บทที่ 583 หลงอีผู้คาดเดาได้ยาก

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 583 หลงอีผู้คาดเดาได้ยาก

ช่วงบ่าย

หวงฝู่เสียนพาหนานเซียงเข้าไปในวัง

หนานเซียงเอาแต่ส่งสายตาหวานเยิ้มให้หวงฝู่เสียนตลอดทาง เล่นเอาเขาเหนื่อยหน่ายจนกลอกตาขาวไปมา

“เจ้ากอดอะไรไว้อยู่รึ ข้าขอดูได้หรือไม่” พอลงจากรถม้า ขณะที่หนานเซียงกำลังเข็นรถให้เขา ก็เหลือบมองไปยังหีบห่อที่หวงฝู่เสียนกอดไว้ในอ้อมอก

เขาเอาแต่กอดสิ่งนี้ไว้ตั้งแต่ตอนที่ออกมาจากห้อง และแทบไม่วางมันลงเลย ไม่รู้ว่าในนั้นมีอะไร

“ไม่ให้เจ้าดูหรอก” หวงฝู่เสียนเอ่ยอย่างเย่อหยิ่ง

กู้เจียวบอกเขาว่าสิ่งนี้จะสามารถทำให้เขาเดินได้อีกครั้ง ตอนนี้แผลของเขายังไม่หายดี ก็เลยยังใส่มันไม่ได้ แต่เขาตั้งใจว่าจะทำความคุ้นเคยกับเจ้าสิ่งนี้ไปพลางๆ ก่อน

หนานเซียงหัวเราะด้วยความเอ็นดู พลางนึกว่าเด็กคนนี้ช่างน่ารักอะไรปานนี้ ขนาดตอนโกรธยังน่ารักเลย!

ทั้งสองมาถึงที่ตำหนักคุนหนิง หวงฝู่เสียนวานให้คนไปแจ้งข่าวกับฮองเฮาว่ามีหมอเข้ามารักษาอาการของฉินฉู่อวี้

เซียวฮองเฮากุลีกุจอรีบให้พวกเขาเข้าไปข้างใน

หลังจากที่ฮองเฮารู้เรื่องที่หวงฝู่เสียนช่วยพระโอรสของนางไว้ก็เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อหวงฝู่เสียนไป

“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ไหนว่ารักษาตัวอยู่ที่ตรอกปี้สุ่ยมิใช่รึ เหตุใดถึงเข้าวังได้ล่ะ” แม้เวลานี้สภาพของนางแทบไม่เหลือชิ้นดี แต่ก็ไม่ลืมที่จะแสดงความเป็นห่วงเป็นใยต่อเขา

“กระหม่อมไม่เป็นอะไรขอรับ วันนี้ กระหม่อมพาหมอผู้หนึ่งมา นางเป็นแม่บุญธรรมของน้องชายของท่านหมอกู้ นางจะเข้ามาช่วยดูอาการขององค์ชายเจ็ดขอรับ”

แม่บุญธรรมของน้องชายของกู้เจียว ช่างเป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนยิ่ง

แต่ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ เซียวฮองเฮาไม่มีเรี่ยวแรงที่จะสนใจความสัมพันธ์ของชาวบ้าน ในเมื่อนางเป็นคนที่กู้เจียวแนะนำมา เช่นนั้นย่อมเชื่อถือได้

เซียวเหิงกลับไปประจำการที่กรมยุติธรรมแล้ว จึงเหลือแค่เซียวฮองเฮาและซูกงกงที่อยู่เฝ้า

“ท่านหมอหนาน ท่านสามารถรักษาพระโอรสของข้าได้หรือไม่” เซียวฮองเฮาจ้องมองไปที่หนานเซียงอย่างมีความหวัง

หนานเซียงส่ายศีรษะ “หม่อมฉันมิอาจรักษาให้หายได้ เพียงแต่สามารถหยุดยั้งพิษในร่างกายเขาได้ชั่วคราว ต้องรอยาถอนพิษจากเจียวเจียวจึงจะสามารถรักษาได้”

เซียวฮองเฮาถึงกับผงะหลังจากที่ได้ยิน “ยาพิษรึ องค์ชายเจ็ดโดนยาพิษอย่างนั้นรึ”

ก่อนหน้าตอนที่กู้เจียวขอตัวออกมา นางแค่บอกกับเว่ยกงกงว่าจะไปเอายามาให้

หนานเซียงนิ่งอึ้งอยู่พักใหญ่ ด้วยความที่พวกเขาต้องทำเวลา จึงไม่ได้นัดแนะกัน แต่ไหนๆ ก็พูดออกไปแล้ว เอากลับคืนก็คงไม่ได้

นางจึงทำได้แค่เอ่ยความจริงออกไป “ใช่แล้วเจ้าค่ะ เป็นยาพิษชนิดรุนแรง แต่ไทเฮาทรงอย่าได้กังวลไป เจียวเจียวกำลังไปหาตัวยามาให้เจ้าค่ะ”

เซียวฮองเฮาเริ่มวิตก “แล้ว แล้วถ้าหาไม่เจอล่ะ…”

หนานเซียงสูดปากยาว ก่อนจะตอบกลับช้าๆ “หากนางนำกลับมาก่อนฟ้าสาง ก็อาจช่วยองค์ชายเจ็ดได้ทันการเจ้าค่ะ”

“เจ้าหมายความว่า…องค์ชายเจ็ดอยู่ได้ถึงแค่ตอนฟ้าสางของวันรุ่งขึ้นอย่างนั้นรึ” เซียวฮองเฮาแทบจะล้มทั้งยืน ราวกับทั้งผืนฟ้าแผ่นดินกำลังล่มสลายตรงหน้านางในตอนนี้

ซูกงกงช่วยพยุงร่างฮองเฮาไว้ได้ทันการ

หนานเซียงเดินมาที่ข้างเตียง แล้วคว้าขวดยาขึ้นมา ดึงจุกออก หยิบยาเม็ดหนึ่งแล้วสอดไว้ใต้ลิ้นของฉินฉู่อวี้

อันที่จริงยาเม็ดนี้ก็จัดอยู่ในหมวดยาพิษเช่นกัน

เป็นวิธีใช้พิษเพื่อล้างพิษในร่างกายออก

แต่ต้องระวังปริมาณในการใช้ หากน้อยไปก็ไม่อาจเกิดผล แต่ถ้าใช้มากไป

อาจทำให้ฉินฉู่อวี้ได้รับพิษเกินขนานและถึงแก่ความตาย

ดังนั้นต้องคอยเฝ้าสังเกตอาการอยู่ตลอด

“ฝ่าบาททรงอย่าเพิ่งท้อนะขอรับ หากท่านหมดกำลังใจ แล้วองค์ชายเจ็ดจะเป็นอย่างไรขอรับ” ซูกงกงพยายามโน้มน้าว

เซียวฮองเฮาพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อที่จะยืนหยัดต่อ ทรงเช็ดน้ำตาออกจนหมดจากพระพักตร์ หลับตาลง แล้วหันไปบอกกับซูกงกง “เจ้าไปเตรียมห้องให้เสียนเอ๋อร์พักผ่อน”

“ขอรับ” จากนั้นซูกงกงก็เข็นรถเข็นของหวงฝู่เสียนออกไป

หลังจากที่สงบสติอารมณ์ได้แล้ว เซียวฮองเฮาก็เดินมาที่ข้างเตียง

โดยมีหนานเซียงนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

ที่นั่งของเซียวฮองเฮาอยู่สูงกว่าหนานเซียงเล็กน้อย

อาจเป็นเพราะอารมณ์ที่เริ่มนิ่งลง เซียวฮองเฮาจึงมีเวลาเพ่งพินิจรูปลักษณ์ของหนานเซียง

หนานเซียงสวมผ้าคลุมหน้าไว้เลยทำให้เห็นได้ไม่ชัดนัก แต่จากมุมที่พระองค์นั่งอยู่จึงเหลือบไปเห็นรอยแผลภายใต้ผ้าคลุมหน้า

จากนั้นก็ทรงเบือนสายตาออก

แต่ไม่นานก็หันกลับมาสนใจใบหน้าของสตรีตรงหน้านี้อีกครั้ง

คราวนี้ จุดสนใจอยู่ที่ดวงตาคู่นั้นของหนานเซียง

ทรงอดคิดไม่ได้ว่าราวกับเคยเห็นดวงตาคู่นี้มาก่อน

ทันใดนั้น เสียงร้องในลำคอที่ดังขึ้นอย่างทรมานของฉินฉู่อวี้ก็ดึงความคิดของฮองเฮาให้หยุดลง

เซียวฮองเฮารีบสังเกตอาการของพระโอรส ส่วนหนานเซียงลุกขึ้นยืน จากนั้นพยุงร่างของฉินฉู่อวี้ให้ลุกขึ้น

วินาทีถัดมา ฉินฉู่อวี้เกิดอาเจียนออกมาเป็นเลือดสีดำ

เซียวฮองเฮาผงะพร้อมกับตะโกนร้อง “องค์ชายเจ็ด!”

หนานเซียงคอยลูบหลังให้เขา ก่อนจะเอนร่างของเขาให้นอนราบลงไป จากนั้นก็หยิบยาสอดไว้ใต้ลิ้นอีกครั้ง

เซียวฮองเฮาแสดงสีหน้ากังวล “ท่านหมอหนาน เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นรึ”

“พิษในร่างกายขององค์ชายเจ็ดเริ่มออกฤทธิ์แล้วเจ้าค่ะ” หนานเซียงเอ่ยพร้อมกับมองไปยังผืนฟ้าที่เริ่มมืดลง “หวังว่าเจียวเจียวจะหายาได้ทันการนะ”

บริเวณกำแพงหมู่บ้าน กู้เจียวยืนมององครักษ์หลงอิ่งห้าคนที่ยืนเรียงกันอย่างหมดคำจะพูด

นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่

จะให้พวกเขาย้อนกลับไปตอนนี้ก็คงไม่ทันการ

ช่างปะไร รีบหายาก่อนดีกว่า

ตอนที่เห็นหมู่บ้านนี้จากระยะไกลกู้เจียวนึกว่าคงไม่ใหญ่มาก แต่พอได้มาเห็นกับตาใกล้ๆ ก็พบว่าข้างในยังมีถ้ำซ่อนอยู่ และขนาดของมันใหญ่พอที่จะให้องครักษ์หลงอิ่งจำนวนมากพำนัก

สถานที่ใหญ่โตแบบนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกซ่อนจากโลกภายนอกได้อย่างแยบยล

หลังจากที่กู้เจียวเดินสำรวจรอบๆ ก็เริ่มจะเข้าใจแล้วว่าเหตุสถานที่นี้ถึงยากที่จะเข้าถึง นั่นเป็นเพราะที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นบนสุสาน มีเนินฝังศพขนาดใหญ่ และดูเหมือนว่ามันถูกทิ้งร้างเป็นเวลานาน

พวกแคว้นเยี่ยนระแวดระวังเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะอาศัยอยู่ในที่ที่แร้นแค้นเช่นนี้ แต่ดูเหมือนพวกเขาพร้อมที่จะออกศึกอยู่ตลอดเวลา พอถึงเวลาเที่ยงคืน จะมีกลุ่มทหารเฝ้ายามคอยตรวจลาดตระเวนรอบๆ พื้นที่

กู้เจียวพยายามไม่ปะทะกับพวกเขา และหาที่กำบังอย่างระมัดระวัง

ในหมูบ้านมีจวนใหญ่อยู่ราวๆ สามหลัง จวนขนาดเล็กอีกเจ็ดแปดหลัง จวนขนาดเล็กเป็นที่พำนักของบ่าวของพวกองครักษ์หลงอิ่ง ดังนั้นเป้าหมายของกู้เจียวคือจวนใหญ่

กู้เจียว หลงอี และพรรคพวกบุกเข้าจากฝั่งตะวันออกของจวน

กู้เจียวรับหน้าที่ตามหา ส่วนหลงอีและพรรคพวกมีหน้าที่คุ้มกัน

จะว่าไป ก็ต้องยกความดีความชอบให้กับหลงอีและผองเพื่อนที่ทำให้นางได้เข้ามาโลดแล่นในรังของพวกแคว้นเยี่ยนได้อย่างอิสระ

พวกเขาคอยใช้เสียงหายใจของพวกเขากลบเสียงของนาง นอกจากนี้ ที่พวกเขาถูกจับไม่ได้นั่นก็เพราะลักษณะท่าทางของพวกเขานั้นคล้ายกันกับหน่วยกล้าตายอย่างมาก จึงไม่มีใครสงสัย

ขนาดตอนทหารลาดตระเวนเข้ามาตรวจยังนึกเลยว่าเป็นพวกเดียวกัน ก็เลยไม่เข้ามาตรวจ

กู้เจียวไม่พบอะไรที่นี่

นางหันไปส่ายศีรษะให้หลงอี ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังฝั่งตะวันตก

คราวนี้ กู้เจียวมาเจอกับห้องที่มี…ทหารของแคว้นเยี่ยนยศอะไรสักอย่างอยู่ด้านใน นางไม่รู้ว่าจะต้องเรียกอีกฝ่ายว่าอะไร

แปลกจริง พาคนเก่งๆ ขนกันมาตั้งมากมายก็เพื่อต่อกรกับบุตรชายของบ่าวเนี่ยนะ

“ครั้งนี้พวกเราประมาทกันเกินไป”

เสียงของบุรุษดังออกมาจากในห้อง เขาพูดภาษาท้องถิ่นของแคว้นเจา แต่พอฟังอีกที สำเนียงของเขาไม่ถูกต้องนัก นี่มันภาษาของแคว้นเยี่ยนชัดๆ !

หลังจากที่เริ่มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ประสาทสัมผัสทั้งห้าของกู้เจียวก็กลับมาดีขึ้นมากเช่นกัน

กู้เจียวดักฟังจากห้องข้างๆ แม้จะอยู่ในสภาพที่ต้องใช้สมาธิขั้นสูงในการไม่ให้ถูกจับได้ กระนั้นหูของนางก็ยังคงได้ยินบทสนทนาของอีกฝ่าย

กู้เจียวกลั้นหายใจอย่างสุดแรง พร้อมกับฟังเสียงของพวกเขา “ฉินเฟิงเยียนใจร้อนเกินเหตุแท้ๆ หากนางเชื่อฟังพวกเราแต่แรก ตัวตนของนางก็คงไม่ถูกเปิดเผยได้เร็วขนาดนี้”

จากนั้นคนอื่นๆ ในห้องก็เอ่ยอะไรบางอย่างขึ้น แต่น่าเสียดายที่เสียงเบาเกินไป กู้เจียวแทบจะไม่ได้ยิน

แต่กู้เจียวพอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายกำลังเอ่ยบางอย่าง คับคล้ายคับคลาว่า “เจ้าประเมินนางสูงเกินไป” เพราะนางได้ยินคำตอบของอีกคนที่เอ่ยว่า “พวกเราเองก็เคยได้รับบทเรียนมาแล้วมิใช่รึ ใครจะไปนึกละว่าหากเทียบกับมารดาของนางแล้ว นางมักจะก้าวพลาดไปนิดเดียวเสมอ”

บทสนทนาของพวกเขามีทั้งภาษาแคว้นเจาและแคว้นเยี่ยนสลับปะปนกันไป พอพวกเขาพูดภาษาแคว้นเจาเสียงก็ดันเบาเกินจนยากที่จะได้ พอเป็นภาษาแคว้นเยี่ยนกู้เจียวก็ฟังไม่เข้าใจอีก จนกู้เจียวอดนึกเสียดายไม่ได้ที่ไม่เรียนรู้ภาษาให้เยอะกว่านี้

แต่มีประโยคนึงที่กู้เจียวฟังเข้าใจ “ขอบพระคุณท่านนายพลหนานกงเป็นอย่างยิ่งขอรับ”

ทหารที่อยู่ในห้องคนนั้นเป็นระดับนายพลหรอกรึ

สิ้นประโยคเมื่อครู่ คนในห้องก็ออกมาทีละคน ทั้งสองคนถูกล้อมรอบคุ้มกันด้วยกลุ่มองครักษ์หลงอิ่ง และเป็นการยากที่จะเห็นใบหน้าของพวกเขาอย่างชัดเจน

คนหนึ่งออกจากหมู่บ้าน ส่วนอีกคนมุ่งหน้าไปยังจวนใหญ่

ดูเหมือนคนที่ไปจวนใหญ่คือคนที่เป็นนายพล

เขาเริ่มพูดอะไรบางอย่างกับลูกน้องของเขาเป็นภาษาเยี่ยน กู้เจียวฟังไม่ออก แต่ดูเหมือนหลงอีจะฟังเข้าใจ จากนั้นเขาก็คว้าตัวกู้เจียวแล้วมุ่งหน้าไปยังด้านหลังของจวน!

บริเวณหลังจวนใหญ่ มีจวนเล็กๆ ซ่อนอยู่

บริเวณนี้ไม่มีใครคอยคุ้มกัน

ทุกที่ในหมู่บ้านแห่งนี้ต่างก็มีทหารคอยเฝ้ายาม ยกเว้นที่นี่ที่เดียว

คิดได้สองแง่ หนึ่งคือที่นี่ไม่มีอะไรให้คุ้มกัน สองคือที่นี่น่ากลัวและอันตรายพอที่จะไม่ต้องให้คนมาคอยคุ้มกัน

กู้เจียวเอนเอียงไปทางตัวเลือกที่สอง

หลงอีอาสานำสำรวจพื้นที่ ทันทีที่เขาก้าวเท้าไปข้างหน้า ทันใดนั้น ปรากฏลูกธนูพุ่งมาอย่างรวดเร็ว!

หลงอีรีบคว้ามันและก้าวถอยหลังอย่างทันท่วงที พร้อมกับยืนคุ้มกันให้กู้เจียว

นางไม่เป็นอะไร

กู้เจียวพยายามสอดส่องไปรอบๆ ก่อนจะหันมาสังเกตรูปแบบการวางก้อนหินบนพื้น และเริ่มมองออก

“นี่มัน กระบวนพยุหะแปดทิศนี่นา” กู้เจียวค่อยๆ เลิกมุมปากขึ้น

วิชาแรกที่อาจารย์ของนางในชาติก่อนได้สอนไว้ก็คือกระบวนกลยุทธ์พวกนี้

พออ่านทุกอย่างออก กู้เจียวก็อาสาเดินนำราวกับคุ้นเคยเป็นอย่างดี

หลังจากที่ผ่านด่านมาได้ กู้เจียวกะว่าจะหันไปบอกกับพวกหลงอีให้เดินตามทางที่นางเดินไว้

แต่พอหันไปดูด้านหลัง ก็พบว่า พวกเขาหายไปแล้ว!

แล้วพอกู้เจียวหันกลับมาอีกที ก็เจอพวกเขายืนเรียงพร้อมกันห้าคน!

กู้เจียวนึกในใจ …ลืมไปเลยว่าพวกเขาเป็นองครักษ์หลงอิ่ง ใช้วิชาตัวเบาได้

เดี๋ยวนะ ถ้ากับดักพวกนี้ไม่สามารถหยุดยั้งองครักษ์หลงอิ่งได้ แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ

หรือมันมีไว้ป้องกันคนธรรมดาทั่วไปเข้ามาบุกรุกอย่างนั้นรึ

กู้เจียวเริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล

ในตอนนั้นเอง ตัวอะไรบางอย่างที่มีขนาดเล็กราวกับจุดสีดำบินลอยออกมาจากในห้อง พุ่งตรงไปที่คอและหลังมือของพวกเขา

มันคือแมลง

กู้เจียวตบแมลงที่อยู่บนมือ

กู้เจียวยังคงไม่เป็นอะไร แต่วินาทีต่อมา ลูกน้องของหลงอีทั้งสี่คนกลับถูกแมลงกัดและเกิดเซหน้าคว่ำล้มลงไปกับพื้น

ทันใดนั้น กู้เจียวก็ฉุกคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องทรงงานของฝ่าบาท เพียงแค่ฉินเฟิงเยียนโบกมือแวบเดียวก็สามารถล้มองครักษ์หลงอิ่งของฝ่าบาทได้

หรือว่าในตอนนั้น นางจะใช้แมลงพวกนี้

แมลงพวกนี้คือศัตรูขององครักษ์หลงอิ่งอย่างนั้นรึ

กู้เจียวรีบหันไปหาหลงอี!

เนื้อตัวของเขาเต็มไปด้วยฝูงแมลง!

หลงอีหันมาทางกู้เจียว สลับกับมองลูกน้องที่นอนสลบบนพื้นด้วยสีหน้ามึนงง

ต่อมาร่างของหลงอีก็ล้มลงในท่วงท่าเดียวกันกับลูกน้องของเขา

กู้เจียว “…”

กู้เจียวช่วยพยุง “หลงอี เจ้าไม่เป็นไรนะ”

หัวและร่างของหลงอีไม่ขยับ แต่มือของเขากลับดึงหญ้าออกมาหนึ่งกำมือแล้วนำมาวางไว้บนหัวของเขา

ราวกับต้องการสื่อว่า

ข้าตายแล้ว อย่าลืมเผากระดาษให้ด้วยล่ะ

กู้เจียว “…”