ้าเช่นนั้นน้องขอตัวเดินเข้าไปข้างในก่อน”
เมื่อฉีอ๋องได้สติกลับคืนมาก็พบว่าอวี้จิ่นจูงมือเจียงซื่อเดินตรงเข้าไปข้างในก่อนแล้ว
เซียงอ๋องที่เพิ่งเดินทางมาถึงช้าไปก้าวหนึ่ง เขาเข้ามาเอ่ยถามว่า “พี่สี่ เกิดเรื่องใดขึ้นงั้นหรือ”
แววตาของฉีอ๋องกลับคืนสู่ภาวะปกติ แต่ภายใต้แววตานั้นยังคงมีน้ำแข็งปกคลุมเยือกเย็นแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงบางเบาว่า “ไม่มีอะไรหรอก น้องแปด พวกเราเข้าไปข้างในกันเถิด”
เซียงอ๋องเหลือบมองไปยังร่างนั้นที่เดินอย่างสง่างามเข้าไปข้างใน เขาเดินตามฉีอ๋องแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอันบางเบาว่า “พี่สี่ ไอ้สารเลวนั่นมันหาเรื่องพี่อีกแล้วใช่หรือไม่”
สายตาของฉีอ๋องเหลือบมองซ้ายขวาแล้วรีบกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “น้องแปดเอ่ยวาจาใดระมัดระวังด้วย”
บัดนี้มีผู้คนมากมาย หากมีใครได้ยินเข้าว่าเจ้าแปดเรียกเจ้าเจ็ดว่าไอ้สารเลวคงไม่เหมาะสม
เซียงอ๋องส่ายหน้า “พี่สี่ช่างนิสัยดียิ่งนัก สามารถอดทนได้”
ฉีอ๋องหรี่ตาลงแล้วตอบด้วยน้ำเสียงอันบางเบา “อดทนเพียงแค่ชั่วครู่ จะเป็นไรไปเล่า”
บัดนี้หากเขาอดทนไว้ วันใดที่เขาประสบความสำเร็จก็ไม่จำเป็นต้องอดทนอีกต่อไป หากจะต้องอดทนในระยะเวลาสั้นๆ เพื่อแลกมากับความมีเกียรติยิ่งตลอดชีวิตก็นับว่าคุ้มค่า
ความเย่อหยิ่งของเจ้าเจ็ดในมุมมองของเขาช่างดูไร้เดียงสาเหลือเกิน ในไม่ช้าก็เร็วจะต้องชดใช้กับความโง่เขลาเช่นนั้น
ฉีอ๋องคิดดังนี้จึงทำให้ความโกรธเคืองเมื่อครู่ค่อยๆ จางหายไป
จังหวะเดียวกัน อวี้จิ่นเหลือบมองมาพบใบหน้าของฉีอ๋อง รอยยิ้มเยาะเย้ยก็ปรากฏขึ้นที่มุมปาก
ฉีอ๋องหยุดฝีเท้าของตนลง ความโกรธที่เพิ่งระงับได้เมื่อครู่แทบจะปะทุออกมาอีกครั้ง
“อาซื่อ ข้ารู้สึกว่าพี่สี่ช่างมีความสามารถยิ่งนัก”
เจียงซื่อเหลือบมองอวี้จิ่น “เหตุใดหรือ”
อวี้จิ่นหัวเราะเบาๆ “เมื่อครู่ที่ข้ากล่าวออกไปเช่นนั้น เขายังสามารถระงับความโกรธของตนไว้ได้ ข้าว่าเขาเป็นคนที่สามารถปลอบโยนตนเองอย่างมีพรสวรรค์โดยแท้”
เจ้าคนขี้ขลาดนั่นคิดสิ่งใดอยู่มีหรือทั้เขาจะไม่รู้ ก็คงอดกลั้นเอาไว้และตั้งตารอคอยคิดบัญชีในภายหลัง แต่กลับไม่รู้หรอกว่าความเคยชินกับการอดทน ท้ายที่สุดแล้วก็เหมาะสมเป็นเพียงแค่เต่าหดหัวในกระดอง คิดอยากจะขึ้นเป็นมังกรทะยานสู่ฟากฟ้าได้อย่างไร
“รอดูเถิด ต่อให้ในวันนี้จะเกิดเรื่องราวใดขึ้น พี่สี่ก็คงไม่กล้าลงมือทำเองอย่างแน่นอน”
เจียงซื่อหัวเราะแล้วกระซิบว่า “เจ้ามองฉีอ๋องอย่างทะลุปรุโปร่งเหลือเกิน”
อวี้จิ่นยิ้มเยาะ “คนเช่นนี้ข้าเจอมามากนัก”
“อาจิ่น หากเป็นเช่นนี้เจ้าควรระมัดระวังเซียงอ๋องเอาไว้” เจียงซื่อขยับเข้าไปใกล้แล้วกระซิบ
อวี้จิ่นพยักหน้าเล็กน้อย “วางใจเถิด ข้ารู้”
แน่นอนว่าเจ้าแปดรู้สึกอึดอัดคับข้องใจเรื่องที่ฮองเฮารับโอรสเข้ามาไว้ในนาม เมื่อถูกพี่สี่โน้มน้าว เขาคงเลือกจะลงมือในวันนี้
อวี้จิ่นคิดถึงสิ่งนี้แล้วเผยอมุมปากขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มของเขาดูถูกเยาะเย้ย
เจ้าเด็กโง่เง่าที่แม้แต่ก้นตนเองยังเช็ดไม่แห้ง กล้าที่จะกระโดดโลดเต้นไปมา หรือชีวิตของเขาดูน่าเบื่อเกินไปไม่มีอะไรทำ หาเรื่องเพิ่มความสนุกสนาน?
เขาตั้งหน้าตั้งตารอมันจริงๆ
“ท่านอ๋องและพระชายาอ๋องช่างเป็นคู่รักที่เหมาะสมกันจริง” ชายคนหนึ่งยิ้มแล้วพูดในระยะที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
อวี้จิ่นเหลือบมองไปยังชายผู้นั้นก็จำได้ทันทีว่าคือใคร
ผู้ที่เอ่ยประโยคนั้นออกมาก็คือบุตรชายคนโตของคังจวิ้นอ๋อง นามว่าคังจวิ้นอ๋องน้อย
แม้จะไม่คุ้นเคยนัก แต่เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งกล่าวเช่นนี้ก็ควรจะสนใจเขาสักหน่อย
รอยยิ้มของอวี้จิ่นปรากฏขึ้นแล้วทำการทักทายอีกฝ่ายหนึ่ง
งานเลี้ยงในตำหนักฉางเซิงถูกจัดไว้เรียบร้อยแล้วก่อนหน้า ทางซ้ายจะเป็นแขกทางผู้ชาย ทางขวาจะเป็นแขกผู้หญิง เนื่องจากเป็นคนในตระกูลเดียวกันจึงไม่จำเป็นต้องจัดที่นั่งให้ห่างมากนัก เพียงแค่ตรงกลางมีช่องว่างเพียงพอให้เดินสำหรับผู้อื่นเป็นพอ
สำหรับพื้นที่ให้นางระบำร่ายรำไปรอบๆ ผู้ที่มาร่วมงานเลี้ยงฉลองเมื่อครั้นดวงตาขององค์หญิงฝูชิงมองเห็นได้อีกครั้งล้วนพากันส่ายหน้า
สิ่งนี้ไม่จำเป็นเอาเสียเลย เมื่อหวนถึงงานเลี้ยงในครานั้นพวกเขายังรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย นางระบำที่ปลงพระชนม์องค์หญิงสิบห้าได้ร่ายรำไปรอบแขกเหรื่อเหล่านี้และแอบวางยาพิษโดยไม่รู้ตัว
ดูเหมือนทางพระราชวังจะได้รับบทเรียนในครานั้น วันนี้จึงมีเพียงเวทีที่จัดอยู่ตรงหน้าห้องโถงใหญ่เท่านั้น
บริเวณที่ฮ่องเต้และฮองเฮารวมทั้งไทเฮาประทับนั่งอยู่บนแท่นสูง มีพรมปูตรงกลาง เมื่องานเลี้ยงเริ่มขึ้นนางระบำเหล่านั้นสามารถร่ายรำบนเวทีแห่งนี้ด้วยความสนุกสนาน แต่ไม่อาจก้าวเข้าไปในพรมได้
หลายคนมองดูนางระบำที่เต้นรำไปรอบๆ พรม พวกเขาอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าคิดว่า อืม เช่นนี้ดียิ่งนัก
สำหรับคนที่ไม่ได้เดินทางมาและไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นในงานครั้งนั้น พากันกระซิบกระซาบว่า ช่างไม่รู้จักความรื่นเริงเอาเสียเลย
ผู้ที่อยู่ด้านข้างตะโกนตำหนิ “เจ้าจะไปรู้เรื่องอะไรเล่า”
ต่อให้น่าเบื่อเพียงไรก็ดีกว่าต้องมีคนตาย
ในตอนแรกองค์หญิงสิบห้าถูกปลงพระชนม์ในงานเลี้ยง ต่อมาอันจวิ้นอ๋องก็ถูกลอบปลงพระชนม์ที่ชุ่ยหลัว บัดนี้ เมื่อต้องมาร่วมงานเลี้ยงที่จัดขึ้นโดยราชวัง พวกเขาต่างพากันหวาดกลัว
แต่ดูจากการจัดการในวันนี้ คาดว่าจะสามารถผ่านไปได้อย่างสงบราบรื่น อีกอย่างนี่คืองานเลี้ยงวันคล้ายวันคล้ายวันพระราชสมภพของไทเฮาคงไม่มีผู้ใดกล้าที่จะรนหาที่ตาย
จิ่งหมิงฮ่องเต้ประทับอยู่บนแท่นสูง มองลงมาถึงฉากด้านหน้า เขาแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เปลือกตาเขาไม่ได้กระตุกและในใจก็ไม่ตื่นตระหนก ที่สำคัญก็คือในวันนี้นางระบำไม่อาจเคลื่อนไหวไปได้ตามใจพวกนาง คาดว่าคงจะราบรื่น
เมื่อคิดได้ดังนี้ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็รู้สึกผ่อนคลายลงแล้วหันไปสนทนากับฮองเฮาที่ด้านข้างสองสามประโยค
“ได้ยินว่าแม้แต่พรมในวันนี้ฮองเฮาก็เป็นคนเลือกด้วยตนเอง ลำบากฮองเฮายิ่งนัก”
ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้น ฮองเฮายิ้มขึ้นอย่างเหมาะสม “เป็นสิ่งที่หม่อมฉันควรทำเพคะ”
ขณะที่ฮองเฮาและฮ่องเต้กำลังกระซิบกระซาบกัน ก็ได้ยินข้าหลวงตะโกนขึ้นว่า “ไทเฮาเสด็จ!”