ตอนที่ 594 หมอเทวดาด้านวิชานรีเวช เทพวารี (1)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

บทที่ 594 หมอเทวดาด้านวิชานรีเวช เทพวารี (1)

“พี่ใหญ่ พี่สาวเข้าปิดด่านแล้ว”

ในศาลาบนเกาะซานเซียน ฉยงเซียวขี่เมฆบินไปและกล่าวถ้อยคำเหล่านั้น

เมื่อได้ยินเช่นนั้น จ้าวกงหมิงก็ถอนหายใจยาวและนั่งสับสนวุ่นวายใจอยู่พักหนึ่ง

“เฮ้อ ช่างเถิด เรื่องเล็กน้อยบางอย่างก็ไม่คุ้มค่าพอที่จะเรียกนางออกมา

ข้าจะไปหาฉางเกิงเดี๋ยวนี้ ข้าอยากจะขอให้น้องรองช่วยข้าออกความคิดสักหน่อย”

ฉยงเซียวแค่นเสียงอย่างไม่พอใจ “ฉางเกิง ฉางเกิง ท่านมักจะเอาแต่พูดถึงสหายผู้นั้นที่ชอบแสร้งทำปลอมตัวเป็นคนชราทุกวัน พี่สาวก็ทำเช่นนั้นตลอดเวลา และพี่ชายก็เช่นกัน!”

“ใช่แล้ว” ปี้เซียวกล่าวเสริมเบาๆ ว่า “หากท่านมีเรื่องใด ก็หารือกับพวกเราได้เหมือนกัน”

จ้าวกงหมิงลูบเคราและฝืนยิ้มแห้งๆ พลางกล่าวว่า “นี่… ต่อให้ข้าจะเล่าเรื่องบางอย่างกับพวกเจ้า แต่เรื่องบางอย่างของบุรุษ พวกเจ้าเป็นสตรีก็ไม่อาจเข้าใจได้”

“เฮ่ย ท่านกำลังดูหมิ่นผู้ใดกัน?” ฉยงเซียวกลอกตาคู่งามของนางและกล่าว “ดูสิ” นางหมุนร่างที่เพรียวบางอย่างรวดเร็วสองรอบ

ทันใดนั้นก็มีแสงสีระยิบระยับเจิดจ้าและเสียงระฆังดังขึ้น หมู่เมฆหมอกลอยเคลื่อนคล้อยขึ้นๆ ลงๆ จากนั้นเด็กสาวซึ่งแต่เดิมแต่งกายด้วยชุดกระโปรงสีเหลืองอ่อน

บัดนี้กลายร่างเป็นนักพรตเต๋าชราหลังค่อมและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ทำให้นางดูเหมือนผู้ชราว่า “เจ้าหนุ่ม บอกข้ามาทีสิว่า เจ้าหนักใจเรื่องใด ฮ่าฮ่าฮ่า!”

จ้าวกงหมิงเอามือข้างหนึ่งก่ายหน้าผากทันทีในขณะที่ปี้เซียวหัวเราะร่าหนักมากจนตัวโยน

ในท้ายที่สุด สองสตรีฉยงปี้[1]ก็มีทักษะเก่งกาจกว่า แล้วจ้าวกงหมิงก็กล่าวตะกุกตะกักติดอ่างเมื่อเล่าถึงปัญหาที่เขาเผชิญอยู่ให้พวกนางฟัง

แน่นอนว่า มันเกี่ยวข้องกับศิษย์น้องหญิงเทพธิดาจินกวง…

“อย่างที่พวกเจ้ารู้ ข้าไม่ได้คิดอะไรกับศิษย์น้องหญิงจินกวง ทว่าหลังจากที่เหล่าสหายศิษย์ของข้ากลั่นแกล้ง หัวใจเต๋าของข้าก็กลับกลายเป็นว่า… มีความรู้สึกแปลกๆ เกิดขึ้นเล็กน้อย”

“พี่ใหญ่ หากท่านมีความคิดใดๆ ก็ย่อมเข้ากันได้ดีกับศิษย์น้องหญิงจินกวง” ปี้เซียวกล่าวพลางลูบปอยผมด้านหน้านาง

“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยาก อยู่ที่ว่าท่านปรารถนาและเต็มใจจะทำหรือไม่ ช่วงนี้ ท่านรู้สึกเขินอายเพราะเสียหน้า ทว่านี่เรื่องเช่นนี้ ก็เป็นเรื่องระหว่างคนสองคนเท่านั้น คนอื่นจะมาก้าวก่ายได้อย่างไรกัน?”

“ถูกต้อง”

ฉยงเซียวพยักหน้าและยังคงทำตัวดุจเป็นชายชรา “จากมุมมองของข้าในสิ่งที่ข้าเห็น พี่ชาย ท่านได้รับอิทธิพลจากผู้อื่นมากเกินไป ซึ่งเรื่องนี้น่าเป็นห่วงจริงๆ พวกเราไม่กังวลเลยว่าท่านได้หวั่นไหวใจจนตกหลุมรักและเข้าสู่ภัยพิบัติแห่งรักดั่งที่พี่สาวมี

ส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะพี่สาวสามารถแยกแยะเรื่องต่างๆ ได้ชัดเจน มีเหตุผล และรู้ขีดจำกัดของตัวเอง นางจึงไม่ได้รับผลกระทบกระเทือนจากภัยพิบัติแห่งรัก

นอกจากนี้ บุรุษผู้นั้น ฉางเกิงก็ทรงพลังอำนาจมหาศาลจริงๆ เขามีเล่ห์เหลี่ยมวางแผนจัดการผู้คนทีละคน ทั้งน้องสี่และข้าต่างก็เชื่อมั่นเช่นกัน แต่พี่ใหญ่ ท่าน… เฮ้อ”

จ้าวกงหมิงขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ข้าอะไร”

“หัวใจของท่านสั่นคลอน และหัวใจเต๋าของท่านก็ไม่สงบ สับสนวุ่นวาย”

ฉยงเซียวส่ายศีรษะของนางและกล่าวว่า บางที ภัยพิบัติแห่งรักอาจส่งผลกระทบต่อท่าน จนในท้ายที่สุด ฐานเต๋าของท่านก็จะเสียหาย เต๋าของท่านจะหดตัวลง และเต๋าใหญ่ของท่านก็จะอยู่ห่างไกลออกไป!”

จ้าวกงหมิงขมวดคิ้วจนเป็นตัวอักษรฉ้วน[2] เขาลุกขึ้นยืนและเดินไปมาอย่างร้อนรนกระวนกระวายใจ หลังจากนั้นไม่นาน จ้าวกงหมิงก็ขมวดคิ้วและถามว่า “หากเป็นเช่นนั้นแล้ว เจ้าช่วยข้าสักหน่อยได้หรือไม่?”

ฉยงเซียวและปี้เซียวต่างมองหน้ากันและกัน จากนั้นฉยงเซียวก็ปลดเวทจำแลงกายออกไปแล้วยักไหล่พร้อมกับแบมือพลางกล่าวว่า “พวกเราสองคนยังไม่เคยพบพานกับภัยพิบัติแห่งรักเลย พวกเราเลยไม่ค่อยรู้เรื่องนี้เท่าใดนัก พี่ใหญ่ ท่านน่าจะไปถามน้องชายเทพแห่งท้องทะเลของท่านจะดีกว่า”

“น้องสาม น้องสาม”

จ้าวกงหมิงโค้งคำนับให้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าและกล่าวว่า “ข้าเชื่อใจน้องสาวทั้งสามคนของข้าและฉางเกิงมากที่สุด พี่ใหญ่ยังอยากจะขอวิธีแก้ปัญหาจากเจ้าด้วย”

“เฮ้อ” ฉยงเซียวกล่าวอย่างสงบว่า “นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้หรอก พี่ใหญ่ ท่านมานี่ เข้ามาใกล้ๆ แล้วแนบหูมาสิ”

จากนั้นนางก็กระซิบบอกทั้งหมด

เมื่อฉยงเซียวได้พูดคุยถึงกลอุบาย จ้าวกงหมิงก็รู้สึกขัดแย้งวุ่นวายเล็กน้อยและกล่าวว่า “น้องรองบอกว่าให้พวกเจ้าทั้งสองคนฝึกบำเพ็ญอยู่บนเกาะและห้ามไม่ให้ออกไปที่ใดไม่ใช่หรือ? แล้วหากเจ้าต้องออกไปตอนนี้…”

“ช่างเถิด เช่นนั้นก็ทำเป็นว่าข้าไม่เคยเอ่ยถึงมันแล้วกัน” ฉยงเซียวกล่าวและถอนหายใจเบาๆ “พูดถึงเรื่องนี้ ข้าก็ลืมไปว่าพี่ใหญ่กลัวพี่สาวมากทีเดียว”

“นั่นจะเรียกว่ากลัวได้อย่างไรกัน!?! พวกเราทุกคนล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน!”

จ้าวกงหมิงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วแอบกัดฟัน จากนั้นเขาก็เดินไปมารอบๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า

จากนั้น เขาก็พยักหน้าอย่างรวดเร็วพลางกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ข้าจะพาเจ้าออกไปข้างนอกสักพัก แต่ข้าจะส่งเจ้ากลับในทันทีหลังจากที่ข้าจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้ว และเจ้าจะฉวยโอกาสเที่ยววิ่งเล่นไปมารอบๆ ไม่ได้!”

ปี้เซียวถามเบาๆ ว่า “พี่ใหญ่ ท่านไม่กลัวพี่สาวจริงๆ หรือ?”

“ข้าเป็นพี่ใหญ่นะ!”

จ้าวกงหมิงผายอกและเชิดหน้าขึ้น ทว่าเมื่อเขามองไปยังสถานที่ที่เทพธิดาอวิ๋นเซียวกำลังเข้าปิดด่านอยู่ เขาก็คอหดทันที “แน่นอนว่า พี่รองของเจ้ามีความคิดดีที่สุด พวกเราต้องเคารพความคิดเห็นของนางอย่างเต็มที่ พวกเราไปกันเถิด แล้วอย่าส่งเสียงดัง ข้าจะบอกรายละเอียดเรื่องนี้ให้พวกเจ้ารู้ระหว่างทาง”

ทันใดนั้นฉยงเซียวก็กลอกตาพลางคลี่ยิ้มและแอบออกจากค่ายกลใหญ่ของเกาะซานเซียนไปพร้อมกับจ้าวกงหมิง…

หลังจากที่ทั้งสองคนจากไปแล้ว ปี้เซียวก็อดจะปิดปากและหัวเราะเบาออกมาไม่ได้ “ไม่รู้ว่าโลกภายนอกมีอันใดดีหนักหนา พวกเราโดนดุด่าทุกครั้งที่ออกไปข้างนอก แล้วพวกเขาทั้งหมดจะออกไปข้างนอกเพื่ออะไร?”

นอกจากนี้ นางยังมองไปที่สถานที่ที่อวิ๋นเซียวเข้าปิดด่านอยู่แล้วแลบลิ้นออกมาก่อนจะส่งเสียงร้องเพลงเบาท่ามกลางหมู่เมฆในขณะที่ขี่เมฆไปยังพื้นที่ที่หานจื่อฝึกบำเพ็ญอยู่

ในขณะนี้ หลี่ฉางโซ่วกำลังแบกน้ำหนักมากเกินไปในขณะที่ขี่เมฆพร้อมกับพาผู้คนกลุ่มหนึ่งบินออกไปจากแดนยมโลกโดยใช้เส้นทางไปสู่ดินแดนเทวะอุดร

อ๋าวอี่มองไปที่ปรมาจารย์เผ่าเวททั้งแปด และเอ่ยถามด้วยความห่วงกังวลว่า “ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ท่านอยากให้ข้าไปที่วังมังกรเพื่อส่งกองทหาร ติดตามไปกับท่านด้วยหรือไม่ขอรับ?”

หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวตอบว่า “เวลานี้ ทะเลบูรพายังไม่เสถียรมั่นคง จึงไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นในตอนนี้

ดินแดนเทวะอุดรอยู่ใกล้กับทะเลอุดร ดังนั้นหากเราจำเป็นต้องใช้กำลังพล ก็ย่อมจะใช้เวลาไม่นานนักในการเคลื่อนทัพไปยังทะเลอุดรเพื่อไปที่นั่น”

จ้าวเต๋อจู้ยิ้มและกล่าวว่า “อ๋าวอี่ ไม่ต้องห่วงหรอก ทหารสวรรค์แห่งประตูสวรรค์อุดรจะสามารถช่วยได้ตลอดเวลา”

หัววัวและหน้าม้าที่อยู่ข้างๆ ลังเลที่จะกล่าว พวกเขาอยากจะบอกว่า พวกเขาไม่กังวลเกี่ยวกับพวกเขา แต่แล้วพวกเขาก็นึกถึงลูกระเบิดวิญญาณที่ปะทุขึ้นในวังมังกรทะเลประจิมได้ แล้วจึงเลือกตัดสินใจที่จะเงียบสนิท

มันสนุกมากที่จะได้ดูการต่อสู้ของชาวเผ่าเวท หากพวกเขาหมายพิฆาตศัตรูจริงๆ พวกเขาต้องอาศัยร่างจำแลงของเทพวารีที่ทำลายตนเองได้

ในเวลาเพียงสามอึดใจเท่านั้น เขาก็สามารถกวาดล้างกองกำลังศัตรูนับพันได้ และยังทรงพลังเหนือกว่าบรรดาเซียนต้าหลัวจินด้วยซ้ำ!

………………………………………………………………..

[1] ฉยงเซียวและปี้เซียว

[2]คือขมวดคิ้วมุ่นจนเกิดรอยย่นกลางหว่างคิ้วเป็นรูปตัวอักษรฉ้วน 川 เปรียบว่ากลุ้มใจ กังวลใจ ไม่สบายใจมากๆ