ตอนที่ 593 ความจริงแล้ว ท่านอาจมี (3)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

บทที่ 593 ความจริงแล้ว ท่านอาจมี (3)

สีหน้าท่าทางของเหล่าเหยียนจุนและแม่ทัพทั้งหลายในข่ายอาคมนั้น ล้วนเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน “แล้วจะเข้าไปแทรกแซงในเรื่องนี้ได้อย่างไร?”

ราชาฉู่เจียงกล่าวออกมาอย่างฉุนเฉียวว่า “ต้องเป็นเผ่าปีศาจพวกนั้นที่แอบวางแผนร้ายกับเราแน่ๆ! พวกเขาต้องการสังหารเผ่าเวท! พวกมันมีจิตใจชั่วร้ายมากมายเพียงใดกัน!?!”

“ผู้พิพากษาจงอยู่ที่ใด!?!”

ใบหน้าของราชาอู่กวนมืดทะมึนขึ้นทันที เขาร้องตะโกนว่า “จงเตรียมรายชื่อชาวเผ่าเวทที่เข้าสู่สังสารวัฏในรอบหมื่นปีที่ผ่านมาเดี๋ยวนี้!”

“ขอรับ!”

ทันใดนั้นผู้พิพากษาร่างใหญ่ที่ไว้หนวดเคราเฟิ้มก็ลุกยืนขึ้นแล้วบินออกไปจากข่ายอาคมเพื่อตรงไปยังดินแดนแห่งสังสารวัฏ

ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วก็สังเกตเห็นว่า ความจริงแล้ว ผู้พิพากษาร่างใหญ่ผู้นี้เป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง และดวงตาของเขาก็สว่างวาบขึ้นทันที

เหล่าเหยียนจุนบางคนก่นด่าออกมาว่า “หากพวกเราไม่ไปช่วยเหลือผู้คนเผ่าเดียวกันในดินแดนเทวะอุดรนั้นก็แล้วไป แต่ความจริงกลับจะปล่อยให้ชาวเผ่าเวทถูกพวกเขาวางแผนร้ายตลบหลังภายใต้เปลือกตา[1]ของพวกเราได้!”

“ข้าเกรงว่า มันจะไม่ง่ายเช่นนั้น หากมีปัญหาบางอย่างผิดพลาดเกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิดขึ้นที่นี่ หรือหากมีดวงวิญญาณของชาวเผ่าเวทที่ควรกลับชาติมาเกิดน้อยลง แล้วพวกเราจะไม่รู้ได้อย่างไร?

แม้ว่าเราจะไม่รู้ก็ตาม ทว่านี่คือความไม่สมดุลของหกวิถี และนั่นก็เป็นความผิดพลาด ซึ่งจะไม่มีทางถูกปกปิดเอาไว้ได้นานนับหมื่นปี!”

“เร็วเข้า รีบไปที่วัง!”

ทันใดนั้น เหล่าเหยียนจุนทั้งหลายต่างก็รีบร้อนพาหลี่ฉางโซ่วและคนอื่นๆ ไปยังดินแดนสำคัญแห่งสังสารวัฏและไปที่วังเหยียนหลัว[2]แห่งแดนยมโลก

ในขณะนั้นบรรดาเหยียนจุนคนอื่นๆ ต่างก็พากันตื่นตระหนกกับเรื่องนี้เช่นกัน พวกเขารีบไปพบกันที่ห้องทรงงานของราชาฉินก่วงและร่วมมือกันช่วยพลิกดูกองตำราที่บรรดาเจ้าหน้าที่แห่งแดนยมโลกนำมาให้

หลี่ฉางโซ่วและร่างจำแลงขององค์เง็กเซียน ได้ปรึกษาหารือกันผ่านการส่งข้อความเสียง พวกเขามีท่าทีดูสงบและผ่อนคลายอย่างเป็นธรรมชาติ

และในไม่ช้าก็มีคำตอบออกมา…

ไม่มีตำแหน่งว่างสำหรับจำนวนชาวเผ่าเวทที่กลับชาติมาเกิด

“พวกชาวเผ่าเวทส่วนใหญ่นั้น ส่วนใหญ่มีอายุขัยยืนยาวมากกว่าหนึ่งหมื่นปี และในขณะนี้ยังไม่มี ชาวเผ่าเวทที่กลับชาติมาเกิด นั่นจึงเป็นเหตุให้เขาปิดบังมันจากพวกเราได้!”

“ใต้เท้าเทพวารี พวกเราควรจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรดี? พวกเรามีหน้าที่รับผิดชอบต่อแดนยมโลกและแบกความรับผิดชอบเต๋าสวรรค์เช่นกัน… ”

“ทุกคน ไม่ต้องกังวล!” หลี่ฉางโซ่วลุกขึ้นยืนและสะบัดแส้หางม้าของเขา

“ในเมื่อศาลสวรรค์ได้เข้ามาแทรกแซงในเรื่องนี้แล้ว พวกเขาจึงต้องสอบสวนให้ถึงที่สุดเพื่อให้คำอธิบายแก่ชาวเผ่าเวท! ที่ข้ามาแดนยมโลกในครั้งนี้ ก็เพื่อค้นหาดูว่ามีส่วนเชื่อมต่อตรงส่วนใดที่ผิดพลาดไป

ข้ายังมีข้อกังขาบางอย่าง… กระบวนการสังสารวัฏที่แท้จริงเป็นอย่างไรหรือ? ”

หยินและหยางควรจะปฏิสนธิ หลอมรวมกันในครรภ์มารดาก่อนจะให้กำเนิดตัวอ่อนของสิ่งมีชีวิตขึ้นในครรภ์มารดา และจากนั้นจึงให้วิญญาณแท้เข้าไปในครรภ์เพื่อถือกำเนิดขึ้นใหม่ หรือวิญญาณแท้จะต้องมีส่วนร่วมในทุกๆ ส่วนของการเชื่อมโยง? ”

ราชาฉินก่วงกล่าวว่า “มีทั้งสองประเภท แต่ส่วนใหญ่เป็นประเภทแรก

สิ่งมีชีวิตที่ให้กำเนิดลูกเป็นตัวออกมา เฉกเช่นชาวเผ่าเวทและมนุษย์ ทั้งหมดล้วนเกิดมาพร้อมกับตัวอ่อนของสิ่งมีชีวิต

พวกเขาจะเกิดหลังจากที่มีวิญญาณแท้ จากนั้นพวกเขาจะเติบโตด้วยตัวอ่อนของวิญญาณแท้ของพวกเขาที่กลับชาติมาเกิดเพื่อให้หัวใจของสิ่งมีชีวิตที่เป็นทารกในครรภ์นี้มีชีพจรเต้น และเมื่อนั้น ก็ถือได้ว่า พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิต!

ในโลกมนุษย์ มักกล่าวกันว่า ลูกคือเนื้อชิ้นหนึ่งที่หลุดออกมาจากร่างมารดา ความจริงแล้ว มันก็สมเหตุสมผลจริงๆ”

หลี่ฉางโซ่วพยักหน้าช้าๆ และกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็พอเข้าใจคร่าวๆ แล้ว ขอบคุณเหยียนจุนที่ช่วยชี้แจงในข้อสงสัยของข้าให้กระจ่าง”

“พวกเราต้องขอบคุณท่านเทพวารีที่ช่วยเหลือ!”

ในขณะที่หลี่ฉางโซ่วกำลังจะอำลาและรีบไปหาจอมเวทใหญ่ที่ดินแดนเทวะอุดรเพื่อพูดคุยกันให้ละเอียดลึกซึ้ง จู่ๆ เขาก็คิดถึงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ขึ้นมาได้และเอ่ยถามอีกครั้ง…

จากนั้น เขาก็เสนอแนะว่า เผ่าเวทแห่งแดนยมโลกควรส่งชาวเผ่าเวทสักสองสามคนที่มีพลังการต่อสู้ดี มีสถานะในเผ่าอยู่ในระดับหนึ่ง และไม่มีตำแหน่งใดๆ ในแดนยมโลก ให้ติดตามเขาไปเพื่อสอบสวนเรื่องนี้ร่วมกันกับเขาด้วย

หลี่ฉางโซ่วต้องการให้เจ้าหน้าที่ของแดนยมโลกเป็นประจักษ์พยานเพื่อไม่ให้พวกเขาคิดว่า เขากำลังกล่าวเกินจริงและลักเอาเครื่องมือเวทที่มีชีวิตชั่วคราวสองสามชิ้นไปด้วย

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหล่าเหยียนหลัวทั้งหมดก็รีบตกลงด้วยความรู้สึกขอบคุณยิ่ง

หลังจากที่รออยู่ในวังเหยียนหลัวสักพัก หน้าม้าก็พาอ๋าวอี่มาสมทบกับเขา และในขณะนั้น อ๋าวอี่ก็ดูร่าเริงยิ่งและไม่สลดหดหู่อีกต่อไป

หลังจากนั้น เหยียนจุนทั้งหมดก็ส่งหลี่ฉางโซ่วและคนอื่นๆ ออกไปจากเมืองเฟิงตูในขณะที่หัววัวและหน้าม้าได้นำปรมาจารย์ของเผ่าเวทสองสามคนไปรออยู่ที่เส้นทางข้างหน้าแล้ว

ชาวเผ่าเวทเหล่านี้ไม่สะดวกที่จะเข้าไปในเมืองเฟิงตู

ขณะที่เขาขี่เมฆออกไปข้างหน้า จ้าวเต๋อจู้ก็เอ่ยถามว่า “เทพวารี เจ้าคิดว่ามีอันใดผิดปกติในเรื่องนี้?”

หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “เหตุใดเราไม่ลองทดสอบถามองค์หญิงหลงจี๋?”

“นี่…” หลงจี๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วรีบตอบกลับเบาๆ ว่า “ควรจะถามถึงสถานการณ์ของเผ่าเวทด้วย เรื่องนี้ หลงจี๋ไม่กล้าตอบกลับอย่างไร้หลักการตามอำเภอใจ”

ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วและจ้าวเต๋อจู้ต่างก็มองหน้ากันและกัน แล้วพยักหน้าให้กันอย่างพึงพอใจ

ในระหว่างทาง หัววัวได้นำชายสามคนและหญิงสามคนไปรออยู่เงียบๆ เนื่องจากชาวเผ่าเวทบินไม่เก่ง หลี่ฉางโซ่วจึงต้องพาพวกเขาขึ้นไปบนก้อนเมฆด้วยกัน

ดังนั้น เมื่อเขาออกจากแดนยมโลก เมฆก็หนักขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด

ในเวลาเดียวกันนั้น… หมู่เมฆหมอกล้อมรอบเกาะซานเซียน ในศาลาที่อยู่ลึกเข้าไปในแดนเซียน มีเทพธิดาที่อยู่ในชุดเสื้อคลุมสีขาว กำลังนั่งอยู่หลังม่านหนาทึบ นางลืมตาขึ้นและบีบนิ้วทำมุทราหยั่งรู้อย่างระมัดระวัง แล้วอดจะหัวเราะเบาๆ ออกมาไม่ได้

เกิดอันใดขึ้น?

ก่อนหน้านี้ นางคิดว่านางได้เข้าสู่สภาวะเข้าฌานและหยั่งรู้เต๋าเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว แต่ไม่ว่า นางจะขยับนิ้วคำนวณอย่างไร นางก็พบว่า มันผ่านไปเพียงไม่กี่วันเท่านั้น…

ทำจิตใจให้สงบและตั้งมั่นสมาธิ การบำเพ็ญเพียรย่อมสำคัญกว่า

นางฟ้ากำลังจะแยกตัวต่อไปและทำความเข้าใจกับเต๋าผู้ยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตาม กระดิ่งลมที่หน้าต่างดังขึ้น

ขณะที่เทพธิดากำลังจะทุ่มเทความสนใจมุ่งไปที่การเข้าปิดด่านและทำการหยั่งรู้ในเต๋าต่อไป ทว่า จู่ๆ ก็มีเสียงลมที่หน้าต่างดังขึ้น แล้วร่างหนึ่งก็บุกเข้ามาในบริเวณรอบนอกของเกาะซานเซียน

นางอดจะจ้องมองอย่างตั้งใจไม่ได้ แม้นางจะรู้ว่า นี่ไม่ใช่คนผู้นั้น แต่ก็มีระลอกคลื่นเล็กน้อยเกิดขึ้นในมุมหนึ่งของทะเลแห่งใจของนาง

น่าเสียดาย… ระลอกคลื่นนั้นได้สลายหายไปในพริบตา

“เป็นพี่ใหญ่นั่นเอง…”

เทพธิดาหลับตาพลางถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วนั่งสมาธิ ตั้งมั่นสมาธิต่อไป แล้วในไม่ช้า ร่างของนางก็ถูกล้อมรอบด้วยเมฆหมอก

………………………………………………………………..

[1] หรือเปรียบได้กับที่มักได้ยินกันว่า ใต้จมูก ซึ่งเป็นคำพูดเชิงสำนวนที่หมายความว่า เกิดการกระทำต่อหน้าใครคนหนึ่งโดยไม่รู้ตัว หรือใกล้ๆ ใครคนหนึ่งโดยไม่รู้ตัว

[2] เหยียนหลัว หรือเหยียนจุน จ้าวแห่งแดนยมโลกหรือพญามัจจุราช