บทที่ 582 หลงอีมาแล้ว

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 582 หลงอีมาแล้ว

เดิมทีฉินเฟิงเยียนต้องการจะหาทางหนีทีไล่ หากความเป็นความตายของฉินฉู่อวี้กับของนางถูกผูกเข้าไว้ด้วยกัน ไม่มีทางที่พวกเขาจะลงมือฆ่านางอย่างเลือดเย็นได้อย่างแน่นอน

ทว่า…ดันเจอกับกู้เจียวผู้ซึ่งไม่หลงกลใครง่ายๆ

หากนางร้องขอด้วยความจริงใจ กู้เจียวอาจใจอ่อนยอมต่อชีวิตให้นาง แต่กลับเลือกที่จะเอาชีวิตของเด็กมาข่มขู่กู้เจียว

กู้เจียวเดินออกจากห้องพร้อมกับรอยเปื้อนเลือดทั้งตัว

เว่ยกงกงทำงานรับใช้ในวังมาหลายปี เคยเห็นการลงโทษนับครั้งไม่ถ้วน แต่เขาไม่เคยเห็นใครใช้วิธีแบบนั้นมาก่อน

“ทะทะทะทะทะทะทะท่าน…”

เว่ยกงกงตะลึงจนพูดติดอ่าง

ไม่รอให้เว่ยกงกงเอ่ยจบ กู้เจียวก็จัดแจงถอดเสื้อคลุมและถุงมือออก ก่อนจะเดินออกไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

หลังออกจากวัง กู้เจียวกลับมาที่ตรอกปี้สุ่ย

กู้เจียววางแผนไว้ว่าจะเปลี่ยนชุดก่อนแล้วออกไปข้างนอกอีกรอบ พอเข้าไปในเรือนก็เจอกับอาจารย์หนานเซียงและอาจารย์หลู่

เด็กชายทั้งสามออกไปเรียนหนังสือ แม่นางเหยาจึงต้องนั่งต้อนรับแขก

“เจียวเจียว กลับมาแล้วหรือ” แม่นางเหยาเอ่ยทักกู้เจียวที่กำลังเดินเข้าประตู

กู้เจียวทักทายพวกเขาทั้งสาม

“มีอะไรหรือเจียวเจียว รีบออกไปข้างนอกรึ” แม่นางเหยาสังเกตเห็นท่าทีที่ร้อนรนของบุตรสาว

กู้เจียวตอบ “ข้ามีธุระเล็กน้อย ต้องรีบไป”

“ฮูหยิน เสี่ยวเป่าหิวแล้วเจ้าค่ะ!” อวี้หยาร์เอ่ยเรียกนายพร้อมกับอุ้มทารกน้อยออกมา

“ขอตัวประเดี๋ยวนะ” แม่นางเหยาหันไปทางแขกทั้งสอง

หนานเซียงยิ้มรับ “ยุ่งก่อนเถิด”

จากนั้นแม่นางเหยาก็อุ้มเสี่ยวเป่ากลับไปที่ห้องแล้วให้นม

อาจารย์หลู่ยังคงนั่งดื่มชาอยู่ในห้องรับแขก ขณะที่หนานเซียงมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องกู้เจียว ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจเคาะประตู

“เจียวเจียว ข้าเอง” หนางเซียงเอ่ย

“เข้ามาได้เลย” กู้เจียวเปลี่ยนมาสวมอาภรณ์ของบุรุษ จากนั้นคว้าทวนพู่แดงที่แขวนอยู่บนกำแพงแล้วจัดแจงมัดเชือกที่ห้อยตกลงมาให้แน่น

ทันทีที่หนานเซียงเข้ามาเห็น ก็รู้ในทันทีว่ามีงานช้างรอนางอยู่แน่ๆ ในเมื่อเป็นคนกันเอง หนานเซียงมิอาจทำเป็นมองข้ามไปได้ “มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นหรือเปล่า”

“องค์ชายเจ็ดโดนยาพิษประหลาดรุมเร้า ข้ากำลังจะไปตามหายาถอนพิษ”

“ยาพิษรึ”

ยาพิษกับอาวุธลับคืองานถนัดของสำนักถังเหมิน หนานเซียงจึงถามต่อ “อาการเขาเป็นอย่างไรบ้าง เล่าให้ข้าฟังที”

จากนั้นกู้เจียวก็ได้เล่าเรื่องอาการของฉินฉู่อวี้และฉินเฟิงเยียนให้ฟัง โดยเฉพาะของฉินฉู่อวี้ที่อยู่ในสภาพหมดสติ

“นี่มันไม่ใช่ยาพิษของสำนักพวกเรา…” หนานเซียงพึมพำ

“ว่าอย่างไรนะ” กู้เจียวถามขึ้น

หนานเซียงจึงได้แต่ยิ้มกลบเกลื่อนแล้วอธิบายต่อ “ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่กำลังพูดว่า ข้าไม่เคยพบเจอยาพิษชนิดนี้มาก่อน แต่ข้าเคยได้ยินเขาเล่ากันว่ามันเป็นคุณไสยแขนงหนึ่ง องค์ชายเจ็ดยังทรงพระเยาว์อยู่สินะ”

กู้เจียวตอบ “ปีนี้แปดขวบ”

หนานเซียงพยักหน้า แล้วอธิบายต่อ “กะแล้วเชียว พิษพวกนี้มีอานุภาพที่รุนแรงมาก ปกติไม่ควรใช้กับเด็กเพราะร่างกายของเด็กอาจรับไม่ไหว คุณไสยประเภทนี้ยังมีการจับคู่โดยแบ่งออกเป็นตัวแม่กับตัวลูก หากคนที่โดนคุณไสยตัวแม่เสียชีวิต ตัวลูกก็จะตายตามไปด้วย แต่หากตัวลูกตาย กลับกัน ตัวแม่จะไม่เป็นอะไร ดูเหมือนว่าองค์ชายเจ็ดจะโดนคุณไสยตัวลูกครอบงำอยู่”

“คุณไสยประเภทนี้มีแต่พวกแคว้นชนชั้นบนเท่านั้นที่ใช้ พวกแคว้นชนชั้นบนกำลังเล่นงานแคว้นเจาอยู่ใช่ไหม”

“เรื่องมันยาวน่ะ” กู้เจียวตอบ

หนานเซียงไม่สนใจความขัดแย้งของราชวงศ์ ดังนั้นนางจึงไม่ซักไซ้ต่อ “คนที่วางยาองค์ชายเจ็ดคงไม่รู้ว่าเด็กอายุแปดขวบทนพิษของมันไม่ไหว”

พิษชนิดนี้โดยทั่วไปมีจุดประสงค์ในการใช้เพื่อควบคุมคน แต่หากผู้ที่ถูกควบคุมเกิดเสียชีวิตขึ้นมา ก็เท่ากับผิดวัตถุประสงค์การใช้งาน

“ท่านอาจารย์รู้หรือไม่ว่ายาถอนพิษหน้าตาเป็นเช่นไร” กู้เจียวถาม

“ข้าไม่เคยพบเห็นมันมาก่อน เจ้าอาจลองนำมันทั้งหมดกลับมาแล้วค่อยดูกันอีกที” หนานเซียงเอ่ย “อ้อ ว่าแต่ องค์ชายเจ็ดถูกพิษเป็นเวลานานแค่ไหนแล้ว”

กู้เจียวตอบ “ตั้งแต่ช่วงหัวเที่ยง”

“เขาอยู่ไม่พ้นครึ่งวันหรอก” สีหน้าของหนานเซียงนิ่งลงถนัดตา

นี่ก็ผ่านมาครึ่งวันแล้ว ต่อให้กู้เจียวติดปีกเหินฟ้าได้ก็ไม่อาจตามหายาถอนพิษได้ทันการ

หนานเซียงตริตรองอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยกับกู้เจียว “เจ้าหาคนพาข้าเข้าไปในวังที ข้าพอมีวิธีห้ามพิษในร่างกายของเขา แต่…ได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น เจ้าต้องกลับมาพร้อมกับยาถอนพิษก่อนฟ้าสางนะ”

กู้เจียวพยักหน้า “ขอบพระคุณท่านอาจารย์เป็นอย่างยิ่ง”

ทั้งท่านย่า เซียวเหิง จิ้งคงและท่านปู่เขยไม่มีใครอยู่ที่เรือนเลย เวลานี้คงมีแค่หวงฝู่เสียนคนเดียวที่ช่วยพาเข้าวังได้

กู้เจียวเดินเข้าไปปลุกหวงฝู่เสียนที่กำลังนอนเอาแรงอยู่

อาจารย์หลู่ลากตัวหนานเซียงมาที่ลานหน้าเรือน หันมองรอบทิศ ก่อนจะกระซิบกับนาง “นี่เจ้าจะเข้าไปที่วังจริงๆ รึ เจ้าลืมแล้วหรือว่าเซียวฮองเฮากับเจ้า…”

หนานเซียงโพล่งหัวเราะเอ่ย “เรื่องมันก็นานมาแล้วนะ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าองค์ชายเจ็ดเป็นเพื่อนกับจิ้งคง”

“ข้าจะลืมได้อย่างไร จิ้งคงมักพูดถึงเขาอยู่บ่อยๆ แล้วก็ยังมีคนที่ชื่อสวี่โจวโจวอีกคน”

“หากเกิดอะไรขึ้นกับองค์ชายเจ็ด จิ้งคงต้องเสียใจมากแน่ๆ ”

“ถึงจะพูดเช่นนั้นก็เถอะ แต่ข้าไม่อยากให้เจ้ากลับไปที่นั่นอีก”

หนานเซียงสัมผัสใบหน้าที่เสียโฉมของตัวเองผ่านผ้าคลุ่ม “ไม่มีใครจำข้าในสภาพนี้ได้หรอก แม้ว่าพวกเขาจะจำได้ ก็คงไม่มีใครสนใจหรอกใช่ไหม”

อาจารย์หลู่ “ข้าจะไปกับเจ้า”

หนานเซียง “ไม่ต้องหรอก รอข้าอยู่ที่นี่เถิด”

อาจารย์หลู่ “แต่ว่า…”

หนานเซียง “เชื่อฟังข้านะ”

เขายอมแต่โดยดี

กู้เจียวเข็นรถของหวงฝู่เสียนออกมา

“เจียวเจียว…” พอหนานเซียงหันกลับมาก็เจอะเข้ากับหวงฝู่เสียนในสภาพตาบวมแดงงัวเงียเพิ่งตื่นอยู่ในท่าเอนตัวพิงพนักเก้าอี้รถเข็น

หนานเซียงเบิกตากว้างด้วยความสะพรึง!

ช่างเป็นเด็กที่งดงามอะไรปานนี้!

อยากจะจับเข้ากรุให้เป็นน้องชายของกู้เสี่ยวซุ่นเสียเหลือเกิน!

“ข้าว่าข้าไปกับเจ้า…” อาจารย์หลู่เอ่ยขึ้น

แต่ยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกหนานเซียงขัดคอ “เจ้าหลีกไป”

อาจารย์หลู่ที่เพิ่งถูกเมินสดๆ ร้อนๆ “…”

หวงฝู่เสียนพาหนานเซียงเข้าวัง ส่วนกู้เจียวกระโดดขึ้นหลังม้า มุ่งหน้าไปยังแหล่งกบดานของพวกแคว้นเยี่ยนโดยมีเสี่ยวจิ่วติดตามไปด้วย

วิธีการสื่อสารของเสี่ยวจิ่วมีอยู่ว่า ระหว่างการติดตาม หากคลาดกัน เสี่ยวจิ่วจะกลับมาที่เรือนพร้อมกับเอาปีกบังหน้าแล้วทำท่าสลด

แต่ถ้าไม่คลาดกัน เสี่ยวจิ่วจะคาบกิ่งไม้ที่อยู่บริเวณเป้าหมายแล้วนำมาอวดให้ทุกคนได้เห็น!

วันนั้นเสี่ยวจิ่วคาบกิ่งไม้มาอวดวนอยู่หลายรอบ ราวกับต้องการจะสื่อว่าเขาทำงานได้ดีมาก

กู้เจียวหยิบกิ่งไม้ที่วันนั้นเสี่ยวจิ่วคาบมาติดไว้ด้วย

เสี่ยวจิ่วเห็นดังนั้นก็ตื่นเต้นจนกางปีกออกแล้วบินทะยานขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว!

กู้เจียวตามเสี่ยวจิ่วออกไปทางประตูเมือง มุ่งหน้าไปยังทิศตะวันตก

ตกกลางคืน กู้เจียวเดินทางมาถึงหมู่บ้านในหุบเขาแห่งหนึ่ง

เสี่ยวจิ่วบินวนอยู่บนท้องฟ้าครู่หนึ่ง พอเสร็จก็ลงมาเกาะที่หัวไหล่กู้เจียว

“ที่นี่ใช่ไหม” กู้เจียวถาม

เสี่ยวจิ่วกระพือปีกพร้อมกับร้องเจื้อยแจ้วภาษานก “กะต๊าก!”

กู้เจียว “นั่นมันเสียงแม่ไก่”

เสี่ยวจิ่ว “กรู้!”

กู้เจียว “นั่นมันเสียงนกพิราบ”

เสี่ยวจิ่ว “จิ๊บ!”

กู้เจียว “…”

นี่เจ้าพูดภาษานกได้เยอะขนาดนี้เชียว

กู้เจียวลองคำนวณเวลาเดินทางจากตรอกปี้สุ่ยถึงที่นี่ ใช้เวลาหนึ่งชั่วยามเต็มๆ กลางวันยังพอทำเวลาได้ พอฟ้ามืดเช่นนี้ อาจต้องเผื่อเวลาสักหน่อย

เพื่อความปลอดภัย นางควรได้ยาถอนพิษก่อนช่วงเวลาหยินหรือราวตีสาม

“ซู่วว!”

จู่ๆ เจ้าเหยี่ยวก็เกิดพองขนขึ้นกะทันหัน

กู้เจียวรับรู้ได้ถึงพลังงานบางอย่างที่แข็งแกร่ง นางเตรียมคว้าทวนพู่สีแดงไว้ แต่วินาทีต่อมา จู่ๆ เงาดำสูงตระหง่านบนหลังม้าพุ่งทะยานเข้ามาและคว้าร่างของกู้เจียวขึ้นมาในทันที!

กู้เจียว “…”

กู้เจียวถูกพาตัวมายังจุดจุดหนึ่งในป่า

ซึ่งบริเวณนั้น มีรถม้าคันหนึ่งจอดอยู่

พวงแก้มของกู้เจียวมีอาการบวมแดง ซ้ำขากรรไกรค้างเพราะถูกลมหนาวตีเข้าหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว

เวลาหลงอีอุ้มหรือดึงตัวใครขึ้นมักจะใช้วิธีที่หยาบกระด้าง ผิดกับเวลาที่เขาพาคนเดินขึ้นรถม้า ทั้งอ่อนโยนและสุภาพ

ซ้ำยังใส่ใจแม้กระทั่งช่วยกู้เจียวเก็บปอยผมจนเรียบสนิทเพื่อกันไม่ให้รั้งหัว

องค์หญิงซิ่นหยางเมียงมองเด็กสาวแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “ใครใช้ให้เจ้าตามมา”

กู้เจียวตอบอย่างแน่วแน่ “ข้าไม่ได้ตามท่านสักหน่อย”

“ยังจะปากแข็งอีกนะ” องค์หญิงเบ้ปาก

กู้เจียว “…ก็ได้ ข้าเองที่ตามท่านมา”

องค์หญิงจิบน้ำชาหนึ่งจอก ก่อนจะเอ่ยต่อ “เฮอะ เจ้าตามข้ามาได้อย่างไร”

กู้เจียว “…”

องค์หญิงรินน้ำชาให้กู้เจียว พลางถาม “เจ้ามาตามเก็บคนพวกนั้นเหมือนกันรึ ยอมแพ้ซะเถิด เจ้าทำไม่ไหวหรอก”

“เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นรึ” กู้เจียวเอ่ยพร้อมกับรับถ้วยชา

“ข้าเฝ้าสังเกตการณ์ที่นี่มาเป็นเวลาหนึ่งวันแล้ว พวกมันมีทหารหลงอิ่งตั้งร้อยนาย ยอมแพ้เถอะ”

ต่อให้หลงอีจะเก่งแค่ไหนก็คงเทียบไม่ติด จำนวนของพวกมันแทบจะใช้คำว่ากองทัพได้เลย เสียแรงเปล่าๆ

กู้เจียวร้องอ๋อหนึ่งที จากนั้นถามต่อ “มีทหารหลงอิ่งเยอะขนาดนั้นเชียวรึ”

“หลงอิ่งเป็นชื่อที่พวกเราเรียกน่ะ นามที่แท้จริงของพวกมันคือหน่วยกล้าตาย แข็งแกร่งพอๆ กับทหารหลงอิ่ง”

องค์หญิงมาที่นี่เพื่อทำลายอำนาจของพวกแคว้นเยี่ยน เพราะเกรงว่าพวกมันคิดจะใช้ประโยชน์จากเซียวเหิง แต่กลับคาดไม่ถึงว่าคนของพวกมันมีจำนวนเยอะถึงเพียงนี้

“เจ้าอย่าเพิ่งหุนหันพลันแล่นเสียก่อนล่ะ รอข้ากลับไปนำกองทัพมาเสริมก่อน” องค์หญิงกล่าว

การทำศึกต้องอาศัยกลยุทธ์ แม้พลังของทหารหลงอิ่งจะน่าสะพรึงกลัวแค่ไหน แต่หากเจอกับคู่ต่อสู้ที่มีจำนวนมากกว่า ก็น่าจะมีโอกาสชนะกับเขาบ้าง

“ไปๆ กลับๆ เช่นนี้คงได้ฟ้าสางพอดี ชีวิตขององค์ชายเจ็ดไม่อาจรอได้” กู้เจียวเอ่ย

องค์หญิงซิ่นหยางย่นคิ้ว “หมายความว่าอย่างไร เกิดอะไรขึ้นกับองค์ชายเจ็ด”

แล้วกู้เจียวก็เล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้ฟัง

ฟังจบ ความโกรธเกรี้ยวขององค์หญิงก็พลันปะทุ “ยัยฉินเฟิงเยียนนั่นสมควรตายซักพันครั้ง! ฝ่าบาทก็อีกคน! ข้าไม่อยู่แค่วันเดียว! ก็ทรงก่อเรื่องได้ถึงเพียงนี้เชียว! รู้งี้วันนั้นใช้หมอนตบให้แรงกว่านี้เสียก็ดี!”

“ข้าถ่ายเลือดของฉินเฟิงเยียนมาที่ฝ่าบาทแล้ว” กู้เจียวเอ่ย

องค์หญิงซิ่นหยาง “เจ้าทำดีมาก!”

กู้เจียว เดี๋ยวนะ พวกท่านเป็นพี่น้องกันมิใช่รึ

“ข้าไปหายาถอนพิษก่อน จะไม่ปะทะโดยตรงกับพวกมัน”

องค์หญิงนึกอะไรขึ้นได้จึงเอ่ยถาม “เหตุใดเจ้าไม่พาเจ้าเด็กชายตระกูลกู้คนนั้นมาด้วยล่ะ เขาถนัดเรื่องนี้มิใช่หรือ จะได้ปล้นของเร็วขึ้น”

กู้เจียวเอ่ยอยากมั่นใจ “ไม่เป็นไร ข้าจัดการเอง เขายังอ่อนหัดเรื่องกำลังภายใน”

กู้เจียวชั่งน้ำหนักได้ว่างานไหนควรไม่ควรพากู้เฉิงเฟิงมาด้วย ถ้าเป็นงานที่อันตราย นางเลือกจะลุยเดี่ยวเอง

“เจ้านี่นะ” องค์หญิงซิ่นหยางมองทะลุปรุโปร่งทั้งหมด ก่อนเสนอ “เจ้าอย่าไปคนเดียว พาหลงอีไปด้วย”

“พวกมันรู้วิธีจัดการกับทหารหลงอิ่ง พาหลงอีไปอาจไม่เหมาะนัก” กู้เจียวตอบ

วิธงวิธีจัดการอะไรกัน มีหรือที่องค์หญิงซิ่นหยางจะไม่รู้ว่ากู้เจียวกำลังวางแผนอะไร

กู้เจียวกังวลว่าหากเกิดอะไรขึ้นในนั้น องค์หญิงเองก็อาจพลอยได้รับอันตรายไปด้วย ดังนั้นเลยต้องการให้หลงอีเฝ้าองค์หญิงไว้

เรื่องอื่นกู้เจียวจะไม่เข้าไปยุ่ง แต่หากเป็นเรื่องที่นางต้องตัดสินใจเอง ไม่ว่าใครหน้าไหนก็มิอาจเปลี่ยนแปลงความคิดนางได้

กู้เจียวลงจากม้า สวมหน้ากาก และให้หนึ่งในองครักษ์ขององค์หญิงติดตามเข้าไปในหมู่บ้าน

องครักษ์เดินตามหลังกู้เจียว ขณะที่เดินๆ อยู่นั้น ทันใดนั้น ร่างของเขาก็ถูกดึงหายไปในพริบตา!

องครักษ์ชุดดำถูกร่างสูงกดลงกับพื้น และเสื้อผ้าของเขาก็ถูกฉีกออก!

วินาทีถัดมา หลงอีกก็ฉีกเสื้อของตัวเองออกเช่นกัน!

หลังจากนั้น

องครักษ์มองดูหลงอีด้วยความสยดสยอง ยกมือขึ้นปิดหน้าอก เขายอมตายเสียดีกว่าให้อีกฝ่ายได้ในสิ่งที่ต้องการ! ! !

จากนั้นหลงอีก็ต่อยเขาจนหมดสติ เปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยใบหน้าที่พึงพอใจ และเดินออกไปอย่างผยองเดช

ทหารหลงอิ่งอีกสี่นายเผยตัวออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ มองไปที่ลูกพี่หลงอีของพวกเขา สลับกับมองไปที่องครักษ์ที่นอนนิ่งอยู่บนพื้น และทันใดนั้นพวกเขาก็เข้าใจอะไรบางอย่าง

พวกเขาออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน แล้วจับองครักษ์ที่เหลือตรึงไว้กับพื้น จากนั้นถอดเสื้อผ้าของเขาออกอย่างบ้าบิ่น!

จากนั้นทั้งสี่คนก็สวมเสื้อผ้า และเดินตามลูกพี่ของพวกเขาด้วยความภาคภูมิใจ!

กู้เจียวเอาตัวเข้าไปในรั้วหมู่บ้านได้สำเร็จ

จากนั้นให้สัญญาณไปยังหลังกำแพง

ปลอดภัยแล้ว เข้ามาได้

แล้วกู้เจียวก็ได้เจอกับ

องครักษ์คนที่หนึ่ง

คนที่สอง สาม

สี่ และ ห้า

ทหารหลงอิ่งห้านายยืนเรียงกันอย่างพร้อมเพรียงโดยมีหลงอีเป็นแกนนำ

กู้เจียว “…”

—————————