บทที่ 578 ความจริงปรากฏ
“เสด็จแม่! เสด็จแม่! เสด็จแม่!”
“เสด็จแม่ ข้ารู้ข้าผิดไปแล้ว ได้โปรดให้โอกาสข้าอีกครั้งเถิด!”
“ให้โอกาสข้าอีกครั้งเถิด…เสด็จแม่”
ข้าเคยให้โอกาสเจ้า ตั้งแต่วันที่เจ้ากลับมา ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าไม่ใช่หนิงอัน
แล้วข้าก็รู้ว่า หนิงอันตัวจริงของข้าคงไม่หวนกลับคืนมาอีกแล้ว
น้ำตาของข้า ไหลเพื่อหนิงอันตัวจริง
คืนนั้น เจ้าไปที่สำนักชี
ข้าคิดแค่ว่าเจ้าคงไปไว้ทุกข์ให้แม่ของเจ้า เพราะเจ้าเองก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของนาง ข้าก็ไม่มีความเห็นอะไร
ครั้งหนึ่ง เจ้าเคยให้ความอบอุ่นแก่ข้าในช่วงเวลาที่ข้าต้องการมากที่สุด ตราบใดที่เจ้าไม่ได้ฆ่าหนิงอัน ตราบใดที่เจ้ากลับมาเป็นองค์หญิงด้วยความจริงใจ ข้าก็จะยอมรับเจ้า
แต่แล้ว เพราะเหตุใด…เจ้าถึงต้องวางยาพิษเจียวเจียว! ถึงต้องการสมรู้ร่วมคิดกับพวกแคว้นเยี่ยน! ถึงต้องทำร้ายลิ่วหลัง! เพราะอะไรเจ้าถึงได้กระทำสิ่งที่ไม่น่าให้อภัยมากมาย
…
จวงไทเฮาขึ้นรถม้ากลับวัง
เดิมทีฉินกงกงจะต้องนั่งด้านนอกรถม้า แต่พอได้เห็นสีพระพักตร์ของนายหญิงที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก จึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจรวบรวมความกล้าขึ้นนั่งข้างในรถ
“ไทเฮาขอรับ” ฉินกงกงเอ่ยขึ้น
จวงไทเฮาเอามือกดขมับที่ปวดแปลบ “เจ้าอยากจะพูดอะไร”
“กระหม่อมไม่มีอะไรขอรับ” ฉินกงกงเองก็กำลังตกตะลึงกับเรื่องที่เกิดขึ้น
จดหมายพวกนั้น ถูกส่งมาอย่างด่วนพิเศษโดยกู้ฉังชิง และเพิ่งถึงจุดหมายเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เขาไม่ได้เปิดอ่านมัน ไทเฮาทรงเป็นคนจัดแจงอ่านจดหมายพวกนั้นทั้งหมด
ดังนั้นเขาเองก็เพิ่งจะได้ยินเรื่องราวทั้งหมดเช่นกัน
“คือว่า…กระหม่อมแค่รู้สึกไม่พร้อมรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นพ่ะย่ะค่ะ” ฉินกงกงเอ่ยด้วยความรู้สึกละอายใจ
จวงไทเฮาตอบกลับ “อยากถามอะไรก็ถามมา ไม่ต้องอ้อมค้อม”
“ขอรับ” ฉินกงกงยิ้มแห้งหนึ่งที “แต่ก่อน ที่องค์หญิงหนิงอันทรงมีอาการเดี๋ยวกลัวเดี๋ยวไม่กลัวความมืด เพราะมีองค์หญิงสองคนหรือขอรับ”
ไทเฮาหลับตาลงแล้วส่งเสียง “อืม”
ฉินกงกงสูดปาก “ในเมื่อนางออกจากวังไปแล้ว จะกลับเข้าได้อย่างไรหรือขอรับ”
ไทเฮาค่อยๆ อธิบาย “แม่ของนางเป็นถึงพระสนม พาเด็กสักคนเข้ามาหาใช่เป็นเรื่องยากไม่ อีกทั้งไม่ได้เอาเข้ามาอยู่ถาวร ก็แค่โฉบมาแวบไปเพื่อให้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากันเท่านั้น”
“จะว่าไปก็ใช่ขอรับ” ฉินกงกงเพิ่งมากระจ่างในตอนนี้ “แล้วองค์หญิงหนิงอันทรงรู้เรื่องนี้หรือไม่ขอรับ”
จวงไทเฮาตรึกตรองอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะส่ายศีรษะ “ไม่น่าจะรู้นะ”
แม้จะปกปิดจากหนิงอันได้ กระนั้นก็ไม่พ้นสายตาไทเฮาและฝ่าบาทอยู่ดี
ในตอนนั้น เด็กคนนั้นคิดอะไรอยู่ในหัวกันนะ
พอนางเห็นหนิงอันที่สวมใส่อาภรณ์สวยงาม อาหารการกินอุดมสมบูรณ์ พร้อมทั้งใช้ชีวิตอย่างไร้กังวล จึงได้ขอร้องกับจิ้งไท่เฟย “ท่านแม่ ข้าอยากเป็นองค์หญิงบ้าง”
จิ้งไท่เฟยจึงจัดแจงให้นางสวมชุดของหนิงอัน และปลอมตัวเป็นหนิงอันเป็นเวลาหนึ่งวัน บ้างก็ครึ่งวัน หรือบางครั้งอาจแค่หนึ่งชั่วยาม
เสร็จก็กลับไปยังที่ของตัวเองดังเดิม
ฉินกงกงออกอาการใจหาย “คิดๆ ดูแล้ว นางก็เป็นเด็กที่น่าสงสารนะขอรับ เกิดช้ากว่าคนเป็นพี่แค่หนึ่งชั่วยามแต่ชะตากรรมกลับต่างกันราวฟ้ากับเหว กระหม่อมไม่เคยเป็นหน่วยกล้าตาย ไม่รู้ว่าพวกเขาต้องใช้ชีวิตกันอย่างไร แต่ที่แน่ๆ คงเทียบกับองค์หญิงไม่ติดฝุ่นสินะขอรับ”
ไทเฮาเสริม “เทียบกับชาวบ้านตาดำๆ ก็แทบจะไม่ได้เสียด้วยซ้ำ” วิบากของหน่วยกล้าตายหาใช่เรื่องที่คนทั่วไปรับได้ไม่
“ช่างอดสูยิ่งนัก” ฉินกงกงถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้น ผู้ที่อภิเษกสมรสคือองค์หญิงหนิงอันตัวจริงหรือขอรับ”
ไทเฮาถอนหายใจ “ใช่”
และช่วงนั้นอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่พวกเขาวางแผนสับเปลี่ยนตัวหนิงอัน
คงไม่ต้องพูดถึงความรู้สึกที่จิ้งไท่เฟยมีต่อหนิงอัน ถึงจะมีใจ ก็มิอาจเหนือกว่าผลประโยชน์ส่วนตัว
รถม้าเคลื่อนตัวไปอย่างเนิบช้า
จวงไทเฮาเอนหลังพิงกำแพงรถ ฉินกงกงจึงยื่นเบาะรองให้ จากนั้นไทเฮาก็เริ่มรำลึกความหลัง “พอจิ้งไท่เฟยตาย ข้าเคยถามคำถามกับแม่นมไช่ มีถ้อยคำหนึ่งที่เคยพูดกับข้าไว้”
“ถ้อยคำอันใดหรือขอรับ” ฉินกงกงถาม
“หลังจากที่ฮ่องเต้กับจิ้งไท่เฟยไม่ลงรอยกัน จิ้งไท่เฟยวางแผนที่จะใช้ราชโองการเล่นงานข้าและตัวนางเอง แม่นมไช่จึงขอร้องกับนางว่าอย่าหุนหันพลันแล่น จะทำอะไรให้นึกถึงหนิงอันด้วย พอแม่นมไช่เอ่ยจบ สีหน้าของจิ้งไท่เฟยก็เริ่มผิดแปลก คำพูดก็แปลกเช่นกัน นางตอบแม่นมไช่ว่า ‘หนิงอันจากไปแล้ว…ไม่หวนคืนกลับมาแล้ว…’”
“ข้ากับแม่นมไช่คิดเหมือนกันว่าที่จิ้งไท่เฟยเอ่ยเช่นนั้นเป็นเพราะข้าเคยพูดประชดกับนางว่าหากย้ายไปอยู่ที่ชายแดน จะไม่ให้กลับมาที่นี่อีก”
ฉินกงกงพยักหน้าเบาๆ “กระหม่อมจำเหตุการณ์ตอนนั้นได้! กระหม่อมยังเคยพูดโน้มน้าวพระองค์อยู่เลยขอรับ!”
ไทเฮาถอนหายใจอีกครั้ง “ดังนั้น ก็เลยไม่มีใครนึกเอะใจ แม่นมไช่เองก็ไม่เคยรู้จักกับเด็กคนนั้น”
ฉินกงกงเสริม “คนที่ไหนจะเอะใจเรื่องพรรค์นี้ได้ขอรับ! ใครจะล่วงรู้ได้ว่าจิ้งไท่เฟยมีหนิงอันถึงสองคน! ขนาดงูยังไม่กินลูกมันเองเลย ใยนางถึงได้กล้าละทิ้งลูกของตัวเองให้ไปเป็นหน่วยกล้าตายเล่าขอรับ!”
“ใจคนยากแท้หยั่งถึง” จวงไทเฮาตรัสด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ก็จริงขอรับ” ฉินกงกงพยักหน้า
จวงไทเฮาเอ่ยด้วยความรู้สึกสะเทือนใจ “เด็กคนนั้น ไม่ได้ปรากฏตัวในวังบ่อยนัก หลังจากอายุได้สิบปี ก็ไม่เคยปรากฏตัวต่อหน้าข้าอีกเลย ถ้าเด็กคนนั้นปรากฏตัวอีกสองสามครั้ง บางทีข้าอาจจะรู้อะไรบางอย่างก็เป็นได้”
ณ ตำหนักฮว๋าชิง
หลังจากโดนหมอนมหาประลัยขององค์หญิงซิ่นหยางตีเข้าจนสลบ ในที่สุด ฮ่องเต้ก็ฟื้นขึ้น
เมื่อลืมตาขึ้น ก็เจอซิ่นหยางกำลังนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง ปฏิกิริยาแรกของเขาคือรีบยกมือกุมศีรษะ!
องค์หญิงซิ่นหยาง “…”
แน่นอนว่านางหนีความผิดที่เพิ่งก่อไว้ไม่พ้น เว้นเสียแต่ว่านางจะปลงพระชนม์ฝ่าบาทเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องรับโทษ
แต่คงจะลำบากมากหากทำเช่นนั้น เหตุผลประการแรกคือ การกำจัดพระศพนั้นเป็นเรื่องยากเข็ญ และประการที่สองคือ ตอนนี้นางมีหน้าที่ปกครองแคว้น หากฮ่องเต้สวรรคต ไท่จื่อก็ต้องขึ้นครองบัลลังก์ แล้วนางก็ต้องทำหน้าที่เดิมต่อไป
แล้วเรื่องราวจะยุ่งยากกว่าเดิมเข้าไปอีก
ฮ่องเต้เพ่งพินิจคนตรงหน้าที่กำลังแสดงท่าทีคิดเล็กคิดน้อย
“อะแฮ่ม!”
ฮ่องเต้กระแอมในลำคอ วางมือลงอย่างสงบ และแสร้งทำเป็นว่าฉากเมื่อครู่นี้ไม่เคยเกิดขึ้น
ทันใดนั้น พอองค์หญิงลุกขึ้นยืน
ฮ่องเต้ก็รีบเอามือกุมศีรษะอีกครั้ง!
องค์หญิงนึกในใจ อะไรกัน หม่อมฉันก็แค่จะทำท่าคุกเข่าขอขมา
“เจ้า รีบนั่งลงเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องขยับ!” ฮ่องเต้พอได้สติก็ทรงฉุนขาดพร้อมกับตะโกนสั่ง
“เจ้า รีบนั่งลงเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องขยับ!” ฮ่องเต้พอได้สติก็ทรงฉุนขาดพร้อมกับตะโกนสั่ง
นั่งลงก็ได้
พระองค์ไม่ให้หม่อมฉันคุกเข่าเองนะ
จากนั้นองค์หญิงก็นั่งลงบนเก้าอี้
แม้องค์หญิงไม่มีกำลังภายใน แต่ด้วยความที่อยู่กับหลงอีมานาน จึงมีรังสีอำมหิตติดมาบ้าง มิหนำซ้ำองค์หญิงยังได้มาดความเป็นพระเชษฐภคินี ยิ่งส่งให้นางดูน่าเกรงขาม หลังจากที่ฮ่องเต้เจอแรงหมอนของนางเข้าไปก็ทรงหวาดกลัวจนฝังพระทัย
อวี้จิ่นออกจากห้องไปแล้ว
หลังจากทรงสงบสติอารมณ์ได้แล้ว ฮ่องเต้ก็นั่งหลังตรง พร้อมตะโกนเรียกเว่ยกงกง “เว่ยเฉวียน! คลานเข้ามาเดี๋ยวนี้!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” เว่ยกงกงรีบจ้ำอ้าวเข้ามาในทันที
“หน้าไปโดนอะไรมา” ฮ่องเต้เอ่ยทักหลังจากเห็นรอยฟกช้ำบนใบหน้าของเว่ยกงกง
“กระหม่อม หก หกล้มพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยกงกงเบือนหน้าลง
ฝีมือของอวี้จิ่น
เว่ยกงกงเข้ามาข้างในครั้งหนึ่งตอนที่ฝ่าบาทสลบอยู่ เขาพยายามมองหาลูกกระเดือกและขนที่มือขององค์หญิงซิ่นหยาง ก็เลยถูกอวี้จิ่นฟาดเข้าให้เพราะคิดว่าเขาเป็นโรคจิต
“หม่อมฉันมีความผิด โปรดฝ่าบาทลงโทษหม่อมฉันตามสมควรเพคะ” องค์หญิงสารภาพผิด
“ใจกล้าดีนัก!” ฮ่องเต้ตรัสพร้อมกับเอามือตบลงไปบนหมอนเจ้ากรรม จนชาไปทั้งพระหัตถ์…
“โปรดฝ่าบาทลงโทษหม่อมฉันตามสมควรเพคะ”
โปรดถอนตำแหน่งปกครองแคว้นให้ด้วยเพคะ
“ข้ายังไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรกับเจ้า ปล่อยไว้ก่อน!”
“อ้อ” องค์หญิงซิ่นหยางเอ่ยด้วยน้ำเสียงผิดหวัง
ฮ่องเต้ “…”
ฮ่องเต้เอ่ยถามอย่างเย็นชา “เหตุใดเจ้าถึงทำร้ายข้า เจ้าจะลอบปลงพระชนม์ข้าหรืออย่างไร!”
องค์หญิงซิ่นหยางสารภาพตามความจริง “หม่อมฉันเข้าใจฝ่าบาทผิด คิดว่าฝ่าบาทต้องการปกป้องหนิงอัน”
“ข้าเนี่ยนะ ปกป้องหนิงอัน” ฮ่องเต้กริ้ว เขาพูดว่าเขาต้องการปกป้องหนิงอันตั้งแต่เมื่อไหร่
จักรพรรดิเพ่งคนตรงหน้าอย่างเย็นชา ปกตินางจะเป็นคนมีมาด น้อยครั้งที่เขาจะได้เห็นนางแสดงท่าทีเหมือนเด็ก
แบบนี้ก็ไม่เลวแฮะ
ฮ่องเต้กระแอมในลำคอ “ที่มีอะไรจะถามข้าไหม”
ไม่มีหรอก
ทว่าพอมองขึ้นไปตรงบริเวณหน้าผากที่ปูดบวมเป็นหัวหมูของฝ่าบาท
เอาละ มีคำถามก็ได้
องค์หญิงซิ่นหยางครุ่นคิดแล้วตรัสถาม “เหตุใดองค์หญิงหนิงอันจึงต้องปลงพระชนม์พระองค์”
“ข้าเห็นจดหมายสารภาพผิดแล้ว จึงรู้ว่านางเป็นผู้บงการเรื่องที่เกิดขึ้นในหอเซียนเล่อ” ฮ่องเต้ตอบ
องค์หญิงซิ่นหยางชำเลืองมองอย่างระแวดระวัง “ฝ่าบาททรงเชื่อหรือไม่”
ฮ่องเต้กระแอมเบาๆ แล้วตรัส “ตอนแรกข้าก็ไม่เชื่อ แต่จู่ๆ นางก็เอาตัวพุ่งชนเสาเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ฉากนั้นทำให้ข้านึกถึงเหตุการณ์ที่ลืมไปนาน เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่พวกเจ้ายังไม่อภิเษก ตอนนั้นเสด็จพ่อป่วยหนัก ข้าเลยเข้าไปเยี่ยม และในตอนนั้นเองที่ข้าพบว่ามีหนิงอันสองคนอยู่ที่นั่น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือหนิงอันคนหนึ่งกำลังผลักหนิงอันอีกคน หน้าผากของนางเลือดออก และ…เหตุการณ์ครั้งนั้น มันช่างคล้ายกันกับเรื่องที่เกิดขึ้น…”
“หนิงอันสองคนอย่างนั้นรึ” องค์หญิงซิ่นหยางขมวดคิ้วถาม
“นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นหนิงอันสองคน ตอนนั้น ข้ารู้สึกหวาดกลัวและคิดว่าไม่ตาฝาดก็เห็นผี ตอนนั้นจิ้งไท่เฟยได้ปรากฏตัวขึ้น นางพาข้ากลับไปที่ห้องบรรทมและขอให้ข้าเก็บสิ่งที่ได้เห็นเป็นความลับ ข้าถามจิ้งไท่เฟยไปว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดถึงมีหนิงอันสองคน ถ้าไม่บอกความจริงข้าจะไปฟ้องเสด็จพ่อ จิ้งไท่เฟยจึงเล่าให้ข้าฟังว่าที่จริงแล้วหนิงอันมีน้องสาว แต่ตอนคลอดออกมานางก็ไม่หายใจแล้ว จิ้งไท่เฟยจึงกังวลว่าเสด็จพ่อจะไม่พอใจ จึงขอให้นางผดุงครรภ์พาเด็กคนนั้นออกจากวังไปอย่างเงียบๆ แต่หลังจากนั้นกลับพบว่าเด็กคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ แต่ในเมื่อพระราชวังได้ประกาศแล้วว่ามีพระธิดาองค์เดียว หากนางพาหนิงอันอีกคนกลับมาอีก เสด็จพ่อจะกริ้วมาก นางจึงเลือกที่จะเลี้ยงดูหนิงอันอีกคนอย่างเงียบๆ นอกวัง”
“ฝ่าบาทคงไม่ได้เชื่อหรอกใช่ไหม” เรื่องพรรค์นี้ฟังก็รู้แล้วว่าโกหก
ฮ่องเต้รีบโต้กลับทันควัน “ข้า ข้า ข้าไม่เชื่ออยู่แล้ว!”
องค์หญิงซิ่นหยางเบ้ปาก
ฝ่าบาททรงเชื่อสินะ
“คนที่ผลักหนิงอันคือน้องสาวของนางรึ” องค์หญิงซิ่นหยางสงสัย
“นี่เจ้ารู้ทุกเรื่องได้อย่างไร” ฮ่องเต้
นางเกือบหลุดพูดออกไปแล้วว่าเรื่องแค่นี้คนโง่ก็ยังดูออก หากมีหนิงอันสองคนจริงๆ มีทั้งหนิงอันที่ใจดี และหนิงอันในร่างปีศาจ ดังนั้นหนิงอันที่เติบโตมาพร้อมกับพวกเขาย่อมต้องเป็นหนิงอันที่ใจดี
“หลังจากนั้นล่ะ” องค์หญิงซิ่นหยางทอดพระเนตรอ่องเต้
“จากนั้นจิ้งไท่เฟยก็ขอให้ข้าเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ” ตรัสถึงตรงนี้ ก็ทรงนิ่งเงียบไป
จากนั้นองค์หญิงจึงตรัสต่อ “แต่ฝ่าบาทสนิทกับไทเฮา และจะต้องบอกเรื่องนี้กับไทเฮาอย่างแน่นอน”
ฮ่องเต้ไม่ปฏิเสธ
เขารู้นิสัยของตัวเองดี ต่อให้เขารับปากกับจิ้งไท่เฟยแล้วว่าจะไม่บอกใคร แต่ท้ายที่สุด เขาก็จะเล่าเรื่องนี้ให้เสด็จแม่ฟังอยู่ดี
“ไทเฮาไม่เชื่อเรื่องที่จิ้งไท่เฟยแต่งขึ้นอย่างแน่นอน พระองค์จะต้องรู้สึกได่ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล” องค์หญิงซิ่นหยางรวมเรื่องราวกับเหตุการณ์ก่อนหน้าแล้ววิเคราะห์ต่อ “นั่นเป็นเหตุผลที่…จิ้งไท่เฟยพยายามทำให้ฝ่าบาทและไทเฮาแตกคอกันให้เร็วที่สุด แต่ก็กลัวว่าจะแตกคอกันไม่สุด ก็เลยต้องใช้วิธีวางยางฝ่าบาท เพื่อให้ฝ่าบาทลืมทุกสิ่งที่มีผลต่อความสัมพันธ์ของฝ่าบาทและไทเฮา”
“ถูกต้อง” ฮ่องเต้ถอนหายใจพร้อมกับพยักหน้า
“ทุกอย่างก็เริ่มเข้าเค้ามากขึ้น”
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ข้าฉุกคิดเรื่องในวันนั้นได้ และทำให้ข้าได้รู้ว่าคนที่กลับมาไม่ใช่หนิงอันตัวจริง!” ฮ่องเต้ทรงอธิบายต่อ
ที่แท้เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้ ก็ว่าอยู่จดหมายสารภาพผิดแค่นั้นคงไม่อาจโน้มน้าวฝ่าบาทได้หรอก
“แล้วฝ่าบาทจะจัดการกับนางอย่างไร” องค์หญิงซิ่นหยางสงสัย
“นางไม่ใช่หนิงอันสักหน่อย ข้าไม่มีทางโอนอ่อนให้นางอย่างเด็ดขาด” ฮ่องเต้ตรัสอย่างขึงขัง
ค่อยยังชั่ว
จากนั้น องค์หญิงซิ่นหยางค่อยๆ ลุกขึ้นยืน “เวลาก็ล่วงเลยมามากแล้ว ซิ่นหยางขอตัวก่อนเพคะ”
“ซิ่นหยาง” ฮ่องเต้ทรงเรียกนางอย่างกะทันหัน
“เพคะ” นางหันกลับมาด้วยท่าทีมึนงง
ฮ่องเต้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินพระทัยตรัสถาม “เจ้าว่า… หนิงอันยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
องค์หญิงซิ่นหยางไม่ได้ตรัสตอบ ก่อนจะโน้มตัวถวายบังคม หันหลังกลับแล้วเดินออกไป