บทที่ 708 มองทะลุความคิดของสวีเฉิงเจ๋อ

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 708 มองทะลุความคิดของสวีเฉิงเจ๋อ

บทที่ 708 มองทะลุความคิดของสวีเฉิงเจ๋อ

“แน่นอนสิ!” กู้เสี่ยวหวานรีบพูด “ตอนนี้ท่านยังซื้อมันได้หรือไม่?”

กระเทียมนี้เป็นยาปฏิชีวนะตามธรรมชาติ!

คุณค่าทางโภชนาการก็อยู่แถวหน้าของโสม!

ทว่ามันจะลำบากหากนางพูดมากเกินไป ถ้านางพูดมาก เกรงว่าเดี๋ยวทุกคนจะประหลาดใจกันอีก

นางเคยถูกหาว่าถูกผีเข้าสิงมาก่อน

“ครอบครัวนั้นอยู่ในเมืองรุ่ยเสียน ในตอนนั้นข้าก็ได้กิน ซึ่งรสชาติก็ตราตรึงยิ่ง พรุ่งนี้ข้าจะไปหาครอบครัวนั้นเพื่อดูว่ายังมีอีกไหม!” หลี่ฝานพูดอย่างตื่นเต้น

เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานและหลี่ฝานดูเหมือนจะมีเรื่องมากมายเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขากิน สวีเซียนหลินและคนอื่น ๆ ก็ไม่สะดวกที่จะไปรบกวน พวกเขาจึงลุกขึ้นเพื่อจากไป!

พวกเขารู้ว่ากู้เสี่ยวหวานขายอาหารให้กับร้านจิ่นฝู และเดาว่าในครั้งนี้กู้เสี่ยวหวานกำลังจะทำการค้าอื่นกับร้านจิ่นฝู แน่นอนว่าพวกเขาต้องจากไป

เมื่อกู้เสี่ยวหวานเห็นว่าพวกเขาลุกขึ้น นางก็ไม่สะดวกที่จะหยุดพวกเขา จึงส่งพวกเขาออกจากประตู และบอกให้รถม้าขับช้า ๆ จากนั้นก็กลับเข้าไปอย่างไม่เต็มใจ

คนที่ลังเลใจที่จะจากไปมากที่สุดคือสวีเฉิงเจ๋อ

สิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้ทำให้เขาลำบากใจเล็กน้อย และเขาก็ค่อนข้างเกลียดตัวเองเช่นกัน

นอกจากนี้ คืนนี้เขาดื่มไปหลายจอก จิตใจของเขาจึงเริ่มมึนงง สวีเซียนหลินและฮูหยินสวีเข้าไปในรถม้าแล้ว แต่สวีเฉิงเจ๋อยังยืนอยู่เบื้องหน้ากู้เสี่ยวหวาน จ้องมองไปที่นางอย่างตั้งใจราวกับว่าเขายังไม่มีความตั้งใจที่จะเข้าไปในรถม้า

โคมไฟสีแดงขนาดใหญ่สองดวงถูกจุดขึ้นที่ประตูของสวนหลี่ โคมไฟสีแดงแกว่งไปมาอย่างนุ่มนวลท่ามกลางสายลมยามค่ำคืน ซึ่งแสงก็กระทบกับใบหน้าของเสี่ยวหวานวูบวาบ

สวีเฉิงเจ๋อมองลงไปที่กู้เสี่ยวหวาน ดวงตาของเขาดูเหมือนจะมีคำพูดนับพัน แต่เบื้องหน้าเขาคือฉินเย่จือ จ้องที่มองมาที่เขาตั้งแต่เมื่อครู่

เดิมทีสวีเฉิงเจ๋อไม่ดื่มสุรา แต่เขาคิดว่าตนเองสามารถใช้สุราเพื่อเพิ่มความกล้าและแสดงความรู้สึกออกมาได้

เขาไม่ได้ดื่มสุรามากนัก ซึ่งตอนนี้เขาก็ยังคงสร่างอยู่ แต่ยิ่งชัดเจนก็ยิ่งกลัว

ดวงตาสีดำของกู้เสี่ยวหวานนั้นเหมือนกระจก สวีเฉิงเจ๋อสามารถเห็นท่าทางเขินอายของเขาจากดวงตาของนางที่สามารถส่องผ่านเขาได้

กู้เสี่ยวหวานมองไปที่สวีเฉิงเจ๋ออย่างสงสัย สวีเฉิงเจ๋อมองไปที่กู้เสี่ยวหวานอย่างคาดหวังโดยไม่พูดอะไรสักคำ ดวงตาของเขากวาดผ่านใบหน้าของฉินเย่จือเป็นครั้งคราว

ในที่สุด สวีเฉิงเจ๋อก็รวบรวมความกล้า ขณะที่เขากำลังจะพูดนั้น เขาก็ได้ยินฮูหยินสวีเรียก “เฉิงเจ๋อ พวกเราควรไปได้แล้ว!”

แม้แต่ฮูหยินสวีที่อยู่ในรถม้าก็รอเป็นเวลานาน แต่ลูกชายของนางก็ยังไม่พูด ซึ่งทำให้นางหมดความอดทนเล็กน้อย

ด้วยสภาพเช่นนี้ เขาจะแสดงความรู้สึกของตัวเองต่อกู้เสี่ยวหวานได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น ฉินเย่จือที่อยู่ข้าง ๆ ก็จ้องมองสวีเฉิงเจ๋ออย่างไม่วางตา

สวีเฉิงเจ๋อควรจะพูดอย่างไร?

เมื่อได้ยินฮูหยินสวีเรียกเขา สวีเฉิงเจ๋อก็ส่งเสียงออกมา

“เสี่ยวหวาน พรุ่งนี้ข้าจะไปหาเจ้า!” สวีเฉิงเจ๋อพูดอย่างจนใจ หลังจากครุ่นคิดและรวบรวมความกล้าเป็นเวลานาน ในที่สุดทุกอย่างก็กลายเป็นเสียงถอนหายใจ

สวีเฉิงเจ๋อคืนนี้แตกต่างจากที่ผ่านมา

บางทีกู้เสี่ยวหวานคนก่อนอาจไม่เข้าใจจริง ๆ แต่ตัวกู้เสี่ยวหวานซึ่งอายุยี่สิบแปดปีในชีวิตที่แล้วย่อมเข้าใจ

ไม่กินหมูก็ไม่เคยเห็นหมูวิ่งได้หรือ?

แม้ว่าในชาติก่อนกู้เสี่ยวหวานจะไม่เคยออกเดตกับใครมาก่อน แต่ก็ได้รับจดหมายรักจากผู้คนมากมาย!

สายตาและการเคลื่อนไหวของสวีเฉิงเจ๋อไม่ต่างจากผู้ชายที่ถือจดหมายรักมาเพื่อสารภาพรัก

พวกเขาทั้งหมดตัวสั่น ไม่ได้พูดเป็นเวลานาน มีความคาดหวังในสายตาของพวกเขา ซึ่งพวกเขากังวลว่าจะถูกปฏิเสธจากผู้อื่น!

หัวใจของกู้เสี่ยวหวานจมลง!

เมื่อสวีเฉิงเจ๋อพูดคำเหล่านี้ กู้เสี่ยวหวานก็รับคำเบา ๆ

จากนั้นนางก็เฝ้าดูสวีเฉิงเจ๋อเข้าไปในรถม้า แต่อีกฝ่ายยังคงเปิดม่านเพื่อมองไปที่กู้เสี่ยวหวาน

กู้เสี่ยวหวานเฝ้าดูรถม้าออกไปจนกระทั่งนางมองไม่เห็นตะเกียงนำทางบนรถม้า

ถ้านางไม่เข้าใจความหมายของสวีเฉิงเจ๋อ แสดงว่าหลายปีที่ผ่านมา นางมีชีวิตอยู่โดยเปล่าประโยชน์แล้ว!

แต่ถ้าเขาไม่พูด นางก็จะแสร้งทำเป็นไม่รู้!

ตัวตนปัจจุบันของนางเป็นเพียงเด็กอายุสิบขวบ ไยต้องรู้มากนัก เหตุใดไม่แสร้งทำเป็นหูหนวกและเป็นใบ้ แล้วปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างช้า ๆ เล่า!

หลังจากที่สวีเฉิงเจ๋อเข้าไปในรถม้าแล้ว รถม้าก็ขับออกไปอย่างระมัดระวังไปในความมืด จนกระทั่งมองไม่เห็นโคมสองดวงที่แขวนอยู่ที่ประตูสวนหลี่ สวีเฉิงเจ๋อยังคงรักษาท่าทีเหมือนตอนที่เพิ่งเข้าไปในรถก่อนยกม่านขึ้น และมองไปข้างหลัง

ฮูหยินสวีเห็นท่าทางว้าวุ่นใจของลูกชาย และนึกถึงรูปร่างหน้าตาที่ไม่สู้ดีนักของลูกชายนางในตอนนี้ นางโกรธมากจนตบแขนของเขา สวีเฉิงเจ๋อเจ็บปวด จากนั้นเขาจึงตอบกลับไปว่า “ท่านแม่…”

“เจ้า! ข้าบอกกับเจ้าว่าอะไร? ทำไมเจ้าไม่คว้าโอกาสที่ดีเช่นนี้ไว้!” ฮูหยินสวีดูไม่พอใจ

ลูกชายของนางเองก็รู้อยู่แก่ใจ

นางไม่เคยเห็นท่าทางระมัดระวังเช่นนี้ของสวีเฉิงเจ๋อมาก่อน แม้แต่บนโต๊ะอาหาร ลูกชายของนางก็ไม่เคยคิดริเริ่มที่จะเลือกไปนั่งข้าง ๆ กู้เสี่ยวหวาน

“ท่านแม่…” สวีเฉิงเจ๋อรู้สึกเขินอายมากขึ้นเมื่อเห็นแม่ดุเขา เขาก้มหน้า ใบหน้าแดงขึ้น และนิ่งเงียบ

ยามสวีเฉิงเจ๋ออยู่ในชั้นเรียน เขาสามารถกตำรา รู้ดาราศาสตร์และภูมิศาสตร์ และรู้ทุกอย่างดุจฝ่ามือ ซึ่งเขาพูดจาฉะฉานและมีเหตุผล เขาไม่เคยเขินอายต่อหน้านักเรียนมากมาย แต่ตอนนี้ยามเผชิญหน้ากับเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เขากลับเป็นแบบนั้นได้อย่างไร? เหมือนคนใบ้ พูดจาไม่ออก!

“ทางฉินเย่จือที่อยู่ถัดจากเสี่ยวหวานเอาใจใส่มาก ข้าเห็นเขาคอยลวกอาหารให้เสี่ยวหวานเรื่อย ๆ!” ฮูหยินสวีกล่าวอย่างเสียใจ ดูสิ จะวิเศษแค่ไหนถ้าเป็นลูกชายของนางเอง

ถ้ากู้เสี่ยวหวานแก่กว่านี้ นางก็อยากจะเชิญให้แม่สื่อไปที่ตระกูลกู้เพื่อขอแต่งงานทันที

ทว่าสถานการณ์ของกู้เสี่ยวหวานนั้นต่างออกไป นางยังเด็กและทุกคนติดต่อกับนางมานานกว่าหนึ่งปี พวกเขารู้ดีถึงนิสัยใจคอของกู้เสี่ยวหวาน

เด็กคนนี้มีจิตใจแน่วแน่ ถ้านางไม่อยากทำอะไร วัวสิบตัวก็ฉุดรั้งไม่อยู่

ฮูหยินสวียังกังวลว่า ถ้านางทำอย่างเร่งรีบจะทำให้กู้เสี่ยวหวานอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ซึ่งมันจะไม่ดี

ท้ายที่สุด ฮูหยินสวีต้องการแต่งกู้เสี่ยวหวานเข้ามาในครอบครัวของนางจริง ๆ โดยไม่มีความเสี่ยง ดังนั้นนางจึงอยากรู้ทัศนคติของกู้เสี่ยวหวานที่มีต่อสวีเฉิงเจ๋อให้แน่ชัดเสียก่อน