บทที่ 597 ถ้ำปีศาจใต้ดิน กระบี่วิญญาณเผ่าเวท (1)
เหตุใดเผ่าเวทจึงไม่พบความผิดปกติใดๆ ในเส้นชีพจรปฐพีเลย กระทั่งผ่านมาเป็นเวลานานนับหมื่นปี?
หากวิเคราะห์อย่างรอบคอบแล้ว เขาอาจหาคำอธิบายได้มากมาย เช่น ปราณวิญญาณของเผ่าเวทโดยกำเนิดนั้นไม่มีพลังเพียงพอ การขาดแนวคิดที่สมบูรณ์แบบของ ‘โอสถ’ และไม่เก่งกาจในเรื่องค่ายกลต่างๆ เส้นชีพจรปฐพีมากมายและซับซ้อนอยู่ในดินแดนเทวะอุดร … และอื่นๆ
ทว่าเมื่อหลี่ฉางโซ่วได้เดินไปรอบๆ เผ่าเวทเพียงไม่กี่ครั้ง เขาก็ค้นพบเหตุผลที่แท้จริงแล้ว
เผ่าเวทยอมจำนนต่อโชคชะตาของพวกเขา
เมื่อพวกเขาตระหนักได้ว่า มีชาวเผ่าเวทกำเนิดใหม่ไม่เพียงพอ พวกเขาก็น่าจะคิดหลายวิธี แต่หลังจากที่ปะทะกับกำแพงหิน[1]ซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง ก็ยังไม่อาจหาเหตุผลได้ พวกเขาจึงจึงอ้างว่าเป็นเพราะการลงทัณฑ์จากสวรรค์ และความจริงที่ว่า โลกนี้ไม่อาจทนแบกรับเผ่าเวทได้ จึงอดทนอยู่เงียบๆ
เดิมทีพวกเผ่าเวท เป็นผู้พ่ายแพ้แห่งยุคโบราณ
เมื่อจักรพรรดิเหลือง เซียนหยวน[2]ต่อสู้กับฉื้อโหยว[3] พวกเผ่าเวทได้รีบยืนอยู่เคียงข้างพวกมนุษย์เวทและสนับสนุนพวกมนุษย์เวท พวกเขาได้ใช้โชคสุดท้ายหมดสิ้นไปแล้วเช่นกัน มันเป็นชะตากรรมที่พวกเขายอมรับว่าจะค่อยๆ ล่มสลายลงอย่างช้าๆ ในดินแดนเทวะอุดรนี้…
นั่นคือสาเหตุหลักภายในที่ทำให้เผ่าเวทไม่อาจค้นพบปัญหาได้
เมื่อเผ่าเวทไม่อาจหาที่ยืนของตนเองในโลกบรรพกาลได้ พวกเขาก็สูญเสียแรงจูงใจไร้แรงฮึกเหิมที่จะดิ้นรนต่อสู้อย่างหนัก สิ่งที่รอพวกเขาอยู่คือ ความเจ็บปวดทนทุกข์อย่างไร้ที่สิ้นสุดหลังจากที่เผชิญกับความยากลำบาก
ว่ากันตามตรง ในเวลานี้ เผ่าปีศาจที่ยังคงหวังจะฟื้นคืนชีพก็มีแรงจูงใจฮึกเหิมและทรงพลังแข็งแกร่งมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด
แน่นอนว่า สำหรับมนุษย์ เผ่าปีศาจกำลังเป็นภัยคุกคามมากกว่า
หากวันหนึ่งเผ่าพันธุ์มนุษย์สูญเสียตัวตนไปเช่นนี้ และไม่รู้ว่าเหตุใดพวกเขาถึงดำรงอยู่ หรือหากพวกเขาไร้จุดหมายปลายทาง พวกเขาก็จะถูกเผ่าพันธุ์อื่นแทนที่ในฐานะตัวเอกของโลกไปด้วยหรือไม่?
บางทีอาจจะเป็นเช่นนั้น
ความคิดที่ซับซ้อนมากมายผุดขึ้นมาในใจของหลี่ฉางโซ่วทันที ทว่าในไม่ช้า เขาก็ระงับความคิดฟุ้งซ่านเหล่านั้นไป และเริ่มคิดถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดในขณะนั้น!
เรื่องด่วน!
เขาจะตอบสนองความสงสัยใคร่รู้ของผู้นำ “การสำรวจโลกบรรพกาล” ได้อย่างไรโดยไม่รู้ตัว!
องค์เง็กเซียนถูกกระตุ้นจนสนใจในเรื่องนั้นมากแล้วในขณะที่พวกเขาทั้งสองคนเพิ่งเข้าสู่ค่ายกลเส้นชีพจรปฐพี…
“ฉางเกิง ดูสิ! มีอักขระเต๋าแปลกประหลาดในเส้นชีพจรปฐพีนี้!”
ห่างจากเส้นชีพจรปฐพีไปไม่ถึงยี่สิบจั้ง จู่ๆ องค์เง็กเซียนก็ร้องตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้นอีกครั้ง…
“ดูสิ มีร่องรอยบ่งชี้ว่าเส้นชีพจรปฐพีนี้ถูกดัดแปลง นอกจากนี้ยังมีกฎห้ามบางอย่างในการชี้นำพลังวิญญาณที่นี่!”
หลังจากเดินทางไปตามเส้นชีพจรปฐพีได้ราวหนึ่งชั่วยาม…
“ฉางเกิง ไฉนถึงมีพลังวิญญาณวารีมากมายอยู่ตรงหน้าพวกเรา? หรือว่าเรามาถึงส่วนสำคัญของเส้นชีพจรปฐพีแล้ว?”
หลี่ฉางโซ่วทำได้เพียงตอบกลับอย่างสงบว่า “ฝ่าบาท ตอนนี้เราอยู่ที่ทะเลอุดร เรา…กำลังไปผิดทางแล้ว”
จ้าวเต๋อจู้ยิ้มขัดเขิน จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังกลับไปจากทางใต้ทะเลอุดร และเดินมุ่งหน้าไปทางใต้ตามเส้นชีพจรปฐพี
หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน และพบว่า ชีวิตขององค์เง็กเซียนนั้นไม่ง่ายเลย
ในสมัยโบราณ เมื่อบรรพาจารย์เต๋ารับเลี้ยงองค์เง็กเซียนและพระแม่หวังหมู่เอาไว้ พวกเขาทั้งคู่ก็เพิ่งเกิดมาพร้อมกับสติสัมปชัญญะ
หลังจากที่องค์เง็กเซียนกลายร่างเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว เขาก็ถูกกักขังอยู่ในวังเมฆม่วง เขาฝึกบำเพ็ญในขณะที่คอยบริการน้ำชา และน้ำตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และสิ่งมีชีวิตที่เขาสัมผัสด้วยล้วนแต่เป็นร่างทรงพลังที่น่าเบื่อ เฉกเช่น จอมปราชญ์ทั้งหก และจักรพรรดิปีศาจ
จู่ๆ วันหนึ่ง องค์เง็กเซียนก็ได้รับแจ้งให้เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการและให้ยึดเข้าครองยึดครอง… อาณาจักรทั้งสาม ความกดดันค่อนข้างสูงมากจริงๆ
ดังนั้น ในเวลานี้ แม้เพียงร่างจำแลงของเขาจะประสบกับสิ่งแปลกใหม่เหล่านั้น แต่มันก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตอมตะที่ล้ำค่าอย่างยิ่งสำหรับองค์เง็กเซียนแล้ว!
หลี่ฉางโซ่วคิดในใจ ข้าควรสร้างสรรค์บทละครสักสองสามเรื่องและจ้างนักแสดงสักสองสามคนเพื่อให้องค์เง็กเซียนได้สัมผัสประสบการณ์ชีวิตมากขึ้นหรือไม่?
ทำได้ เพียงแต่เขาจะต้องใช้ความพยายามเพิ่มขึ้นมากกว่านี้
ทว่า…มันก็ลงทุนมากเกินไป
บัดนี้ เขาดำรงตำแหน่งด้วยบุญของเทพขั้นที่สามแต่ทำงานมากกว่าแม่ทัพตงมู่ที่ดำรงตำแหน่งเทพขั้นที่สองเสียอีก
มันไม่ง่ายเลยที่เขาจะต้องแบกรับความเสี่ยงในการเป็นตัวแทนแห่ง “พลังอำนาจ” ในตำแหน่งเทพขั้นที่หนึ่ง โนเวล-พีดีเอฟ
ย่อมดีกว่าที่จะไม่สร้างฉากเพิ่มแสงให้ตัวเอง!
เวลานี้ พวกเขาทั้งสองคนซ่อนตัวอยู่ในเส้นชีพจรปฐพีเงียบๆ ด้วยวิชาหลีกลี้ปฐพีซ่อนกายของหลี่ฉางโซ่ว แม้มันจะไม่เป็นความลับดีเหมือนกับถ้ำดินของนักพรตเต๋าตั๋วเป่า แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เหล่าเซียนจินธรรมดาจะตรวจจับได้…
หลังจากกลับไปที่จุดเริ่มต้นของการสอบสวนแล้ว หลี่ฉางโซ่วและองค์เง็กเซียนซึ่งเปลี่ยนร่างเป็น จ้าวเต๋อจู้ ก็ค้นพบสิ่งผิดปกติบางอย่าง
“ฉางเกิง ดูเหมือนว่า เส้นชีพจรปฐพีนี้จะเชื่อมต่อกันใหม่แล้ว”
“ฝ่าบาท โปรดทอดพระเนตร มีเส้นลายกระแสวิญญาณในเส้นชีพจรปฐพี เส้นลายกระแสวิญญาณที่อยู่ด้านหน้าและด้านหลังไม่ตรงกันอย่างเห็นได้ชัด”
ทั้งสองคนต่างมองหน้ากันทันที
จ้าวเต๋อจู้ ยิ้มและกล่าวว่า “เมื่อถึงจุดนี้ ข้ายืนยันได้แน่นอนว่า ปัญหาอยู่ที่เส้นชีพจรปฐพีนี้!”
หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “ฝ่าบาท ในโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน เพื่อความปลอดภัย เราควรตรวจสอบให้ถึงที่สุดจะดีกว่า
เราให้อ๋าวอี่ส่งองค์หญิงหลงจี๋กลับไปที่ศาลสวรรค์ก่อนดีหรือไม่? จากนั้น เทพน้อยก็จะนำหัววัวและหน้าม้าตามหลังไป หากเราพบปัญหาใดๆ ก็จะยังมีการสนับสนุนอยู่ภายนอกคอยช่วยเหลือได้”
“ดี!”
จ้าวเต๋อจู้ตกลงและใช้สัมผัสเซียนรับรู้ของเขาเข้าตรวจสอบเส้นชีพจรปฐพีอย่างระมัดระวัง
เวลานี้ เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างไม่อาจอธิบายได้
หลี่ฉางโซ่วรีบจัดการอย่างรวดเร็ว… ดังคำกล่าวที่ว่า ผู้อาวุโสบงการผู้ยิ่งใหญ่ และผู้ยิ่งใหญ่ย่อมบงการผู้เยาว์ บัดนี้ หลี่ฉางโซ่วได้วางความรับผิดชอบอันหนักหน่วงไว้บนบ่าของอ๋าวอี่แล้ว!
ภายใต้การจัดการของศิษย์พี่เจ้าสำนัก อ๋าวอี่ต้องส่งองค์หญิงหลงจี๋กลับไปที่ศาลสวรรค์ก่อนที่เขาจะเคลื่อนย้ายกองทัพเรือทียนเหอ
หลังจากเสร็จสิ้นสิ่งเหล่านี้ เขาต้องกลับไปที่ดินแดนเทวะอุดรเพื่อรับหัววัว หน้าม้า และปรมาจารย์เผ่าเวททั้งแปดคน แล้วติดตามหลี่ฉางโซ่วและร่างจำแลงขององค์เง็กเซียนในท้องฟ้า
อ๋าวอี่ก็ใส่ใจจริงจังเช่นกัน เขากลายร่างเป็นร่างแท้จริงของมังกรครามโดยตรง และแบกหลงจี๋เอา ไว้บนหลังของเขา แล้วรีบบินตรงไปที่ทะเลอุดร และรีบพุ่งไปที่ประตูสวรรค์อุดร…
………………………………………………………………..
[1] เผชิญกับอุปสรรค
[2] หนึ่งในห้าจักรพรรดิ ยุคสามกษัตริย์ห้าจักรพรรดิในจีนยุคโบราณ ได้รับการยกย่องว่าทรงประดิษฐ์สิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมมากมาย และเป็นผู้ริเริ่มอารยธรรมจีน ในยุคนั้น มีชุมชนมากมายอาศัยอยู่บริเวณทั้งสองฝั่งของแม่น้ำฮวงโห และต่อสู้กัน ซึ่งจักรพรรดิเหลือง เซียนหยวนสามารถรบชนะและผนวกชุมชนเหล่านี้เอาไว้ได้ (รวมถึงฉื้อโหยว) และหลังจากที่พระองค์พิชิตศึกได้แล้วจึงขึ้นเป็นกษัตริย์
[3] เป็นผู้นำของชนเผ่าจิ่วหลีแถบแม่น้ำฮวงโหในจีนยุคโบราณ ซึ่งเป็นที่รู้จักว่าเป็นผู้ที่พ่ายแพ้ในการรบกับจักรพรรดิเหลือง ทั้งที่ความจริงแล้วก็เป็นที่นับถือว่า เป็นเทพแห่งสงคราม มีความสามารถในการประดิษฐ์อาวุธต่างๆ จากโลหะ เรียกเมฆหมอกและทำศึกสงครามอย่างกล้าหาญมาก