ตอนที่ 708 กล่าววาจาสามหาว

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 708 กล่าววาจาสามหาว

ตอนที่รู้เรื่องนี้ไป๋ชิงเหยียนโมโหมาก หญิงสาวนึกถึงปีที่เจียวโจวเกิดโรคระบาดขึ้น

ตอนที่เกิดโรคระบาดขึ้นที่เจียวโจว ฮ่องเต้สั่งให้ปิดเมืองก่อนเป็นลำดับแรก เมื่อเห็นว่าเริ่มควบคุมโรคระบาดไม่ได้ เหล่าขุนนางที่มีชีวิตอยู่ด้วยภาษีของชาวบ้านจึงเสนอความคิดให้สังหารชาวบ้านเจียวโจวที่ติดเชื้อให้หมดเพื่อตัดปัญหาโรคระบาดเช่นเดียวกัน

หากไม่ใช่เพราะท่านอาไป๋ซู่ชิวของนางทนไม่ไหว เสนอตัวเดินทางไปยังเจียวโจว อีกทั้งมีท่านพ่อเป็นคนพากองทัพไป๋คุ้มกันท่านอาไปส่งที่เจียวโจว ชาวบ้านของเจียวโจวคงโดนสังหารจนหมดสิ้นไม่มีเหลือแล้ว

ต่อมาชาวบ้านเมืองเจียวโจวได้รับการรักษาจนรอดชีวิต ทว่า ท่านอาของนางกลับไม่มีโอกาสกลับออกมาจากเจียวโจวอีก

ไป๋ชิงเหยียนหลับตาลง ได้แต่หวังว่าท่านหมอหงจะคิดยามารักษาชาวบ้านที่ติดเชื้อได้ในเร็ววัน

“วันนี้คือวันไหว้บรรพบุรุษ ท่านแม่และท่านอาสะใภ้กลับมาแล้วหรือไม่” ไป๋ชิงเหยียนถาม

“เรียนคุณหนูใหญ่ ยังไม่กลับมาเลยเจ้าค่ะ”

ไป๋ชิงเหยียนอ้างกับคนภายนอกว่าป่วยหนัก ไม่พบแขกคนใดทั้งสิ้น ในเมื่อหญิงสาวป่วยหนัก หญิงสาวจึงไม่อาจเดินทางไปไหว้บรรพบุรุษกับทุกคนได้

พิธีไหว้บรรพบุรุษค่อนข้างซับซ้อนและยุ่งยาก เมื่อท่านแม่และบรรดาท่านอาสะใภ้กลับมาคงเหน็ดเหนื่อยกันมาก

“ให้โรงครัวเตรียมอาหารไว้ให้พร้อม เมื่อท่านแม่ ท่านอาสะใภ้และน้องๆ กลับมาจะได้รับประทานทันที” ไป๋ชิงเหยียนปิดตำราในมือ จากนั้นยกถ้วยยาขึ้นดื่มรวดเดียว

ชุนเถารับถ้วยยามาจากไป๋ชิงเหยียนพลางกล่าวยิ้มๆ “คุณหนูใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ โรงครัวเตรียมพร้อมไว้แล้วเจ้าค่ะ”

“ท่านผู้เฒ่าหมิ่นเซียนเซิงพักอยู่ที่จวนไป๋ วันนี้วันปีใหม่เล็ก ให้โรงครัวทำอาหารของแคว้นเว่ยไปให้ท่านผู้เฒ่าหมิ่นเซียนเซิงและลูกศิษย์ของท่านด้วย รบกวนถงหมัวมัวไปขอขมาท่านผู้เฒ่าหมิ่นเซียนเซิงแทนข้าด้วยตัวเองที ท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านอาและบรรดาน้องชายเพิ่งจากไปเพียงหนึ่งปี จวนไป๋ยังไม่ได้ออกจากช่วงไว้ทุกข์จึงไม่อาจจัดงานเลี้ยงได้ ข้าร่างกายไม่แข็งแรงจึงไม่อาจไปต้อนรับท่านได้ด้วยตัวเอง ลำบากท่านผู้เฒ่าหมิ่นเซียนเซิงแล้ว”

“เจ้าค่ะ บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” ถงหมัวมัวกล่าวยิ้มๆ

บัดนี้ท่านปู่ ท่านพ่อ บรรดาท่านอาและน้องชายจากไปครบหนึ่งปีแล้ว ท่านแม่สั่งตัดเครื่องแต่งกายที่มีสีสันให้คนในจวนไป๋ จวนไป๋จะได้ดูมีสีสันขึ้นมามากกว่าเดิม เรื่องนี้ผ่านมาปีหนึ่งแล้ว คนที่มีชีวิตอยู่ควรเดินต่อไปข้างหน้า

ท่านแม่ทราบว่าอาอวี๋ยังมีชีวิตอยู่ ท่านอาสะใภ้สี่ทราบว่าอาเจวี๋ยยังมีชีวิตอยู่ ในชีวิตนี้พวกนางขอแค่ลูกๆ ของตัวเองมีชีวิตอยู่อย่างแข็งแรงและปลอดภัย ได้มีโอกาสพบหน้ากันอีกสักครั้ง พวกนางไม่ขอสิ่งใดมากไปกว่านี้อีกแล้ว

ไป๋ชิงเหยียนเพิ่งกลั้วคอด้วยน้ำผึ้งเสร็จ ไป๋จิ่นเจาและไป๋จิ่นหวาที่กลับมาจากพิธีไหว้บรรพบุรุษก็เดินเข้ามาในเรือนเหมยเซียง พวกนางวิ่งไปยังระเบียงทางเดิน ใช้มือปัดเศษหิมะที่ติดอยู่ตามร่างกายออก

“ตายแล้วคุณหนูห้า คุณหนูหกของบ่าว!” ถงหมัวมัวรีบวางงานในมือลง จากนั้นเดินออกมาจากห้องทำความอุ่นด้านใน เอื้อมมือช่วยปัดเศษหิมะที่ติดตามร่างกายของเด็กสาวทั้งสองออก “เหตุใดไม่มีสาวใช้ตามมาด้วยเจ้าคะ ร่มก็ไม่กาง!”

“มิเป็นอันใดหมัวมัว เมื่อพวกข้ากลับมาถึงก็ไปที่เรือนปัวอวิ๋นทันที ได้ยินว่าพี่หญิงใหญ่มาชมความงามของดอกเหมยที่เรือนเหมยเซียง หมัวมัวและสาวใช้ข้างกายของพวกข้าชักช้า พวกข้าจึงวิ่งนำมาก่อน…” ไป๋จิ่นเจาปัดผมหน้าม้าของตัวเองพลางแหวกม่านเข้าไปในห้องยิ้มๆ

ไป๋จิ่นหวาเดินตามหลังไป๋จิ่นเจาเข้ามาด้านในเช่นเดียวกัน ทั้งสองมองผ่านฉากกั้นไม้หนานมู่ฝังหยกลายนกเข้าไปด้านในแวบหนึ่ง สองสาวน้อยตะโกนเรียกพี่หญิงใหญ่เสียงดัง จากนั้นหยุดยืนขับไล่ไอเย็นอยู่หน้าเตาผิง กลัวว่าไอเย็นบนร่างของตัวเองจะแผ่ไปถึงพี่หญิงใหญ่ แม้อาการทนความหนาวไม่ได้ของพี่หญิงใหญ่จะดีขึ้นแล้ว ทว่า พวกนางไม่เคยแก้ความความชินนี้

ไป๋ชิงเหยียนหันไปสั่งชุนเถายิ้มๆ “ไปนำของว่างและนมหมักมาให้เสี่ยวอู่และเสี่ยวลิ่วทานรองท้องที”

ชุนเถารับคำพลางเดินออกไปจากห้อง นางเห็นถงหมัวมัวเดินนำสาวใช้ที่ถืออุปกรณ์ล้างมือเข้ามาด้านใน

ไป๋จิ่นเจาและไป๋จิ่นหวาล้างมือในน้ำอุ่นจนสะอาด เมื่อผิงไฟจนร่างกายอุ่นแล้ว พวกนางจึงเดินเข้าไปด้านในฉากกั้น คนหนึ่งนั่งลงบนเก้าอี้ยาว อีกคนนั่งลงบนเก้าอี้กลมที่สาวใช้ย้ายมาวางให้ ทั้งสองเล่าเรื่องพิธีไหว้บรรพบุรุษในวันนี้ให้ไป๋ชิงเหยียนฟังด้วยรอยยิ้ม

“พี่หญิงทราบหรือไม่เจ้าคะ ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ ป้าสะใภ้สามและท่านอาสะใภ้ห้าเก่งมากเลยเจ้าค่ะ…”

ไป๋จิ่นหวาเตรียมเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ไป๋ชิงเหยียนฟังอย่างตื่นเต้น ทว่า ถูกไป๋จิ่นเจาขัดไว้เสียก่อน “ไม่ต้องเอาเรื่องของตระกูลบรรพบุรุษไป๋เหล่านั้นมาเล่าให้พี่หญิงหงุดหงิดใจ ท่านป้าสะใภ้และท่านอาสะใภ้จัดการเรียบร้อยแล้ว เจ้ากล่าวเช่นนี้มีแต่จะทำให้พี่หญิงใหญ่โมโหเสียเปล่าๆ”

ไป๋จิ่นเจาเห็นว่าพี่หญิงใหญ่ยังไม่หายดี สาวน้อยกลัวว่าเรื่องนี้จะทำให้พี่หญิงใหญ่โมโห

“มิเป็นอันใด ให้เสี่ยวลิ่วเล่ามาเถิด…” ไป๋ชิงเหยียนมองไปทางไป๋จิ่นหวายิ้มๆ

เมื่อได้ยินคำกล่าวของไป๋ชิงเหยียน ไป๋จิ่นหวาเริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ให้พี่หญิงใหญ่ฟังอย่างอดใจไม่ไหว

งานไหว้บรรพบุรุษในวันนี้เป็นดังที่ไป๋ชิงเหยียนคาดการณ์ไว้ คนในตระกูลบรรพบุรุษไป๋บางส่วนเริ่มอดทนไม่ไหว อาศัยว่าตัวเองเป็นผู้อาวุโสของตระกูลจึงคิดทวงขอผลประโยชน์จากจวนไป๋

คนในตระกูลบรรพบุรุษไป๋ปรึกษาเรื่องนี้กันตั้งแต่เช้าของเมื่อวานแล้ว พวกเขาให้คนนำรายชื่อแผนหนึ่งมามอบให้ท่านแม่และบรรดาท่านอาสะใภ้ ในกระดาษเต็มไปด้วยรายชื่อของทายาทของตระกูลบรรพบุรุษไป๋ พวกเขาให้ไป๋ชิงเหยียนมอบรายชื่อแผนที่ให้องค์รัชทายาท ทูลขอให้องค์รัชทายาทใช้งานคนเหล่านี้ ตระกูลไป๋จะได้เจริญรุ่งเรืองสืบไป

ไป๋ฉีเหอคือประมุขของตระกูลไป๋ เดิมทีเรื่องนี้ควรเป็นหน้าที่ของเขา ทว่า คนในตระกูลบรรพบุรุษกลับแอบตกลงเรื่องนี้ลับหลังเขาและมอบมันให้ต่งซื่อโดยไม่ผ่านเขา อ้างว่าตอนนี้ในราชสำนักไม่มีคนของตระกูลไป๋อยู่ แม้ไป๋จิ่นจื้อจะเก่งกาจเรื่องการรบ ทว่า นางเป็นเพียงสตรีไม่อาจทำให้ตระกูลไป๋รุ่งเรืองสืบต่อไปได้

ครั้งนี้บรรพบุรุษตระกูลไป๋เริ่มฉลาดขึ้น พวกเขากล่าววาจาอย่างสงวนท่าทีและนอบน้อมกว่าเมื่อก่อนมาก ทว่า ความหมายเป็นนัยๆ ก็คือไป๋ชิงเหยียนได้รับบาดเจ็บหนัก ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานเท่าใด หญิงสาวควรขอให้องค์รัชทายาทสนับสนุนทายาทของตระกูลบรรพบุรุษไป๋เพื่อตอบแทนบุญคุณที่นางเคยช่วยชีวิตองค์รัชทายาทไว้ในตอนที่นางยังมีชีวิตอยู่ ขอเพียงนางเอ่ยปาก องค์รัชทายาทย่อมใช้งานคนของตระกูลไป๋แน่นอน ถึงเวลานั้นเมื่อราชสำนักมีคนของตระกูลไป๋อยู่ ตระกูลไป๋ไม่มีทางเสื่อมบารมีแน่นอน

ต่งซื่อโมโหจนแทบระเบิดออกมา ฮูหยินห้าฉีซื่อฉีกกระดาษรายชื่อแผนนั้นออกเป็นชิ้นๆ ทันที ฮูหยินสามหลี่ซื่อตะโกนด่าตระกูลบรรพบุรุษเสียงดังลั่น ไป๋ชิงเหยียนได้รับบาดเจ็บหนัก แม้แต่คนนอกที่ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับตระกูลไป๋ยังส่งของบำรุงมาให้เรื่อยๆ ต่างภาวนาให้ไป๋ชิงเหยียนแข็งแรงกลับมาเป็นปกติในเร็ววัน ทว่า คนตระกูลบรรพบุรุษไป๋กลับเอาแต่คิดจะกอบโกยผลประโยชน์จากไป๋ชิงเหยียนให้ได้มากที่สุดก่อนที่นางจะจบชีวิตลง

ใบหน้าของประมุขไป๋ไป๋ฉีเหอเขียวปัด รีบขอขมาบรรดาฮูหยินตระกูลไป๋แทนตระกูลบรรพบุรุษไป๋ กล่าวว่าต่อไปจะควบคุมคนเหล่านี้อย่างเข้มงวด

คราวนี้ผู้อาวุโสส่วนหนึ่งของตระกูลไป๋ไม่ยอมแพ้ กล่าวว่าทุกคนเป็นคนในตระกูลเดียวกัน หลายปีมานี้ตระกูลไป๋อยู่ที่เมืองหลวง ตระกูลบรรพบุรุษไป๋ที่อยู่ในซั่วหยางก็พยายามทำสุดความสามารถเพื่อตระกูลไป๋เช่นเดียวกัน บัดนี้ราชสำนักไม่มีคนของตระกูลไป๋อยู่ ไป๋ชิงเหยียนคือหลานสาวของตระกูลไป๋ นางควรทำเพื่ออนาคตของตระกูล ควรผลักดันให้ทายาทรุ่นหลังของตระกูลได้เข้าไปรับใช้ในราชสำนักถึงจะถูก

ฮูหยินห้าฉีซื่อแสยะยิ้มเย็น นางกล่าวว่าเกียรติยศและความรุ่งเรืองของตระกูลไป๋ได้มาจากการสละชีพของบุรุษตระกูลไป๋ หากทายาทตระกูลไป๋ต้องการทำให้ตระกูลไป๋เจริญรุ่งเรืองต่อไป พวกเขาควรทำความดีสร้างผลงาน ควรเข้าร่วมกองทัพ สละชีพของตัวเองบ้านเมืองเหมือนที่บุรุษตระกูลไป๋เคยทำ ทว่า พวกเขากลับแค่อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในราชสำนัก ให้ไป๋ชิงเหยียนแบกหน้าไปทวงบุญคุณจากองค์รัชทายาท ช่างกล้ากล่าวเช่นนี้ออกมาได้อย่างไรกัน!

ฮูหยินสามหลี่ซื่อเป็นคนปากกล้า นางกล่าวขึ้น “หากความเจริญรุ่งเรืองของตระกูลไป๋ต้องอาศัยการที่หลานสาวคนโตของตระกูลไป๋ไปทวงบุญคุณจากผู้นี้เพื่อให้ได้มา เช่นนั้นตระกูลไป๋ก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใดแล้ว”

ตระกูลบรรพบุรุษไป๋อึ้งไปครู่ใหญ่ จากนั้นพากันชี้หน้าหาว่าหลี่ซื่อกล่าววาจาสามหาว