เมื่อสิ้นเสียงลงไทเฮาก็เสด็จเข้ามาจากมุมห้องโดยมีองค์หญิงฝูชิงและองค์หญิงสิบสี่ช่วยประคองนางไว้ข้างละคน
จิ่งหมิงฮ่องเต้พบว่าไทเฮาเสด็จมาถึงแล้วจึงได้ลุกขึ้นเพื่อไปต้อนรับ โดยมีฮองเฮาติดตามมาด้านหลัง
“เสด็จแม่ ระวังพ่ะย่ะค่ะ” จิ่งหมิงฮ่องเต้เอื้อมมือออกไปประคองไทเฮา องค์หญิงสิบสี่ก้าวขาออกไปอย่างรู้มารยาท
การกระทำของจิ่งหมิงฮ่องเต้ทำให้ไทเฮารู้สึกประทับใจยิ่งนัก นางยิ้มขึ้นกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ข้ายังเดินเองไหว”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ยิ้มแล้วกล่าวว่า “แน่นอนว่าพระวรกายของเสด็จแม่แข็งแรงดี เพียงแต่ลูกต้องการเข้าไปช่วยประคองเสด็จแม่เองก็เท่านั้น”
เมื่อพบว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้เข้าไปประคองไทเฮาก้าวขึ้นสู่แท่นสูงด้วยความระมัดระวัง ผู้คนในห้องโถงนั้นต่างพากันคิดว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้ปฏิบัติต่อไทเฮาด้วยความกตัญญูกตเวทีมาเนิ่นนานนับสิบปีไม่เคยเปลี่ยนแปลงดีเสียจริง
บรรดาอ๋องชราและเก้ามิ่งชราต่างอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าแล้วพากันอิจฉาความโชคดีของไทเฮา
แม้นในครอบครัวธรรมดา การที่เลี้ยงดูแลบุตรให้มีความกตัญญูกตเวทีได้ก็สมควรแก่การชื่นชม นับประสาอะไรกับองค์จักรพรรดิเล่า
บรรดาเหล่าสตรีที่เห็นไทเฮามีชีวิตอันดีงามเช่นนี้ก็รู้สึกชื่นชม ไม่รู้ว่าไทเฮาสั่งสมบุญมาแล้วกี่ชาติจึงได้เป็นเช่นนี้
ไทเฮาเสด็จก้าวขึ้นไปท่ามกลางสายตาของผู้คนอันชื่นชมอยู่ด้านล่างแล้วนั่งลงช้าๆ ด้วยการประคองจากจิ่งหมิงฮ่องเต้ สายพระเนตรทอดมองไปทั้งผู้คนด้านล่าง
ทุกคนในห้องโถงลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวคำนับ “ถวายพระพรแด่ไทเฮา ทรงพระเจริญหมื่นปี…”
ไทเฮาพยักหน้าเล็กน้อย เมื่อในห้องโถงเงียบเสียงลง นางจึงได้ยิ้มขึ้นว่า “ทุกคนล้วนเป็นคนกันเอง พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎมารยาทเช่นนั้นหรอก ปล่อยตัวตามสบายเถิด”
เมื่อไทเฮาตรัสเช่นนั้นทุกคนจึงได้พากันนั่งลง
เสียงเพลงบรรเลงขึ้น นางระบำในชุดสีสันสดใสก็เริ่มร่ายรำ เท้าของพวกนางเริงระบำไปรอบพรมนั้นด้วยเท้าเปล่า ที่ข้อเท้ามีกระดิ่ง สวมใส่เกิดเป็นเสียงกรุ๊งกริ๊งประกอบกับจังหวะเพลง ทำให้บรรยากาศในห้องโถงดูครึกครื้นขึ้นทันที
ไทเฮามองไปทางฮองเฮาแล้วพยักหน้าให้พร้อมรอยยิ้ม “ขอบใจฮองเฮาที่ช่วยจัดเตรียมให้”
ฮองเฮายกแก้วของนางขึ้น “การที่ลูกได้จัดเตรียมงานเลี้ยงฉลองให้เสด็จแม่นับว่าเป็นเกียรติยิ่งนักเพคะ ลูกขออวยพรให้เสด็จแม่อายุมั่นขวัญยืน อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของพวกเราตลอดไป”
ไทเฮายกแก้วขึ้นแล้วสัมผัสไปที่ริมฝีปากของตนเล็กน้อย
ต่อจากนี้เป็นการเข้ามาร่วมแสดงความยินดีและมอบของขวัญให้แก่ไทเฮาตามลำดับญาติในราชวงศ์
ลำดับแรกจะเป็นคนรุ่นเดียวกันกับไทเฮา ต่อมาก็เป็นคนรุ่นเดียวกันกับจิ่งหมิงฮ่องเต้ เมื่อพวกเขาเหล่านี้มอบของขวัญเป็นที่เสร็จสิ้นก็จะถึง ลำดับรุ่นหลาน องค์ชายหลายคนได้ก้าวเข้ามาถวายของขวัญวันคล้ายวันคล้ายวันพระราชสมภพแด่ไทเฮา แต่องค์ชายทั้งหลายในปีนี้กลับดูสะดุดตากว่าปีก่อนก่อน
หาใช่สิ่งอื่นใด เป็นเพราะตำแหน่งองค์รัชทายาทว่างเปล่า ทำให้ทุกคนล้วนพากันจับจ้อง
คู่แรกที่ก้าวเข้ามามอบของขวัญนั่นก็คือฉินอ๋องและพระชายา
ฉินอ๋องเป็นบุตรบุญธรรมของจิ่งหมิงฮ่องเต้ ต่อให้เขาไม่มีหวังจะได้ขึ้นครองบัลลังก์ ทว่าในการจัดอันดับนี้เขาก็ต้องอยู่อันดับก่อนหน้าขององค์ชายคนอื่น
หลายคนมองไปที่ฉินอ๋อง จากนั้นก้มหน้าดื่มสุราของตน
แม้จะถูกจัดอยู่ในอันดับแรกก็ไร้ความหมาย ถึงอย่างไรตำแหน่งองค์รัชทายาทก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับฉินอ๋องแม้แต่น้อย
ของขวัญที่ฉินอ๋องและพระชายามอบให้ก็คือหยกขาวรูปท้อ
ในบรรดาสมบัติล้ำค่าที่หายาก หยกขาวรูปท้อไม่นับว่ามีค่ามากนัก แต่ฝีมือการทำนั้นช่างประณีต ลูกท้อดูเหมือนเพิ่งจะเด็ดออกมาจากต้น
ไทเฮาเห็นดังนั้นก็ยิ้มออกมาด้วยความชื่นชม แล้วเอ่ยชมอยู่สองคำ
ต่อมาคือฉีอ๋อง
ของขวัญที่ฉีอ๋องนำมาถวายคือบทพระคัมภีร์ที่เขาคัดลอกด้วยตนเอง สิ่งที่น่าทึ่งก็คือพระคัมภีร์นั้นเป็นพระคำภีร์ลับจากต่างประเทศ แม้แต่พระภิกษุในราชวงศ์ต้าโจวก็ไม่เคยได้อ่านมาก่อน
แน่นอนว่าไทเฮารู้สึกยินดีและรับมันไว้ด้วยความดีใจ
อวี้จิ่นมองไปทางเจียงซื่อ สายตาเต็มไปด้วยความดูถูก
พี่สี่ช่างเป็นคนยากจนที่ต้องนำแม้กระทั่งสินสอดทองหมั้นของภรรยาออกมาใช้จริงๆ ของขวัญที่เขาเลือกจะนำมาถวายไทเฮากลับเป็นพระคัมภีร์บ้าบอนั่น
ส่วนการคัดลอกด้วยตนเอง จะว่าไปแล้วก็เพราะไม่มีค่าใช้จ่าย เหอะๆ คัมภีร์จากต่างแดนอย่างงั้นหรือ คาดว่าพี่สี่คงจะแอบไปท่องจำมาแล้วนำมาเขียนน่ะสิ สรุปก็คือเขาไร้ความสามารถนั้นเอง
เมื่อคนเราเกลียดชังใครเข้าแล้ว ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำเช่นไรก็ล้วนไม่เข้าตา อวี้จิ่นแสดงท่าทางการดูถูกเหยียดหยามฉีอ๋องออกมา
เจียงซื่อยิ้มกลับแล้วกะพริบตาเล็กน้อย
ก่อนที่อาจิ่นจะรู้สึกเยาะเย้ยฉีอ๋อง ไม่คิดบ้างหรือว่าเบี้ยของเอ้อร์หนิวผู้ใดเป็นคนเอาไปใช้
อาจเป็นเพราะมีจิตใจที่เชื่อมโยงต่อกัน อวี้จิ่นเห็นเจียงซื่อขยิบตาเช่นนั้นก็เข้าใจในความหมายของนาง สีหน้าของเขามืดมนลงทันที
เขาเอาเบี้ยหวัดของเอ้อร์หนิวไปใช้แล้วอย่างไรเล่า เขาเป็นคนที่เลี้ยงดูเอ้อร์หนิวมาจนเติบใหญ่ ใช้เงินของเอ้อร์หนิวเช่นนี้สมเหตุสมผลยิ่งนัก
ต่อมาเป็นของขวัญจากหลู่อ๋องและพระชายาซึ่งไม่ใช่แปลกเอาเสียเลย มันคือปะการังแดงคู่หนึ่งที่สูงประมาณหนึ่งจั้ง
ที่เรียกว่าไม่ใช่เรื่องแปลกนั่นก็เพราะปะการังแดงมักใช้เป็นของขวัญให้เห็นเป็นประจำ แต่จะว่าไปแล้วปะการังแรงคู่นี้ช่างดูสมจริงยิ่งนัก อย่างน้อยก็มีราคาสูงกว่าหยกขาวรูปท้อ
เมื่อถึงคราวที่สู่อ๋องและพระชายาออกไปถวายของขวัญ สิ่งที่พวกเขานำมามอบให้นั้นดูเป็นที่น่าพึงพอใจ ไทเฮายิ้มแล้วรับเอาไว้
สู่อ๋องกลับมายังที่นั่งของตนเองแล้วรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
เดิมทีเขาสามารถมอบของขวัญให้แก่เสด็จย่าเพื่อเอาอกเอาใจนางได้ แต่เสด็จแม่กลับบอกให้เขาถอยออกมาก่อน ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงสงบเสงี่ยมเอาไว้
จวงเฟยซึ่งนั่งอยู่บนแท่นสูงของมุมหนึ่งพยักหน้าเบาๆ นางรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่บุตรชายของตนเชื่อฟังคำ
จากนั้นถึงลำดับของอวี้จิ่นและเจียงซื่อ ทั้งสองลุกขึ้นจากที่นั่งพร้อมกันตรงไปที่แท่นสูงคารวะไทเฮาพร้อมเอ่ยคำอวยพร
“หลานทั้งสอง ขออวยพรและแสดงความยินดีแก่เสด็จย่าพ่ะย่ะค่ะ/เพคะ”
ข้าหลวงนำกล่องสีดำขนาดเล็กรับมาไว้ในมือแล้วเปิดออกตรงหน้าไทเฮา
สิ่งที่วางอยู่ในกล่องนั้นคือสายประคำไม้กฤษณา
ทันทีที่ไทเฮาเห็นสิ่งของที่นำมามอบให้ ดวงตาของนางก็หดหรี่ลง สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยโดยไม่อาจควบคุมได้
จิ่งหมิงฮ่องเต้เป็นผู้เอาใจใส่ไทเฮาทุกระเบียบนิ้ว เมื่อพบว่าท่าทางของไทเฮาดูแปลกไปจึงได้เอ่ยถามด้วยความสงสัย “เจ้าเจ็ด เหตุใดเจ้าจึงเลือกมอบสายประคำไม้กฤษณานี้ให้แก่เสด็จย่า”
ตามปกติแล้วไทเฮาจะสวมสายประคำไม้กฤษณาเอาไว้ที่ข้อมือ จิ่งหมิงฮ่องเต้จำสายประคำนั้นได้ดี
อวี้จิ่นได้ยินคำถามของจิ่งหมิงฮ่องเต้ดังนั้นจึงได้กล่าวออกไปอย่างมั่นใจว่า “ลูกคิดว่าเสด็จย่าคงจะชื่นชอบมัน”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หัวเราะเยาะ “สายประคำเช่นนี้…”
เขาต้องการจะกล่าวต่อไปว่าไทเฮามีสายประคำเช่นนี้อยู่แล้วและสวมไว้ไม่เคยห่างกาย แต่เมื่อเอ่ยขึ้นได้เพียงครึ่งประโยค เขาก็ต้องกลืนคำพูดอีกครึ่งเอาไว้ สายตาเหลือบมองไปยังข้อมือของไทเฮา
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรกัน ข้อมือของไทเฮาไม่ได้สวมสายประคำนั้นเอาไว้แล้ว
น่าแปลกยิ่งนัก เสด็จแม่ถอดสายประคำนั้นออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่
ในวันที่ประกาศให้เจ้าเจ็ดเป็นโอรสของฮองเฮา เขาได้เดินทางไปแจ้งเสด็จแม่และพบว่าสายประคำนั้นยังอยู่
ในใจของจิ่งหมิงฮ่องเต้เต็มไปด้วยความสงสัย ไทเฮาได้เอ่ยขึ้นว่า “สายประคำเช่นนี้ ข้าชื่นชอบยิ่งนัก ขอบใจพวกเจ้ามาก”
อวี้จิ่นเงยหน้าขึ้นมองดูไทเฮาแล้วยิ้มขึ้นเล็กน้อย “เสด็จย่าชื่นชอบก็ดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อกล่าวจบเขาก็ได้ถอยออกไปพร้อมกับเจียงซื่อ
หลังจากนั้นพิธีการมอบของขวัญยังคงดำเนินต่อไป แต่ดวงใจของไทเฮากลับรู้สึกปั่นป่วนเพราะสายประคำนั่น
ผู้ที่รู้สึกปั่นป่วนดวงใจ ยังรวมไปถึงจิ่งหมิงฮ่องเต้ด้วย
เพียงแค่สายประคำเท่านั้น เดิมทีเสด็จแม่ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ แต่เหตุใดนางจึงได้มีท่าทีแปลกประหลาดนัก หรือสายประคำที่ก่อนหน้านี้เสด็จแม่สวมใส่จะมีเรื่องราวความเป็นมา
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่เสด็จแม่ถอดสายประคำไม้กฤษณานั้นออก ในใจของจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็รู้สึกอึดอัดอย่างยากจะอธิบาย แต่ความรู้สึกสงสัยก็จางหายไปอย่างรวดเร็วเนื่องด้วยสถานการณ์ในห้องโถงอันครึกครื้นเข้ามาบดบัง
งานเลี้ยงยังคงดำเนินไป และมาถึงจุดที่ครึกครื้นเป็นที่สุด
ผู้คนทั้งหลายต่างพากันร่วมดื่มสุราเป็นการเฉลิมฉลอง
แต่สถานการณ์แตกต่างไปจากเมื่อก่อน ในวันนี้มีผู้ที่เข้ามารายล้อมอวี้จิ่นเป็นจำนวนมาก เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งโอรสของฮองเฮาของเขาทำให้ตัวเขาแตกต่างไปจากเดิม
ดวงตาของเซียงอ๋องมองไปแทบลุกเป็นไฟ เขาครุ่นคิดอยู่ในใจนับครั้งไม่ถ้วน หากวันนั้นเสด็จพ่อเลือกเขา ในวันนี้ผู้คนเหล่านั้นก็คงต้องเข้ามาประจบประแจงเขา
มือข้างหนึ่งตบลงที่บ่าเบาๆ
เซียงอ๋องหันหลังกลับไปมองดูพบว่าฉีอ๋องยกแก้วสุราขึ้น “น้องแปด พี่ขอดื่มให้เจ้าจอกหนึ่ง”
เซียงอ๋องดื่มสุราจากนั้นเดินไปหาอวี้จิ่น