“จูจั้น”
“จูจั้น”
หลังเรียกชื่อนี้ได้สามรอบ บุรุษด้านหน้าในที่สุดก็หันกลับมา
สีหน้าเขาบึ้งตึง ดูไปแล้วเคร่งขรึมและจริงจัง
“เรื่องอะไร?” เขาเอ่ยถามเสียงเข้ม
คุณหนูจวินควบม้าเร่งตามมา มองเขาแล้วยิ้ม
“ท่านทำไมไม่พูดจาเล่า?” นางเอ่ยถาม
จูจั้นสีหน้านิ่งสงบ
“พูดอะไร?” เขาเอ่ยถาม
คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว
“ท่านไม่ใช่พูดเป็นต่อยหอยหรือ? ทำไมหลายวันนี้ไม่พูดไม่จาแล้วเล่า? ดูแล้วแปลกนัก” นางยิ้มเอ่ย
จูจั้นสบถทีหนึ่ง
“เจ้าสิพูดเป็นต่อยหอย” เขาเอ่ย พูดจบก็หันหน้าไปควบม้าวิ่งเร็วรี่
คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าติดตามไป
“ท่านโต้ได้แค่สี่คำนี้เองรึ?” นางเอ่ย
จูจั้นเพียงมองด้านหน้า ตาไม่เหล่มอง สักคำก็ไม่พูด
“นี่ นี่” คุณหนูจวินใช้แส้ม้าทิ่มเขา “ท่านทำไมไม่พูดจาแล้วเล่า?”
จูจั้นยื่นมือมากำแส้ม้าของนาง
“อย่าหาเรื่อง” เขาเสียงเข้มเอ่ยทีละคำ “ข้าเดิมทีก็เป็นคนไม่ชอบพูด”
คุณหนูจวินหัวเราะพรืด
“ท่านรู้สึกว่าพูดสู้ข้าไม่ได้เลยไม่พูดแล้วใช่หรือไม่?” นางเอ่ย
จูจั้นไม่ได้ระเบิดอารมณ์โมโหออกมา ยังคงสีหน้านิ่งสงบ สะบัดแส้ม้าของนางออก เดินไปข้างหน้าต่อ
คุณหนูจวินยิ้มพลางตามไปอีกครั้ง
“เฮ้” เขาเอ่ย
ครั้งนี้ไม่รอนางพูด จูจั้นก็หันหน้ามาเป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อนแล้ว
“คำมีประโยชน์ย่อมพูด ไม่มีประโยชน์ย่อมไม่ต้องพูด” เขาเอ่ย “สิ่งที่พวกเราควรพูดกันล้วนพูดไปแล้ว เจ้ายังอยากพูดอะไรอีก?”
คุณหนูจวินดวงตายิ้มโค้งวิบวับมองเขา
“ข้าอยากดื่มน้ำ” นางเอ่ย
จูจั้นสีหน้านิ่งสงบยื่นมือปลดถุงน้ำส่งให้นาง
คุณหนูจวินรับไปเปิดดื่มหลายอึกแล้วส่งคืนไป
“ข้าหิวนิดหน่อยแล้ว” นางเอ่ยอีกหน
จูจั้นล้วงผลไม้ป่าหลายลูกจากในย่ามส่งให้
คุณหนูจวินไม่รับ
“สกปรกไหมน่ะ?” นางยื่นศีรษะมองแล้วเอ่ยขึ้น
จูจั้นเช็ดผลไม้บนตัวแรงๆ สองสามที ส่งมาอีกครั้ง
คุณหนูจวินรับไปกัดกร้วมๆ
“ครั้งก่อนท่านตัวคนเดียวเดินทางจากเป่าโจวไปถึงเมืองหลวงสินะ?” นางเอ่ยไปพลาง “คนเดียวลำบากมากหรือไม่?”
“ไม่ลำบาก ข้าชินกับการอยู่คนเดียว” จูจั้นเอ่ย สายตามองไปด้านหน้าคล้ายมองไม่เห็นว่าข้างกายมีคนอยู่
คุณหนูจวินพยักหน้า
“เดิมทีข้าก็ชินกับการอยู่คนเดียว” นางเอ่ย กินผลไม้กร้วมๆ พลางส่ายศีรษะยิ้มตาหยี “แต่ตอนนี้รู้สึกว่าสองคนเดินทางเป็นเพื่อนกันไม่เลวจริงๆ”
พูดจบก็ยื่นมือแบออก
“กินเสร็จแล้ว”
ผลไม้นี่น้ำมาก มือน้อยที่แบออกมาดูแล้วเหนียวเหนอะหนะ
จูจั้นดึงผ้าเช็ดหน้าไหมออกมาจากเอว ตาไม่เหล่แลยื่นแขนยาวๆ ออกแรงเช็ดบนมือนางแม่นยำไม่พลาดหลายที
คุณหนูจวินเก็บมือกลับไปยิ้มพออกพอใจ
“จูจั้น” นางเอ่ย
หัวคิ้วของจูจั้นกระตุกอย่างไม่สามารถสังเกตได้
“คุณหนูจวินยังมีอะไรสั่งหรือ?” เขาเอ่ย
แต่เสียงคล้ายเค้นลอดไรฟันออกมา
คุณหนูจวินนั่งอยู่บนม้านวดคลึงหน้า ท่าทางสบายอกสบายใจแกว่งขา
“ข้าคิดก่อนนะ” นางเอ่ย
“ไม่รีบร้อน ท่านค่อยๆ คิด” จูจั้นเอ่ยเสียงเข้ม
คุณหนูจวินขานอื้มทีหนึ่ง
“ยังอีกไกลไหม? เดินทางตั้งนานแล้ว เหนื่อยนัก” นางเอ่ย เสียงขึ้นจมูกชัด ท่าทางเกียจคร้านไร้เดียงสาอยู่บ้าง
ในที่สุดจูจั้นก็หันหน้ามามองนาง
“คุณหนูจวิน ทางเส้นนี้เป็นท่านเลือก” เขาเอ่ย มือที่กำเชือกบังเ**ยนเส้นเลือดเขียวปูดโปน “ผู้น้อย ไม่ทราบจริงๆ”
คุณหนูจวินมองเขาพลันเม้มปากยิ้ม
“ท่านไม่ทราบหรือ? ข้าทราบ” นางนั่งตัวตรง “ก็แค่จะเตือนท่านสักหน่อยว่าข้าร้ายกาจจมากเพียงใด”
พูดจบก็สะบัดแส้ม้าทีหนึ่ง วาดบุปผาดอกหนึ่งกลางอากาศ ส่งเสียงปั้บดังกังวานทีหนึ่ง
ม้าร้องเสียงใส เตะเท้าควบทะยานไปข้างหน้า เด็กสาวที่ขี่อยู่บนม้าผ้าคลุมบางที่คลุมอยู่บนศีรษะเด็กสาวปลิวตามลม ไหลร่วงมาอยู่ด้านหลังร่างประหนึ่งเมฆอัสดง
สีหน้าจูจั้นก็ประหนึ่งเมฆอัสดง
แน่นอนไม่ใช่มองเห็นสาวงามเช่นนี้จึงเขินอายหน้าแดง
เขาแหงนศีรษะพรูลมหายใจหนักๆ ไร้เสียงทีหนึ่ง ยื่นมือออกแรงตบซ้ายตบขวาสองทีใส่ภาพแผ่นหลังของเด็กสาวที่ควบม้าเร็วรี่อยู่เบื้องหน้า
บนโลกนี้ทำไมมีผู้หญิงที่น่ากลัวเช่นนี้อยู่!
ทำไมผู้หญิงที่น่ากลัวเช่นนี้ดันต้องใจเขา! เกาะหนึบเขา!
นี่ก็คือที่เรียกกันว่าคนงามฟ้าอิจฉาสินะ!
……………………………………….
บนยอดเขาที่หินผาซ้อนเป็นชั้นๆ เชือกหนาถูกน้ำซึมเปียก ส่งเสียงหนักแน่นออกมาพร้อมกับมัดรัดบนก้อนหิน
เมื่อเห็นปมเชือกมัดดีแล้ว คุณหนูจวินก็คว้าเชือกยกเท้าเหยียบบนหินภูเขา คนก็ถอยไปข้างหลัง มือที่กำเชือกไว้แน่นพริบตาถูกรัดจนแดง
“เอาล่ะ” นางปล่อยเชือกแล้วยืนดีๆ “แข็งแรงยิ่ง”
จูจั้นที่อยู่ด้านข้างกอดอกสีหน้าติดจะดูแคลนอยู่บ้าง แต่ไม่พูดจา
คุณหนูจวินหันหน้ามองเขา
“ยังมองอะไรเล่า ลงไปสิ” นางว่า “เชือกที่ข้าทำแข็งแรงมาก ไม่มีทางเหมือนของท่าน บอกขาดก็ขาด”
จูจั้นแค่นเสียงเหอะ ไม่พูดจายื่นมือคว้าเชือกที่กระจายอยู่บนพื้นมัดไว้กับเอว
“นี่ เจ้ามั่นใจว่าหน้าผานี่มีสมุนไพรไหม?” เขายืนอยู่ริมหน้าผา มองดูเนินลาดเอียงสูงชัน
เขาลูกนี้แม้ไม่นับว่าสูง แต่หน้าผาก็ป่ายปีนยากนัก
“ท่านลงไปลองดูไม่ใช่ก็รู้แล้วหรือ” คุณหนูจวินเอ่ย โบกมือเร่ง “รีบทำงาน รีบทำงาน ข้าดูเชือกให้ ท่านวางใจได้ ยังไงก็ดึงท่านขึ้นมาได้”
จูจั้นถลึงตามองนางทีหนึ่งไม่พูดจาอีก หนึ่งก้าวก้าวเข้าไปคนก็ร่วงไปทางหน้าผา หากไม่ใช่ฝั่งหน้าผามีมือที่ปีนอยู่บนก้อนหินโผล่ออกมา ยังคิดว่าคนตกลงไปแล้ว
คุณหนูจวินยืนอยู่ด้านข้างมองดูเขาปีนลงไป แล้วเดินกลับไปข้างหินภูเขาจ้องเชือก คล้ายเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน จึงคว้าเชือกแล้วมัดไว้กับหินภูเขาอีกก้อนหนึ่งเสียเลย หลังจากนั้นถึงปัดมือ
“คราวนี้ไม่มีทางเกิดเรื่องแน่นอน” นางเอ่ย นั่งลงบนหินภูเขา ปลดถุงหอมข้างเอวออกมา เทถั่วคั่วกำหนึ่งออกมากินกร้วมๆ
“…มองไม่เห็นนะ…”
ใต้เขาเสียงตะโกนของจูจั้นดังขึ้น
“ค่อยๆ ดู” คุณหนูจวินศีรษะไม่เงยขึ้นด้วยซ้ำเอ่ยขึ้น “ดูให้ดีๆ รีบร้อนอะไรเล่า”
จูจั้นไม่เอ่ยวาจาอีก เชือกที่ขดวางอยู่บนพื้นส่ายขยับไหลไป เห็นชัดยิ่งว่าคนกำลังปีนร่วงลงข้างล่าง
ภูเขาตกอยู่ในความเงียบ นอกจากเสียงหินภูเขาร่วงหล่นเป็นระยะ
จูจั้นกำลังตั้งใจค้นหาบนหน้าผา ส่วนในพุ่มไม้เตี้ยบนเนินลาดเอียงด้านซ้ายของหน้าผา ดวงตาคู่หนึ่งก็กำลังตั้งใจมองดูเขาอยู่เช่นกัน
เพราะมีคนช่วยดูเชือก จูจั้นจึงวางใจยิ่ง จดจ่อค้นหาสมุนไพรยิ่ง เด็กสาวบนหินภูเขาก็ตั้งใจกินถั่วมากเช่นกัน
ลมภูเขาหมุนวน ต้นไม้ใบหญ้าส่ายไหว หลอดเป่ายาวหลอดหนึ่งยื่นออกมาจากในพุ่มไม้ เล็งมาที่จูจั้นซึ่งเกาะอยู่บนหน้าผาด้านล่างฝั่งนี้
เสียงฟึบดังขึ้น
ศรคมดอกหนึ่งทอประกายเย็นเยียบแหวกอากาศมา
ในพุ่มไม้เตี้ยเสียงครางต่ำทีหนึ่งดังขึ้น จากนั้นกิ่งไม้ก็สะบัดดังฟึบ มีคนกลิ่งร่วงมาจากข้างใน
จูจั้นที่ปีนป่ายอยู่บนหน้าผางอร่าง เท้าถีบทีหนึ่งมือคว้าหินภูเขาปีนมาด้านนี้ การเคลื่อนไหวของเขาว่องไว พริบตาก็มาถึงฝั่งนี้ คนออกแรงกระโดดทีหนึ่งก็โจนไปตกบนเนินลาดเอียง
บุรุษผู้ถูกกิ่งไม้ใบไม้ขวางไว้ไม่ได้ร่วงลงหน้าผาไปถูกจูจั้นพลิกขึ้นมา เผยใบหน้าธรรมดาไม่แปลกตา
“ตายแล้ว” จูจั้นหันกลับมาตะโกนบอก มองดูยืนอยู่ข้างผา
คุณหนูจวินไม่รู้ลุกขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร ในมือกำหลอดเป่าแท่งหนึ่งไว้
“เขาไม่ตายท่านก็ตายไปแล้ว” นางเอ่ย “อย่าคิดจับเป็นเลย คนผู้นี้ซ่อนตัวมาจนถึงวันนี้ ย่อมไม่มีทางให้โอกาสนี้กับท่าน ให้โอกาสเขาปุบก็คือโอกาสเขาสังหารท่านตาย”
ถ้าอย่างนั้นคนผู้นี้ย่อมไม่มีทางทิ้งร่องรอยใดๆ เกี่ยวกับตัวตนเอาไว้เช่นกัน
จูจั้นลุกขึ้นยืน เตะเขาทีหนึ่งลงหน้าผาไป
“ท่านเดาว่าเป็นใคร?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม
“เป็นคนที่อยากให้ข้าตาย” จูจั้นเอ่ยแล้วยิ้มหยัน “คนที่อยากให้พ่อข้าทุกข์ทรมาน”
คุณหนูจวินมองไปทางเมืองหลวง
“ล้วนบอกกันว่าเมืองหลวงอยู่ไม่ง่าย” นางเอ่ย “ดูท่าเข้าเมืองหลวงก็ไม่ง่าย”
……………………………………….
เมืองหลวง ในที่ทำการขุนนางด้านข้างถนนเสด็จพระราชดำเนิน ขุนนางผู้น้อยหลายคนวิ่งวุ่นไม่สงบ ไม่นานคนมากมายก็รวมอยู่ด้วยกัน
“จริงแท้แน่นอน จริงแท้แน่นอนแล้ว”
“ข่าวเป็นจริง”
“ในราชสำนักหารือตกลงกันแล้ว”
พวกเขาเอ่ยเสียงเบารัวเร็ว ชั่วขณะพูดแผ่วเบาแล้วชั่วขณะก็ฮือฮา จ้อกแจ้กแจแจ ทำให้ที่ทำการขุนนางที่เคยเงียบสงบปั่นป่วนวุ่นวายขึ้นมา
หนิงอวิ๋นเจาที่อยู่ในห้องวางเอกสารในมือลง มองดูสหายขุนนางคนหนึ่งที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ไม่มีลมไม่เกิดคลื่นจริงๆ คลื่นนี้ใหญ่ขึ้นทุกทีๆ แล้ว” เขายิ้มนิดหนึ่งเอ่ยขึ้น