ภาค 4 ตอนที่ 58 ใต้ผืนดาราเรียกชื่อแซ่ของเจ้า

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

สองคนเดินทางครึกครื้นกว่าคนเดียว นอกจากนี้เวลาส่วนมากจูจั้นคนเดียวก็เทียบได้กับสิบคน

ความครึกครื้นเช่นนี้ คุณหนูจวินชินแล้ว

ก่อนหน้านี้เคยเดินทางร่วมกับจูจั้นครั้งหนึ่ง นอกจากนี้ที่จริงตอนนั้นอาจารย์ก็หนวกหูมากเหมือนกัน

คงเป็นเพราะเดียวดายมากกระมัง แม้มีเจตนาจะขู่ไล่นางไป แต่ไยไม่ใช่การระบายความในใจอย่างหนึ่งของตนเองด้วย

ยามแสงอัสดงครอบคลุมผืนดิน คุณหนูจวินก็รั้งบังเ**ยนม้าหยุด ค้นหาสถานที่เหมาะๆ

“ที่นี่ไม่เหมาะ ไปข้างหน้าต่อ” จูจั้นเอ่ยอยู่ข้างหลัง

คุณหนูจวินไม่สนใจเขา พลิกกายลงจากม้า

“เฮ้ เจ้าผู้หญิงคนนี้…” จูจั้นเอ่ย

คุณหนูจวินหันกลับมามองเขาทีหนึ่ง

“ลงมา จุดไฟ ทำอาหาร” นางเอ่ย

จูจั้นเลิกคิ้วอยู่บนม้า

“ตัดสินใจขอให้ข้าช่วยแล้วรึ?” เขาเอ่ยท่าทางได้ใจ “แต่ต้องพูดให้ชัด”

คุณหนูจวินมองเขา

“พูดอะไรให้ชัด?” นางเอ่ยถาม

จูจั้นกระโดดลงจากม้า ยื่นมือชี้ฟ้าชี้ดิน

“งานนี่นะแบ่งได้มากมาย ตัวอย่างเช่นนำทาง” เขาเอ่ย “ตัวอย่างเช่นการค้างแรมข้างนอกอาหารการกิน ตัวอย่างเช่นการป้องกันงูแมลง ตามหาสมุนไพรเป็นเพียงหนึ่งอย่างในนั้น พวกเราต้องพูดกันก่อนว่าเจ้าต้องการความช่วยเหลือประเภทไหนบ้าน ทุกอย่างราคาล้วนไม่เท่ากัน”

คุณหนูจวินมองเขาแล้วก็ยิ้ม

“ทั้งหมด” นางเอ่ย พลางชี้ฟ้าชี้ดินแล้วชี้จูจั้น

จูจั้นรีบยื่นมือห้าม

“อย่าชี้มั่วซั่วนะ” เขาเอ่ยเตือน พลางก้าวเท้าหลบนิ้วของนาง “ถ้าอย่างนั้นในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะคิดเจ้าถูกลงหน่อย ราคาเดียวหนึ่งหมื่นตำลึงเหมาหมด”

คุณหนูจวินยิ้มตาหยี

“เอ้อร์เสี่ยวเอ๋ย ท่านยังไม่เข้าใจชัดอีกหรือว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร?” นางเอ่ยถาม

“สถานการณ์อะไร?” จูจั้นมองนางอย่างระแวง “อีกอย่าง ห้ามเรียกข้าว่าเอ้อร์เสี่ยว”

“ครอบครัวท่านยังติดค้างเงินข้าติดค้างน้ำใจข้า ท่านยังมาถกเรื่องการค้ากับข้าอีก” คุณหนูจวินจิ๊ปากเอ่ย “ท่านร้ายกาจจริงๆเลยนะ”

จูจั้นสีหน้าแข็งทื่อ มองคุณหนูจวินที่เดินเข้ามา ถอยหลังก้าวหนึ่งอย่างระแวง

“เป็นเจ้าพูดถึงการค้าขึ้นมาเอง” เขาเอ่ย

“ข้าพูดได้ ท่านพูดไม่ได้” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น ยืนนิ่งตรงหน้าจูจั้น “จูเอ้อร์เสี่ยว จะช่วยก็ทำงานเสียเร็วๆ เงินสักแดงก็ไม่มีให้ ไม่อยากช่วยก็รีบไสหัวไปไกลหน่อย”

ผู้หญิงหยาบช้าคนนี้!

จูจั้นสบถทีหนึ่งพลิกกายขี่ม้าเร็วรี่จากไป

คุณหนูจวินก็ไม่สนใจ หันกลับมาปล่อยม้ากินหญ้าให้อาหาร ทำเรื่องเหล่านี้เสร็จกำลังจะเก็บฟืนจุดไฟ เสียงกีบเท้าม้ากุบกับก็ดังขึ้น จูจั้นขี่ม้ากลับมาอีกครั้ง หลังร่างลากไม้ครึ่งต้นมาด้วย ฝุ่นดินฟุ้งตลบไปหมด

เห็นเขากลับมา คุณหนูจวินก็ไม่พูดไม่จา

จูจั้นก็ไม่พูดจา ลงจากม้าทันที เอามีดออกมาเหยียบกิ่งไม้ฟันฉึบฉับ จุดกองไฟขึ้นมาอย่างรวดเร็วยิ่ง แล้วยังปลดกระต่ายที่เพิ่งล่ามาใหม่ๆ สองตัวลงจากหลังม้าไปจัดการ

รอเขาจัดการเสร็จสิ้น ย่างกระต่ายบนกองไฟก็ได้ยินคุณหนูจวินถอนหายใจเฮ้อด้านหลัง

“บางคำพูด ไม่จำเป็นต้องพูด” จูจั้นยกมือขึ้น ศีรษะก็ไม่หันกลับมา เอ่ยขึ้นเสียงเรียบเฉย

“ท่าน…” คุณหนูจวินจะเอ่ยปากอีก

จูจั้นก็ขัดนางอีกครั้ง

“ต่อให้ไม่ใช่การค้า เป็นน้ำใจ ก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยขอบคุณเกรงอกเกรงใจ” เขาเอ่ย “ทุกคนต่างสบายใจก็พอแล้ว”

เสียงฝีเท้าดังขึ้น คุณหนูจวินยืนอยู่หลังร่างเขา มือตบบนหัวไหล่เขา

“นี่” นางเอ่ย “ท่าน…”

จูจั้นร้องเฮ้ยทีหนึ่งกระโดดหนี

“มีอะไรก็พูด อย่าจับนั่นจับนี่ ข้าขายศิลป์ไม่ขายเรือนร่าง” เขาตะโกนกรุ่นโกรธ

“ศิลป์นี่ของท่านขายก็ไม่มีใครเอา” คุณหนูจวินกลอกตา ท่าทางรำคาญหน่อยๆ “ท่านเคลื่อนไหวช้าเกินไปแล้ว”

นางพูดพลางมือชี้ไปด้านหลัง

“ข้าจะบอกว่าท่านทำด้านนี้เสร็จแล้วก็รีบไปปูที่นอน”

จูจั้นยิ่งอับอายโกรธเกรี้ยว

“เจ้าทำไม่เป็นรึ?” เขาเอ่ย

คุณหนูจวินเม้มปากโคลงศีรษะยิ้ม

“ไม่เป็นสิ” นางเอ่ย สองมือประคองใบหน้ากะพริบตามองเขา “ข้าเป็นเด็กสาวบอบบางนะ”

เด็กสาวบอบบาง

คำพูดไม่มีอะไรจริงเช่นนี้นางยังพูดออกมาได้

จูจั้นตัวสั่นสะท้าน ยกเท้าจะถอยหลังไป

คุณหนูจวินเม้มปากยิ้ม นั่งลงข้างกองไฟ มองดูเนื้อกระต่ายที่ถูกมีดเสียบทะลุย่างอยู่ ฟังเสียงปูกิ่งไม้ใบไม้ด้านหลังร่าง

“เฮ้ เนื้อกระต่ายนี่น่าจะกลับด้านได้แล้วกระมัง?” นางพลันตะโกน “ใกล้จะไหม้แล้ว”

จูจั้นโยนเบาะผ้าสักหลาดที่เพิ่งปลดลงจากหลังม้าทิ้งกับพื้น กัดฟันก้าวไวๆ เดินเข้ามา กลับเนื้อกระต่ายหลายที แล้วพรมเกลือลงไป หน้าบึ้งไปปูเบาะผ้าสักหลาดต่อ

คุณหนูจวินนั่งอยู่ข้างกองไฟก้มศีรษะกินอยู่ก็ยิ้ม เงยศีรษะมองผืนดารา

ค่ำคืนยิ่งมืดมิด ท้องนภากลับยิ่งสว่างไสว

ท้องนภาดาราพราวพร่างเช่นนี้นางไม่แปลกตา ตอนติดตามอาจารย์เคยเห็นมาก่อน ตอนที่ตนเดินทางลำพังก็เคยเห็นมาก่อน ตอนที่นั่งบนหลังคาจวนไหวอ๋องก็เคยเห็นมาก่อน

แต่ท้องนภาดาราพราวพร่างเช่นนี้ก็ไม่ได้เห็นมาเนิ่นนานนักแล้ว

ผืนดารายังไม่เปลี่ยน แต่คนใต้ผืนดาราเปลี่ยนไปแล้ว

กลิ่นหอมลอยกำจายอยู่ในจมูก พร้อมกันนั้นก็มีของดำปิดปี๋แทบจะทิ่มโดนหน้า

คุณหนูจวินได้สติกลับมามอง

ในมือจูจั้นถือเนื้อกรต่ายที่ย่างเสร็จแล้วอยู่ก้มมองนางจากข้างบน

“ต้องให้ป้อนเจ้าด้วยไหมล่ะ?” เขาเอ่ย

คุณหนูจวินพยักหน้าอย่างไม่ลังเลสักนิด

“เอาสิ” นางเอ่ย หลังจากนั้นก็อ้าปากจริงๆ

จูจั้นถลึงตาพรูลมหายใจ

“ข้ายอมแพ้” เขาเอ่ย

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่ารับเนื้อย่างไป จูจั้นก็ถือเนื้อย่างคล้ายไม่อยากมองนางแม้แต่ครั้งเดียว ไปนั่งกินข้างม้าทั้งสองตัว

ทว่าเห็นชัดยิ่งว่าเขาไม่อาจสมความปรารถนา

“จูจั้น น้ำเล่า?”

“จูจั้น เนื้อไม่พอนะ”

“จูจั้น มีผลไม้ทานหรือไม่?”

“ทำไมไม่มีล่ะ? ข้างหน้าที่ท่านไปก่อนหน้านี้มีต้นซิ่ง…

“ถ้าไม่งั้นท่านไปเก็บเสียตอนนี้…”

เสียงของเด็กสาวดังขึ้นเป็นระยะไม่เร่งร้อนไม่เชื่องช้า ยังท่าทางกรีดกรายอยู่บ้าง(

แต่นี่ไม่อาจทำให้จูจั้นเบิกบานสำราญใจได้ เสียงกัดฟันของเขายิ่งดังขึ้นทุกที

“จวินจิ่วหลิง! เจ้าเล่นพอแล้วหรือยัง?” ในที่สุดเขาก็คำรามเอ่ย

เสียงของคุณหนูจวินหยุดลง มองเขาพลางยิ้มแล้ว จากนั้นก็สีหน้าเคร่งขรึมพยักหน้า

ดูท่าทางเจ้าเล่ห์นี่สิ!

จูจั้นกัดฟันโยนกิ่งไม้กิ่งหนึ่งเข้าไปในกองไฟอย่างโมโห หมดเรี่ยวแรงจะกลับไปข้างม้า นั่งลงเสียตรงนั้น

ที่ก็มีอยู่เท่านี้ขอแค่ผู้หญิงคนนี้มีใจจะทรมาน ต่อให้ตาไม่เห็นก็ไม่มีปัญหา

“มีอะไรก็พูด อย่าทำตัวเป็นเด็กแบบนี้ได้หรือไม่? เล่นละครไม่มีความหมายพวกนี้?” จูจั้นหน้าขรึมเอ่ย

คุณหนูจวินอมยิ้มพลางพยักหน้าว่าง่ายอย่างยิ่ง

จูจั้นมองนางทีหนึ่ง ถือกิ่งไม้เขี่ยกองไฟ

ทุ่งกว้างยามค่ำคืนในที่สุดก็ฟื้นคืนความเงียบสงบที่ควรมี

ใต้ท้องฟ้าดวงดาราพร่างพราว กองไฟลุกโชน ม้าส่งเสียงฟืดฟาด รอบด้านมีเสียงแมลงค่อยๆ ดังขึ้น

จูจั้นรู้สึกเป็นครั้งแรกว่าความเงียบทำให้คนเบิกบานใจจริงๆ

“แต่ มีเรื่องหนึ่งข้าอยากบอก”

เสียงสตรีอ่อนโยนดังขึ้นอีกครั้ง

จูจั้นมองไปหานาง ใต้แสงเปลวไฟ สีหน้าของเด็กสาวอ่อนโยนเฉกเช่นเสียงพูด นางนั่งเงียบสงบ ไม่หัวเราะร่าเช่นนั้นอย่างก่อนหน้านี้ ท่าทางสง่างาม

จูจั้นเหล่ตามองนาง

“เมื่อครู่ท่านเรียกข้าว่าจวินจิ่วหลิง” คุณหนูจวินมองเขาเอ่ยขึ้นอย่างตั้งใจ “ท่านเรียกข้าอีกครั้งได้หรือไม่ แค่เรียกชื่อ”

จิ่วหลิง

จิ่วหลิง

ใต้แสงเปลวไฟสาดส่อง ใบหน้าของจูจั้นเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืด เสียงปั้บดังขึ้นทีหนึ่ง เขาโยนกิ่งไม้เข้าไปในกองไฟ

“คนแซ่จวิน เจ้าอย่ารังแกคนเกินไปนัก” เขาตะโกนอย่างอับอายหงุดหงิด คนก็กระโดดลุกขึ้นเดินฮึดฮัดจากไป

คุณหนูจวินมองแผ่นหลังของเขา

“ข้ารังแกท่านอย่างไรเล่า?” นางเอ่ย

เพียงแค่อยากได้ยินคนในอดีตเรียกชื่อในอดีตสักคำเท่านั้น

นางเงยศีรษะมองดูท้องนภาที่ดวงดาวพร่างพราว

ของยังคงเดิมคนหาใช่ไม่ บางครั้งนางก็ไม่รู้ว่าตนเองเป็นใครแล้ว

……………………………………….

“จูจั้น”

ตอนที่เสียงของคุณหนูจวินดังขึ้น จูจั้นก็ถอยหลังก้าวหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว

“เจ้าคิดจะทำอะไรอีก?” เขาคำราม

“ไม่มีอะไร ข้าจะนอนแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ยแล้วคลุมผ้าคลุม เดินไปทางเบาะบนพื้นที่ปูไว้เรียบร้อยแล้ว

จูจั้นมองนางเดินผ่านข้างกายไปอย่างระแวง

“นอนก็นอน บอกอะไร” เขาเอ่ย

“ย่อมต้องบอกสิ ท่านเฝ้ายามกลางคืนด้วยนะ” คุณหนูจวินเอ่ย “ลำบากแล้ว”

ยังมีมารยาทอยู่บ้าง…ในใจจูจั้นคิด จากนั้นก็ถอนหายใจร้องเอ๊ะ

“เจ้าไม่ใช่มีอาวุธลับร้ายกาจมากพวกนั้นหรือ? เขาเอ่ย “วางไว้จะคนจะผีก็ยากเข้าใกล้แล้ว ยังต้องเฝ้ายามกลางคืนอะไรอีก”

คุณหนูจวินร้องอ้อ ลุกขึ้นนั่งบนเบาะ

“ก่อนหน้านี้วางพวกนั้นไว้เพราะมีข้าแค่คนเดียว ตอนนี้…” นางเอ่ยพลางมองจูจั้น สีหน้าจริงใจทั้งยังถอนหายใจ “มีท่านแล้วไง ท่านร้ายกาจปานนี้ มีท่านอยู่ข้าวางใจยิ่งนัก”

ในที่สุดนางก็ยอมรับแล้วว่าเขาร้ายกาจมาก จูจั้นแค่นเสียงเหอะสองที แต่แล้วก็ขมวดคิ้ว น้ำเสียงนี่คำพูดนี่คล้ายไม่มีสิ่งใดไม่ถูก แต่อย่างไรก็รู้สึกว่ามีตรงไหนไม่ถูก

“….อาวุธลับยาพิษพวกนั้นทำขึ้นมาทั้งแพงทั้งยุ่งยาก อย่างไรประหยัดหน่อยย่อมดีกว่าไม่ใช้ได้ก็ไม่ใช้”

คุณพระ! ผู้หญิงคนนี้!

รู้อยู่แล้วเชียวว่านางเป็นคนไม่ปกติคนหนึ่ง!

จูจั้นร้องเฮ้ทีหนึ่ง มองเด็กสาวที่ดึงผ้าคลุมนอนลงไป

“คนแซ่จวิน! เจ้านี่มัน!”

“เฮ้ ต่อให้เฝ้ายามกลางคืน นั่นก็ต้องเปลี่ยนเวรกันนะ! อาศัยอะไรให้ข้าทำคนเดียว!”

คุณหนูจวินโผล่สองตาออกมาจากในผ้าคลุม ประหนึ่งดวงดาราบนท้องนภายามราตรีส่องประกายวิบวับ

“อาศัยอะไร? อาศัยที่ท่านติดค้างข้า ข้าไม่ติดค้างท่านไง” นางเอ่ยเสียงอ่อนโยน

พูดมาถึงตรงนี้ก็ไม่มีความหมายให้พูดต่อแล้ว

จูจั้นรู้สึกว่าไม่เคยเหนื่อยล้าเท่านี้มาก่อน

ทำไมเขารู้สึกเหนื่อยล้าแบบนี้?

เขาเคยไล่ล่าสังหารโจรจินสามวันไม่นอนไม่พัก เขาเคยระหกระเหินเดินทางไกลกลางทุ่งกว้างนี่น้ำสักหยดไม่ได้ดื่ม

ยามนั้นเขาล้วนไม่รู้สึกเหนื่อยล้าสักนิด

ค่ำคืนฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้ ใต้ฟากฟ้าดวงดาวดารดาษงดงามเช่นนี้

ทำไมเขารู้สึกเหนื่อยล้าได้?

เขามองผ้าคลุมปักบุปผาสีทองงดงาม มองดูเรือนร่างอรชรงดงามที่ปรากฏใต้ผ้าคลุมรวมถึงเส้นผมดำขลับที่แผ่สยายเผยออกมานั่นด้านนั้น

นี่ควรเป็นภาพที่ทำให้คนเพลินตาเพลินใจถึงขั้นคิดเพ้อไปไกลชัดๆ

จูจั้นอดไม่ได้ยื่นมือออกไปหาท้องนภาดวงดาวดารดาษคว้าฉีกเปะปะอยู่พักหนึ่ง คล้ายต้องการฉีกทึ้งค่ำคืนฤดูใบไม้ผลิที่น่าหงุดหงิดนี่

กลางคืนทำไมยังไม่ผ่านพ้นไปอีกนะ? ฟ้าทำไมยังไม่สว่างอีก?

นี่เมื่อไรถึงจะจบนะ