บทที่ 673 สายโทรมาของพิชิต

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

มองความประชดประชันทั้งใบหน้าของปาจรีย์ ในใจวารุณีก็เสียใจมากเช่นกัน

เธอกอดปาจรีย์ไว้“ปาจรีย์ อย่าทำแบบนี้สิ”

“วารุณี เธอว่าสิบกว่าปีนี้ที่ฉันทำลงไป เพื่ออะไรกันแน่?”ปาจรีย์มองไปที่วารุณี หวังว่าจะได้รับคำตอบ

ริมฝีปากวารุณีขยับ อยากจะพูดอะไร แต่ก็พูดไม่ออก

ปาจรีย์ปิดหน้าไว้ พูดอย่างเสียใจมาก:“ฉันคิดมาตลอดว่าครอบครัวเราไม่เกี่ยว เป็นผู้บริสุทธิ์ กระทั่งว่าหลายๆครั้งฉันก็ยังคิดว่า ถ้าวันหนึ่ง ฉันพิสูจน์แล้วว่าครอบครัวฉันบริสุทธิ์ พงศกรจะมาขอโทษฉันก่อนไหม ขอโทษที่หลายปีนี้เขาเย็นชากับฉัน และยังปรักปรำฉัน แต่ตอนนี้ความจริงได้พิสูจน์แล้วว่า เขาไม่ได้ปรักปรำพวกเรา พวกเราเป็นฆาตกรที่ฆ่าพ่อแม่เขาจริง ถึงไม่ได้ตั้งใจ แต่ความจริงก็คือความจริง!”

วารุณีถอนหายใจ“ปาจรีย์ ที่ฉันมาบอกเธอเรื่องพวกนี้ เพราะหวังว่าเธอจะคิดได้เร็วๆ จะไปจัดการเรื่องนี้อย่างไร ดังนั้นปาจรีย์ ในเมื่อข้อเท็จจริงเป็นแบบนี้ เธอก็ต้องเรียนรู้ที่จะเผชิญหน้า ที่สำคัญก็คือ เธอยังจะบอกพงศกรไหม?”

ปาจรีย์ก้มหน้ามองรูปในมือ“ฉันไม่รู้ ฉันไม่รู้จริงๆ!”

ตอนนี้พงศกรเกลียดเธอ เกลียดครอบครัวเธอ คิดว่าครอบครัวเธอทำร้ายพ่อแม่เขา แต่เธอรู้ดี พงศกรไม่มีหลักฐานมาพิสูจน์ว่าเป็นครอบครัวพวกเขาที่ทำร้ายจริงๆ

แต่ถ้าเธอเอาความจริงบอกเขา เขาก็จะเข้าใจว่า เขาไม่ได้ปรักปรำพวกเขาจริงๆ ถึงตอนนั้น เขาก็ได้แต่เกลียดเธอมากขึ้น

ดังนั้น เธอไม่รู้จริงๆว่าจะทำอย่างไร

“วารุณี เธอให้ฉันพิจารณา คิดด้วยตัวเองดีๆก่อนได้ไหม?”ปาจรีย์เงยมองวารุณีด้วยดวงตาที่เหม่อลอยคู่นั้น

วารุณีก็รู้ว่าตอนนี้เธอต้องการอยู่เงียบๆ จึงพยักหน้าเห็นด้วย“โอเค”

ปาจรีย์สูดหายใจลึกๆ ก้มหน้าเดินไปที่ประตู

วารุณีมองแผ่นหลังของเธอ ในใจเต็มไปด้วยความกังวล

ตอนนี้เอง นัทธีก็ลงมาจากชั้นบน

วารุณีหันไปมองเขา“คุณมาแล้วเหรอ”

“อือ เมื่อกี๊ที่คุณคุยกับปาจรีย์ ผมได้ยินหมดแล้ว”มือนัทธีใส่ไปในกระเป๋ากางเกงแล้วพูด

เขาออกมาจากห้องทำงาน เตรียมจะลงไปชั้นล่าง ก็ได้ยินเธอพูดถึงฆาตกรที่ฆ่าพ่อแม่พงศกร

เขาคิดว่านี่คือเรื่องที่เธอจะคุยส่วนตัวกับปาจรีย์ ก็หยุดความคิดที่จะลงไปชั้นล่าง ยืนฟังอยู่หน้าบันไดชั้นสาม

จากนั้น ก็ได้ยินเนื้อหาพวกนี้

วารุณีหัวเราะอย่างขมขื่น“สามี คุณว่าระหว่างปาจรีย์กับพงศกรนั้น พระเจ้ากำลังเล่นตลกอยู่หรือเปล่า”

ทั้งๆที่ทำดี เอาของกินให้พ่อแม่พงศกร แต่สุดท้ายก็ทำร้ายพ่อแม่พงศกรโดยการเปิดเผยที่อยู่

ถ้าพ่อแม่ปาจรีย์รู้ จะต้องใจสลายแน่

เพราะไม่มีใครรับได้หรอกว่าตัวเองไม่ระวังตัวเลยทำร้ายเพื่อนที่ดีที่สุดของตัวเองไป

นัทธีมาที่ด้านข้างวารุณี กอดเธอไว้เบาๆ“เอาน่ะ เรื่องนี้อย่าไปคิดมากเลย ให้พวกเขาจัดการเองเถอะ อย่าเข้าไปยุ่ง คุณบอกความจริงพวกเขาแล้ว มันก็พอแล้ว”

“ฉันรู้ ฉันจะไม่เข้าไปยุ่ง ฉันแค่เป็นห่วงปาจรีย์”วารุณีพูดด้วยสีหน้าเป็นกังวล

นัทธีลูบผมของเธอ“งั้นช่วงนี้คุณ ก็จับตาดูเธอดีๆ อย่าให้เธอทำเรื่องโง่ๆ”

“ฉันรู้ ฉันก็คิดแบบนี้”วารุณีพยักหน้า จากนั้นถามไปอีกว่า“ใช่สิ อารัณล่ะ?”

“หลับห้องไปเล่นกับไอริณแล้ว”นัทธีจับเธอนั่งลงแล้วพูด

วารุณีตอบอือ สื่อว่าเข้าใจแล้ว

ทันใดนั้น โทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา

เป็นของนัทธี

เขาหยิบโทรศัพท์มาดู เห็นโชว์ชื่อขึ้นมา ก็ขมวดคิ้ว ชัดเจนว่าไม่ยินดีนักกับคนที่โทรหา

วารุณีมองอย่างแปลกใจ มองเห็นเป็นพิชิต ก็อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้น“คุณหมอพิชิต น่าจะรู้ว่าคุณกลับมาแล้วสินะ”

นัทธีไม่พูดอะไร“เขตคฤหาสน์นี้มีคนพักไม่น้อย ผมกลับมาก็ไม่ได้เงียบๆด้วย แล้วล้วนเป็นแต่คนในแวดวง พิชิตรู้ไวขนาดนี้ก็ไม่แปลก”

“งั้นคุณจะรับไหม?”วารุณีมองเธอ

นัทธีเม้มริมฝีปากบางๆไว้ แล้วกดรับ“มีอะไร?”

“นัทธี แกกลับมาแล้วใช่ไหม?”พิชิตถามอยู่ที่ปลายสาย

นัทธีย้ำไปอีกรอบด้วยใบหน้านิ่งเฉย“มีอะไรก็พูด”

“เอ่อ……ฉันได้ยินว่าแกจับนวิยาได้”น้ำเสียงพิชิตกังวลหน่อยๆ

รอบๆตัวนัทธีก็เยือกเย็นทันที“แกไปฟังใครมา?”

เรื่องที่เขาไม่อยู่ในประเทศ พิชิตรู้ไม่เป็นอะไร เพราะตอนนั้นจะไปฮันนีมูนที่ต่างประเทศ คนในแวดวงต่างรู้

แต่ทุกอย่างที่เกิดในต่างประเทศ เขาปิดข่าวไว้ โลกภายนอกไม่รู้ว่าวารุณีถูกนิรุตติ์จับไป และก็ยิ่งไม่รู้ตอนที่เขาไปช่วยวารุณี จับนวิยาได้ ดังนั้นพิชิตรู้ได้ไง?

คงไม่ใช่ว่า ข้างกายเขามีไส้ศึกหรอกนะ?

คิดถึงความเป็นไปได้นี้ แววตานัทธีก็มีความอาฆาต อากาศก็ลดฮวบลงไปหลายองศาทันที

วารุณีมองเขา รีบถาม“ทำไมเหรอสามี?”

นัทธีไม่ตอบ เพราะว่าพิชิตที่อยู่ปลายสายนั้นตอบแล้ว“นิรุตติ์บอกฉัน เขาบอกว่าแกจับนวิยาได้”

“นิรุตติ์?”นัทธีหรี่ตาลง

พิชิตพยักหน้า“เป็นเขา ที่เพิ่งโทรหาฉัน แล้วบอกฉันเรื่องนี้”

พอได้ยิน สีหน้านัทธีก็ดีขึ้นเยอะ

เขาคิดว่าเป็นไส้ศึกเสียอีก ที่แท้ก็นิรุตติ์

ในเมื่อเป็นนิรุตติ์ งั้นก็ไม่เป็นไร

“แล้วไง?แกโทรมา อยากให้ฉันปล่อยนวิยาเหรอ?”ริมฝีปากบางๆของนัทธียกขึ้นเป็นมุมอย่างเสียดสี

พิชิตฟังการเสียดสีด้วยน้ำเสียงของเขาออก ใบหน้าน่ารักอ่อนเยาว์นั้นก็หม่นลงไป“เปล่า ฉันไม่ได้หมายความอย่างนี้ ฉันแค่อยากเจอเธอ อยากถามบางอย่างเธอ ไม่ได้คิดจะปล่อยเธอไป”

เขาก็คิดดีแล้ว นวิยาไม่มีใจที่จะกลับใจเลย นิสัยยังเหมือนเดิม ก็กลับใจไม่ได้

และนวิยาฆ่าพ่อแม่ของนัทธี เกือบฆ่าวารุณี และยังทำร้ายลูกทั้งสองของวารุณีอีก รวมทั้งการตายของพ่อแม่นวิยาเอง ก็อาจจะเกี่ยวข้องกับนวิยา

ความผิดพวกนี้รวมกันแล้ว มันน่าโมโหสุดขีด และความน่ารังเกียจแบบนี้ เขาจะกล้าปล่อยออกไปได้ไง

ถ้าปล่อยไป ใครก็ไม่รู้หรอกว่านวิยาจะทำเรื่องบ้าคลั่งอะไรอีกไหม

“อ้อ?”ได้ยินว่าพิชิตพูดว่าจะไม่ปล่อยนวิยา นัทธีจึงเลิกคิ้วขึ้น“แกแน่ใจว่าจะไม่ช่วยเธอ?แกไม่ได้รักเธอมากที่สุดหรอกเหรอ?ต้องรู้ว่า ตอนนี้นวิยาอยู่ในมือฉันแล้ว ต้องไม่มีจุดจบที่ดีแน่ และอาจถูกฉันเอาถึงตาย แบบนี้แกก็ยังไม่ช่วย?”

พิชิตจะไม่รู้ได้ไงว่าเขากำลังหยั่งเชิงตัวเอง กระตุ้นตัวเองอยู่ จึงหัวเราะอย่างขมขื่น“ใช่ ฉันไม่ช่วย จริงอยู่ที่ว่าฉันไม่อยากให้นวิยาตายจริง แต่ฉันก็รู้ว่า ให้นวิยาอยู่ต่อไป ก็ไม่ยุติธรรมต่อคุณลุงคุณป้า บางทีแบบนี้ สำหรับนวิยาแล้ว อาจจะเป็นการหลุดพ้น”

นัทธีหรี่ตาลง ไม่รู้ว่าพิชิตพูดนั้นจริงหรือไม่

แต่ก็ไม่เป็นไร ไม่ว่าจะจริงหรือไม่จริง นวิยาก็หนีไม่ได้

“แกจะไปเจอนวิยาน่ะได้ คืนพรุ่งนี้ฉันจะบอกแก”นัทธีพูดอย่างเยือกเย็น

พิชิตเห็นเขารับปาก ก็พูดขอบคุณ“โอเค ขอบใจแกนะนัทธี”

นัทธีไม่พูดอะไร ก็วางสายไปเลย

วารุณีมองเขา“คุณหมอพิชิตจะไปเจอนวิยา?”

“อือ บอกว่ามีเรื่องจะถามนวิยา”นัทธีวางโทรศัพท์ลงแล้วตอบ

วารุณีหัวเราะ“เขาควรจะถามอยู่แล้ว”

“คุณรู้ว่าเขาจะถามอะไร?”นัทธีเลิกคิ้ว

วารุณีส่งเสียงฮึดฮัด“ก็ประมาณนั้น ไม่มีอะไรนอกจากเรื่องความรู้สึก เอาล่ะ ไม่พูดถึงเขาละ พวกเราขึ้นบนดีกว่า ดูว่าเด็กๆทำอะไรอยู่”

“โอเค”นัทธีดึงมือของเธอขึ้น ลุกขึ้นเดินไปชั้นบน

ในขณะเดียวกัน อีกด้าน ที่โรงพยาบาลรุ้งจรัส

ปาจรีย์มองโรงพยาบาลแห่งนี้ บีบฝ่ามือไว้ สุดท้ายก็หายใจลึกๆ ปลุกความกล้าหาญแล้วเดินเข้าไป