บทที่ 579 รักของแม่ไร้พรมแดน
องค์หญิงซิ่นหยางออกจากวังหลวงแล้วขึ้นรถม้า
อวี้จิ่นที่อยู่ข้างๆ เอ่ยถามขึ้น “องค์หญิงเพคะ ไปที่ถนนจูเชวี่ยเลยไหมเพคะ”
องค์หญิงชั่งใจอยู่ครู่นึง ก่อนตอบ “ไปที่ตรอกปี้สุ่ยก่อน”
รถม้าขององค์หญิงเข้าจอดที่ตรอกปี้สุ่ย ขณะเดียวกัน กู้เจียวกับเซียวเหิงกำลังใช้จอบขุดพื้นหน้าเรือน ดูเหมือนคู่สามีภรรยาหนุ่มสาวชาวไร่จริงๆ
องค์หญิงซิ่นหยางเดินเข้าไปหาพวกเขา
“ท่านแม่” เซียวเหิงเอ่ยทักในทันที
กู้เจียวขานเรียกองค์หญิง
องค์หญิงซิ่นหยางไม่พอใจคำที่บุตรชายเรียกพร้อมกับเบือนหน้าหนี
เซียวเหิงเห็นเข้าจึงยืนขบขัน ก่อนจะยื่นมือคว้ามือขององค์หญิง “ท่านแม่มาได้อย่างไร”
“อย่ารังแกสะใภ้ของเจ้าสิ!” องค์หญิงซิ่นหยางจ้องเขม็ง ตบหลังมือของเขาแล้วถามทั้งสอง “ไทเฮากลับมาหรือยัง”
เซียวเหิงหันไปหากู้เจียว
“กลับมาแล้วเจ้าค่ะ กำลังคุยกับหวงฝู่เสียนอยู่” กู้เจียวตอบ
“พวกเจ้ารู้เรื่องหนิงอันแล้วใช่ไหม” องค์หญิงเอ่ยถาม
กู้เจียวพยักหน้า “เมื่อครู่นี้ได้ยินที่ท่านย่าเล่าแล้วเจ้าค่ะ”
องค์หญิงทำหน้าโล่งใจ “เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรแล้วล่ะ ข้าขอตัวก่อน”
“ข้าไปส่งเอง” เซียวเหิงอาสา
ขณะที่องค์หญิงเดินไปที่ประตู ก็เหลือบเห็นทวนพู่สีแดงที่พาดอยู่บนต้นไผ่ ก่อนจะยิ้มมุมปากแล้วเอ่ยขึ้น “ลานนี้กว้างขวางดียิ่งนัก ไหนเจ้าลองพุ่งหอกให้ข้าดูสักทีสองทีซิ”
เซียวเหิงออกอาการเคอะเขินพร้อมกับจูงองค์หญิงให้รีบเดิน “นี่ข้าเป็นลูกท่านนะ!”
องค์หญิงซิ่นหยางหัวเราะทั้งหมั่นไส้ทั้งตลกในคราวเดียวกัน ก่อนจะขึ้นรถม้าไป
กู้เจียวถือแอบมองไปที่หน้าต่างห้องที่ปิดสนิทแล้วเอ่ยถาม “เจ้าคิดว่าท่านย่าจะเล่าเรื่องทุกอย่างหรือไม่”
ดวงตาของเซียวเหิงก็จับจ้องไปที่หน้าต่างที่ปิดอยู่แล้วเอ่ย “คงเป็นเช่นนั้นกระมัง”
“ไม่กลัวเขาจะเสียใจรึ ยังเด็กอยู่เลย” กู้เจียวเอ่ย
เด็กๆ มักจะมีอารมณ์ที่อ่อนไหว
“เจ้าอายุมากกว่าเขาแค่สามปีเอง” เซียวเหิงหัวเราะ นี่นางคิดว่าตัวเองแก่แล้วหรืออย่างไร
เซียวเหิงเอ่ยต่อ “หากไม่บอกเขา เขาจะต้องอยู่ในความเข้าใจผิดว่าถูกแม่ของเขาเกลียดชังไปตลอดชีวิต อันเป็นเรื่องที่น่าเศร้ายิ่งนัก”
กู้เจียวสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของเขา และเริ่มเข้าใจบ้างว่าเขาต้องการจะสื่ออะไร “เป็นบทเรียนจากที่เจอมาสินะ”
“อืม”
เซียวเหิงไม่ปฏิเสธ
สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดที่เขาเจอไม่ใช่เรื่องที่เขาไม่ใช่ลูกขององค์หญิง หรือที่เขาเกือบถูกไฟคลอกจนตาย แต่เป็นเรื่องที่เขาเข้าใจผิดมาตลอดว่าองค์หญิงรังเกียจและทอดทิ้งเขา
มันเป็นการหลอกตัวเองที่บีบคั้นหัวใจยิ่งนัก
“หวงฝู่เสียนเคยเล่าว่าหลังจากที่เขาได้รับบาดเจ็บ ดูเหมือนนางจะเปลี่ยนเป็นคนละคน บางทีพวกเขาอาจเปลี่ยนตัวกันตั้งแต่ตอนนั้นก็เป็นได้ เจ้าคิดว่าหวงฝู่เจิงรู้เรื่องนี้ด้วยหรือไม่” กู้เจียวสงสัย
“ไม่รู้สิ บางคำถามก็อาจไม่มีคำตอบหลงเหลือแล้ว”
ไทเฮาออกมาจากห้องนั้นมากว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว กระนั้นสีหน้าของนางกลับดูอิดโรยพร้อมกับเส้นเลือดที่ปรากฏบริเวณใต้ตา
จู่ๆ ไทเฮาก็เกิดสะดุดขณะที่กำลังข้ามธรณีประตู
“ท่านย่า!” กู้เจียวที่กำลังทำความสะอาดเรือนอยู่ก็มือตาไวคว้าร่างไว้ได้ทัน
ไทเฮาโบกมือปัด “ไม่เป็นไร แก่แล้วก็เป็นเช่นนี้แล กลับไปนอนพักสักหน่อยดีกว่า”
เอ่ยจบก็ค่อยๆ ย่องกลับไปที่ห้องของตัวเอง
เส้นผมสีเงิน ร่างกายที่เหนื่อยล้า แผ่นหลังที่ดูเหมือนจะง่อนแง่นเล็กน้อย เพียงวันเดียว ดูเหมือนแก่ลงไปอีกสิบปี
ไทเฮาทรงใช้ชีวิตอย่างลำบาก ทั้งปกป้องแคว้น บัลลังก์ของจักรพรรดิ และเกียรติยศของตระกูล แต่ท้ายที่สุดคนที่นางเลี้ยงกับมือจนโต กลับไม่มีใครอยู่ตรงนี้ด้วยกันเลยแม้แต่ผู้เดียว
หนิงอันของนาง ไม่กลับมาแล้ว
ไทเฮาค่อยๆ เอนกายลงบนเตียงท่ามกลางห้องที่มืดมิด
แอ๊ดดด
เสียงประตูเปิดดังขึ้น
ตามมาด้วยเสียงปิดประตู
ร่างเล็กวิ่งไปที่เตียงและนอนลงบนขอบเตียง “ท่านย่า!”
“มีอะไร” จวงไทเฮาเอ่ยถาม
จิ้งคงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “จะหลับแล้วหรือ”
จวงไทเฮากลอกตาหนึ่งที ก่อนจะตอบเจ้าตัวเล็ก “ยังหรอก แค่นอนสังเคราะห์แสงน่ะ”
จิ้งคงเบิกตากว้าง “อ้อ ให้ข้ารดน้ำให้ไหม”
จวงไทเฮา “…”
“ท่านย่าติดหนี้ผลไม้เชื่อมข้าอยู่นะ”
“อยู่บนโต๊ะนั่นไง หยิบเองสิ”
จิ้งคงถึงกับงง “เกิดอะไรขึ้นกับท่านย่าเนี่ย ไม่เจ้าเล่ห์แล้วรึ”
“พูดมากจังนะวันนี้” จวงไท่เฮาค้อน
จิ้งคงเอียงหัว “แสดงว่าเมื่อก่อนข้าพูดน้อยอย่างนั้นรึ”
ไทเฮาใกล้จะเป็นบ้าแล้ว นางแค่อยากอยู่เงียบๆ คนเดียว ทว่าเจ้าตัวเล็กดันเข้ามาก่อกวนอยู่ได้
“กินข้าวได้แล้ว”
เสียงกู้เสี่ยวซุ่นดังขึ้น
“ท่านย่า ไปกินข้าวกันเถอะ!” จิ้งคงดึงชายเสื้อของท่านย่า
“ไม่อยากกิน…”
“มีข้าวเหนียวเคลือบน้ำตาลทรายแดงฝีมือท่านปู่ด้วยนะ”
“ไม่อยาก…”
“มีขนมถั่วม้วนด้วย”
“ไม่”
“แล้วยังมีไข่ต้มน้ำตาลด้วยนะ”
ไทเฮาเริ่มกลืนน้ำลาย
ปล่อยให้ข้าเสียใจให้พอก่อนไม่ได้เลยเรอะ!
หวงฝู่เสียนป่วยอยู่ ต้องการพักผ่อน กู้เจียวเลยไม่ได้ไปปลุกเขา แต่อุ่นข้าวต้มเอาไว้เผื่อให้เขากินหลังตื่นนอน
ทว่า ยังไม่มีท่าทีว่าเขาจะตื่นขึ้นแต่อย่างใด
“ทำไมยังไม่ตื่นอีกนะ” จิ้งคงทำหน้างุนงง
“เดี๋ยวข้าไปดูเอง” กู้เจียววัดชีพจรให้เขา จากนั้นแตะที่หน้าผาก ทุกอย่างเป็นปกติ “คงจะง่วงมากสินะ”
ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
หวงฝู่เสียนกำลังฝัน ฝันเห็นตัวเองย้อนกลับไปตอนอายุห้าขวบ
ในปีนั้น หิมะตกหนักที่ชายแดน จนผู้คนหนาวตายหรืออดตายที่บ้าน
องค์หญิงหนิงอันและบ่าวตัดสินใจเดินทางไปที่ตลาดเมืองเย่เพื่อแจกอาหาร
เด็กน้อยวัยห้าขวบวิ่งหอบแฮกๆ กอดขาองค์หญิงหนิงอัน แล้วเอ่ยเสียงแหลม “ท่านแม่! เสียนเอ๋อร์ขอไปด้วย!”
องค์หญิงมองไปยังหิมะที่โปรยปรายอยู่นอกห้อง แตะศีรษะของเขาเบาๆ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หิมะตกหนักเกินไป หากเจ้าออกไปอาจถูกหิมะกัดได้ เจ้ารอแม่อยู่ที่นี่นะ”
เสียนเอ๋อร์ในวัยห้าขวบส่ายหัวปฏิเสธ “แต่ท่านแม่ก็อาจถูกหิมะกัดได้เหมือนกัน!”
องค์หญิงหนิงอันตอบกลับด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม “แม่ไม่เป็นอะไรหรอก แม่ใส่เสื้อผ้าหนาๆ ตั้งหลายชั้น”
“เช่นนั้นเสียนเอ๋อร์ก็ใส่ชุดหนาๆ หลายชั้นได้เหมือนกัน!”
“เชื่อฟังนะ เดี๋ยวแม่ก็กลับมาแล้ว” องค์หญิงหัวเราะเบาๆ กอดเขาไว้ในอ้อมแขนพร้อมกับจูบเข้าที่ใบหน้าและหน้าผากเล็กๆ ของเขา
หลังจากนั้น องค์หญิงหนิงอันก็วางเขาลง สวมเสื้อคลุมแล้วออกไป
เขาวิ่งตามนางไปที่ประตู แต่กลับถูกพวกบ่าวรั้งไว้ตามเคย
เขาฝันเห็นฉากนี้อยู่บ่อยครั้ง และฉากต่อไปคือเขาแกล้งทำเป็นหลับ อาศัยจังหวะทีเผลอแล้วรีบย่องออกไป จากนั้นเข้าไปหลบอยู่ใต้เก้าอี้ในรถม้า แล้วเดินทางออกไป
เพียงแต่เขายังเด็กและไม่รู้ว่ารถม้าทุกคันจะไปที่โรงข้าวต้มหรือไม่
และแล้ว รถม้าก็ได้มาหยุดอยู่ที่สถานที่แปลกหน้าแห่งหนึ่ง
ในเวลานี้ท้องฟ้ามืดแล้ว สารถีออกไปทำธุระ เขาจึงลงจากรถม้า
ถนนหนทางและผู้คนที่ไม่คุ้นเคย ทำให้เขาเริ่มหวาดกลัว
เขาค่อยๆ ขานเรียกมารดา
เขาไม่รู้ว่าตัวเองร้องเรียกนานแค่ไหน เดินโซซัดโซเซนานแค่ไหน ความรู้สึกท้อใจที่ไม่สามารถหามารดาเจอสามารถปลุกเขาให้ตื่นจากฝันร้ายได้ทุกครั้ง
แต่คราวนี้ไม่เหมือนเดิม
เขายังคงลนลานไปตามท้องถนนราวกับแมลงวันหลงทิศ
พายุหิมะพัดหนักขึ้นเรื่อยๆ เขาหลงทางและมาถึงถนนสายหนึ่งโดยไม่รู้ตัว หิมะสีขาวขนาบข้างทั้งสองข้างทอดยาวสุดลูกหูลูกตา
เขาไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ก่อนจะเซล้มลงไปบนหิมะนุ่ม ตะเกียกตะกายลุกอย่างไรก็ลุกไม่ขึ้น
ก่อนที่เขาจะหมดสติไป เสียงที่อ่อนโยนและกังวาลก็ดังขึ้นเหนือหัวของเขา จากนั้นเขาก็ถูกโอบกอดด้วยแขนที่อ่อนโยนคู่หนึ่ง
“เสียนเอ๋อร์!”
ท่านแม่นี่เอง
เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น สบตาเข้ากับใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยน้ำตา
“ในที่สุดก็เจอตัวสักที!”
องค์หญิงหนิงอันโผกอดเข้าไว้ในอ้อมอก
เขาอยากจะกอดนางตอบเช่นกัน ทว่าร่างของเขาแข็งทื่อไปหมด
องค์หญิงค่อยๆ แบกเขาไว้บนหลัง ฝ่าลมพายุและหิมะอันขมขื่น และเดินไปข้างหน้าทีละก้าว
แม้จะหกล้มนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ลุกขึ้นได้นับครั้งไม่ถ้วนเช่นกัน
“ท่านแม่ ข้าหนาวเหลือเกิน”
องค์หญิงหนิงอันถอดเสื้อออกแล้วคลุมตัวเขา
“ข้าง่วง…” เขาพึมพำบนหลังของนาง
องค์หญิงหนิงอันหอบตรัส “เสียนเอ๋อร์ อย่าเพิ่งหลับ แม่จะพาเจ้ากลับบ้าน”
ท้ายที่สุดนางเดินไม่ได้อีกต่อไป และนอนคว่ำหน้าอยู่ท่ามกลางหิมะที่เย็นจัด
เขานอนอยู่บนหลังของนาง ท่ามกลางหิมะที่ตกหนักเป็นสาย
นางขุดหลุมเล็กๆ ทีละนิดจนนิ้วทั้งสิบของนางเปื้อนเลือดและมองเห็นกระดูกสีขาว
นางถอดเสื้อแล้วห่อบนตัวเขาอย่างระมัดระวัง
จากนั้นใช้ร่างกายที่อ่อนแอและผอมบางของนางเป็นเกราะกำบังพายุหิมะให้เขา
ลมหนาวค่อยๆ กัดกินร่างกายของนางจนทั้งร่างแข็งทื่อและขยับไม่ได้
นางเอื้อนเอ่ยกับเขาด้วยแรงเฮือกสุดท้าย “เสียนเอ๋อร์ เจ้าต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปนะ…”