ไม่ว่าอย่างไร เรื่องนี้ เธอก็ต้องบอกพงศกร
ถึงแม้บอกพงศกรไปแล้ว พงศกรจะเกลียดเธอมากขึ้น และก็ยิ่งเกลียดตระกูลจิรดำรงค์ของเธอ แต่เรื่องนี้ พงศกรมีสิทธิ์ที่จะรู้!
ปาจรีย์มาที่เคาน์เตอร์พยาบาล กำฝ่ามือ แล้วปลุกความกล้าถามออกไป:“คุณพยาบาลคะ ขอโทษนะคะ วันนี้คุณหมอพงศกรอยู่โรงพยาบาลไหมคะ?”
พยาบาลสำรวจเธอ“คุณคือ?”
“ฉันคือเพื่อนของคุณหมอพงศกร มีธุระกับเขาค่ะ”ปาจรีย์ตอบ
พยาบาลยิ้มอย่างเยาะเย้ย“ขอโทษนะคะคุณผู้หญิง ฉันบอกข้อมูลของคุณหมอพงศกรกับคุณไม่ได้ค่ะ”
“ทำไมล่ะ?”ปาจรีย์ขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจ
พยาบาลยักไหล่ แล้วตอบกลับอย่างเย็นชา:“จะทำไมได้ล่ะ ไม่ใช่เพราะว่าผู้หญิงอย่างพวกคุณมีแรงจูงใจแอบแฝงเหรอ?พวกผู้หญิงอย่างพวกคุณ ชอบคุณหมอพงศกร มักจะมาโรงพยาบาลเพื่อถามข้อมูลของคุณหมอพงศกร ไม่ก็ล้อมคุณหมอพงศกรจนไม่มีทางออก ไม่ใช่แค่ทำให้คุณหมอพงศกรเกิดความยุ่งยากอย่างมาก แต่ยังสร้างปัญหาอย่างมากให้โรงพยาบาลพวกเราอีก ก่อนหน้านี้มีผู้หญิงคนหนึ่ง ก็มาหาคุณหมอพงศกร เอะอะในโรงพยาบาล บอกว่าคุณหมอพงศกรไม่ออกมาเจอเธอ เธอก็จะนั่งอยู่ที่พื้นไม่ไปไหน จนเกือบจะทำให้การรักษาของผู้ป่วยวิกฤตล่าช้าไป”
ที่แท้ก็แบบนี้เหรอ?
มุมปากปาจรีย์จึงเหยเกไป“ขอโทษนะคะคุณ ฉันไม่ได้บอกให้ชัดเจน ฉันไม่ใช่คนอย่างที่คุณพูดถึง ฉันเป็นเพื่อนของพงศกรจริงๆ มาหาเขาเพราะมีเรื่องสำคัญจะพูด”
พยาบาลไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด จึงไม่สนเธอ
ปาจรีย์ถอนหายใจ หมดหนทางได้แต่หยิบโทรศัพท์ออกมา โทรหาเบอร์พงศกร
พยาบาลเห็นแบบนี้ ก็ประหลาดใจ
ถึงเธอจะไม่เห็นเบอร์โทร แต่ที่เมมชื่อว่าพงศกรนี้เธอมองเห็น
ทำให้เธออดสงสัยไม่ได้ว่า ผู้หญิงคนนี้ จะเป็นเพื่อนของคุณหมอพงศกรจริงๆ
ถ้าเป็นจริง งั้นถ้าคุณหมอพงศกรรู้เรื่องที่ตัวเองขวางกั้นอีกฝ่ายนั้น คุณหมอพงศกรจะไม่พอใจหรือเปล่า?
ปาจรีย์ไม่รู้ว่าพยาบาลกำลังคิดอะไรอยู่ เธอเอาโทรศัพท์วางไว้ข้างหู ในใจก็แอบภาวนาให้พงศกรรับสายเธอ
ที่โชคดีคือ พระเจ้ายืนข้างเธอแล้ว พงศกรรับสาย แล้วเสียงเย็นชาก็เข้ามา“เธอมีอะไร?”
“พงศกร……”ปาจรีย์เรียกเขาด้วยเสียงกระอักกระอ่วน
พงศกรขมวดคิ้ว“ในเมื่อไม่พูด งั้นฉันวางนะ”
พูดไป เขาก็จะวางสาย
ปาจรีย์รีบเรียกไว้:“อย่า พงศกรอย่าวางสาย ฉันพูด ฉันมาหานายเพราะมีเรื่องจะบอกนาย เกี่ยวกับฆาตกร”
“อะไรนะ?”พงศกรกำลังพักผ่อนพิงพนักเก้าอี้ เพราะว่าเพิ่งผ่าตัดเสร็จ พอได้ยินคำนี้ ก็ยืนขึ้นมา“เธอหมายถึง ฆาตกรที่ฆ่าพ่อแม่ฉัน?”
“ใช่ ฉันรู้แล้วว่าฆาตกรคือใคร ดังนั้นพงศกร พวกเราเจอกันหน่อยไหม?”ปาจรีย์ถามอย่างคาดหวัง
พงศกรเม้มริมฝีปากบางๆ บอกที่อยู่ห้องทำงานเธอไป
ปาจรีย์ก็จำไว้ เขาจึงวางสาย แค่ต้องพูดกับเธออีก เขาก็ไม่ยอม
แววตาปาจรีย์มีความผิดหวัง จากนั้นวางโทรศัพท์มองไปที่พยาบาล“คุณพยาบาลคะ ขอโทษนะคะไปห้องทำงาน301แผนกสมองอย่างไรคะ?”
ห้องทำงาน301แผนกสมอง ก็คือห้องทำงานของพงศกร
พยาบาลจึงไม่สงสัยตัวตนของปาจรีย์แล้ว พอแน่ใจว่าเธอเป็นเพื่อนของพงศกรจริง ก็ไม่ชักช้า ชี้ไปที่ทางหนึ่ง“เดินไปจากตรงนั้น แล้วขึ้นลิฟต์ไปชั้นสาม จากนั้นออกจากลิฟต์แล้วเลี้ยวขวา ห้องแรกตรงสุดทางเดินค่ะ”
“โอเค ขอบคุณค่ะ”ปาจรีย์พูดขอบคุณอย่างรู้สึกซาบซึ้ง จากนั้นเดินไปที่พยาบาลชี้
แป๊บเดียว ปาจรีย์ก็มาถึงหน้าห้องทำงานของพงศกร
ประตูเปิดอยู่ ปาจรีย์ยืนอยู่หน้าประตู หลังจากสูดหายใจลึกๆ ก็ยกมือขึ้นเคาะประตูแล้วเข้าไป
“พงศกร”ปาจรีย์มองชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน
นี่เป็นการเจอกันครั้งแรกหลังจากพวกเขามีความสัมพันธ์กัน
เขายังมีใบหน้าหล่อเหลาและเย็นชา ส่วนเธอ เพราะว่าช่วงนี้เป็นห่วงวารุณี ก็เลยดูโทรมลงไปเยอะ
ทำให้ปาจรีย์ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกละอายใจเล็กน้อย
พงศกรก็มองปาจรีย์ มองใบหน้าปาจรีย์ที่ผอมลงไปเยอะ คิ้วก็ขมวดเล็กน้อย
ผู้หญิงคนนี้ ช่วงนี้กำลังทำอะไรอยู่?กินไม่ได้นอนไม่หลับเหรอไง?
ถึงจะคิดแบบนี้ แต่ใบหน้าพงศกรกลับไม่แสดงออกมาสักนิด ยังคงเย็นชาไม่แยแส“เธอบอกว่าเธอจะบอกฉัน เรื่องที่ฆาตกรทำร้ายพ่อแม่ฉัน สรุปยังไงกันแน่?”
ปาจรีย์หยิบภาพใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นไป“อ่ะ คนด้านบนนี้ คือฆาตกรที่ฆ่าคุณลุงคุณป้า”
“อะไรนะ?”รูม่านตาพงศกรหดลง ยื่นมือไปสั่นๆ รับรูปภาพมา“เธอบอกว่าคนๆนี้เป็นฆาตกร เธอมีหลักฐานอะไร!”
“ฉันไม่มีหลักฐาน แต่นี่เป็นความจริง นิรุตติ์สืบมาได้ นายก็รู้ นิรุตติ์กับฆาตกรอยู่องค์กรเดียวกัน นิรุตติ์สืบได้ไม่ยากเย็นอะไร”ปาจรีย์มองเขาแล้วพูด
พงศกรแสยะยิ้ม“ก็ใช่ นิรุตติ์สืบเรื่องนี้ง่ายมาก แต่นิรุตติ์ทำไมต้องช่วยฉันสืบ เขาเกี่ยวอะไรกับฉันเหรอ?”
“วารุณีให้เขาไปสืบ ช่วงที่ผ่านมานี้ วารุณีถูกนิรุตติ์จับไป”
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ!”สีหน้าพงศกรเปลี่ยนไปเล็กน้อย รีบถาม“วารุณีไม่เป็นไรใช่ไหม?ตอนนี้เธอล่ะ?”
ได้ยินเขากังวลและเป็นห่วงวารุณี ในใจปาจรีย์ก็รู้สึกขมขื่นอย่างบอกไม่ถูก หัวใจก็ยิ่งเหมือนกับเข็มแทงลงไป เจ็บปวดอย่างรุนแรง
เธอก้มหน้าลง ปกปิดความเจ็บปวดในดวงตาและน้ำตาที่จะไหลออกมา ส่ายหน้าตอบกลับ:“วารุณีไม่เป็นไร ประธานนัทธีช่วยวารุณีกลับมาแล้ว ภาพนี้ ก็เป็นวารุณีที่ให้ฉัน วารุณีบอกว่า ตอนนี้ฆาตกรคนนี้ออกจากองค์กรไปแล้ว ใช้ชีวิตวัยเกษียณในหาดส่วนตัวที่ตัวเองซื้อมา แต่เป็นชายหาดส่วนตัวที่ประเทศไหน วารุณีก็ไม่รู้ นิรุตติ์ไม่ได้บอกเธอ ต้องให้พวกเราสืบเอง”
พงศกรจ้องชายหนุ่มบนภาพนั้นอยู่นาน นานจนบรรยากาศนั้นแช่แข็ง ทันใดนั้นเขาก็รวบกำลัง บีบภาพจนเป็นก้อนกลม “ฉันรู้แล้ว ฉันจะสืบเอง เธอไปเถอะ”
ปาจรีย์ยืนอยู่ไม่ขยับ
พงศกรหรี่ตามองเธอ“เธอมีอะไรจะพูดอีก?”
ปาจรีย์อ้าปาก“พงศกร……ขอโทษ!”
“อะไรนะ?”พงศกรดูหดหู่ลงไป มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีนัก
จู่ๆปาจรีย์ก็ตุ้บลงไป คุกเข่าไปที่เขา“ขอโทษนะพงศกร นายพูดไม่ผิด นายไม่ได้ปรักปรำพวกเรามั่วๆ คุณลุงคุณป้า เป็นพวกเราที่ทำร้ายจริงๆ เป็นตอนที่พ่อแม่ฉันส่งอาหารให้คุณลุงคุณป้า ไม่ทันระวังเลยถูกฆาตกรสะกดรอยตาม ดังนั้นฆาตกรหาคุณลุงคุณป้าเจอ จึงฆ่าคุณลุงคุณป้าทิ้ง ขอโทษนะพงศกร ขอโทษจริงๆ……”
ได้ยินคำนี้ สายตาพงศกรก็ดูแย่สุดๆ ในดวงตาคู่นั้น ก็ยิ่งเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง“ดังนั้น เธอจะให้ฉันทำอย่างไร?ยกโทษให้พวกเธอเหรอ?”
“ฉันเปล่า ฉันไม่เคยคิดจะให้นายยกโทษให้ ฉันแค่ แค่……”
“ที่จริงฉันรู้ตรงนี้นานแล้ว รู้ว่าพ่อแม่เธอเปิดเผยร่องรอยของพ่อแม่ฉันโดยไม่ตั้งใจ ทำให้พ่อแม่ฉันถูกฆ่า”
“อะไรนะ?”ปาจรีย์เบิกตาโต“นายรู้นานแล้ว?”
“ไม่งั้นเธอคิดว่า ทำไมฉันถึงได้บอกตลอดว่าพ่อแม่ฉันถูกพวกเธอทำร้ายล่ะ?ต้องรู้ว่าความสัมพันธ์ของสองครอบครัวเรานั้นดีขนาดนั้น ถ้าไม่ใช่ว่าฉันรู้ส่วนนี้ ถึงตอนนั้นพ่อแม่เธอไม่อยู่ที่เกิดเหตุ ฉันก็คงไม่คิดว่าพวกเขาทำร้ายพ่อแม่ฉันขนาดนี้หรอก แต่เพราะว่าฉันรู้ว่าเป็นพวกเขาทำ ดังนั้นฉันถึงบอกมาตลอดว่าพ่อแม่ฉันถูกพ่อแม่เธอทำร้าย เพราะว่าฉันอยู่ตรงนั้น ฉันได้ยินพ่อแม่เธอสำนึกผิดกับพ่อแม่ฉัน”
พงศกรยองตัวลงไป เงยคางของปาจรีย์ขึ้นมา เสียงเหมือนเหมือนปีศาจที่มาจากขุมนรก