ตอนที่ 709 อบอุ่น

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 709 อบอุ่น

ต่งซื่อหันไปทางประมุขไป๋ ไป๋ฉีเหอที่นั่งหน้าซีดเผือดอยู่บนเก้าอี้ประมุข จากนั้นกล่าวขึ้น “วันนี้ข้า ต่งซื่อขอกล่าวไว้ตรงนี้เลยว่าหากผู้ใดกล้ารบกวนเวลาพักผ่อนของลูกสาวข้าอีก ข้าจะพาตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงถอนตัวออกจากตระกูลบรรพบุรุษ! ชื่อเสียงเลวร้ายของตระกูลบรรพบุรุษไป๋ดังกระฉ่อนไปทั่วใต้หล้า ต่อให้ข้าพาตระกูลไป๋ถอนตัวออกจากตระกูลบรรพบุรุษ ผู้อื่นก็มีแต่จะคิดว่าสตรีหม้ายและเด็กกำพร้าอย่างพวกข้าถูกตระกูลบรรพบุรุษไป๋รังแก ถึงเวลานั้นข้าจะดูสิว่าตระกูลไป๋ของพวกเจ้าจะเจริญรุ่งเรืองต่อไปเช่นไร เมืองซั่วหยางแห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่พวกเจ้าจะมาเบ่งอำนาจได้!”

“ต่งซื่อ! เจ้าอย่าเหิมเกริมเกินไปนัก เจ้าเป็นเพียงสะใภ้ของตระกูลไป๋ ไม่ใช่ทายาทของตระกูลไป๋ เจ้าไม่ได้แซ่ไป๋! เจ้ามีสิทธิ์อันใดมากล่าวว่าจะถอนตัวออกจากตระกูล!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลไป๋กระแทกไม้เท้าลงบนพื้นกระเบื้องด้วยความโมโห

“สิทธิ์ที่พี่สะใภ้ของข้าคือมารดาแท้ๆ ขององค์หญิงเจิ้นกั๋วอย่างไรเล่า สิทธิ์ที่องค์หญิงเจิ้นกั๋วไม่เคยขัดใจพี่สะใภ้ของข้าเลยสักครั้ง!” หลี่ซื่อโมโหจนร่างสั่นเทิ้ม เมื่อนึกได้ว่าไป๋ชิงเหยียนและบุตรสาวของนางต้องเผชิญหน้ากับตระกูลบรรพบุรุษไป๋ที่หน้าไม่อายเช่นนี้ นางก็อยากถอนตัวออกจากตระกูลบรรพบุรุษทันที “หากไม่เชื่อพวกเจ้าก็ลองดู สะใภ้ตระกูลไป๋อย่างพวกข้ายังกล้า คนถ่อยอย่างพวกเจ้ากล้าหรือไม่!”

เมื่อได้ยินหลี่ซื่อกล่าวเช่นนี้จึงเริ่มมีคนกระตุกแขนเสื้อของญาติผู้ใหญ่ของตัวเอง ไม่ให้พวกเขากล่าวสิ่งใดไปมากกว่านี้ มิเช่นนั้นองค์หญิงเจิ้นกั๋วอาจถอนตัวออกจากตระกูลบรรพบุรุษไป๋ขึ้นมาจริงๆ

ต่งซื่อกล่าวเสียงเย็น “สัตว์เดรัจฉานมีใจมนุษย์ ทว่า เพราะรูปร่างภายนอกพวกมันจึงถูกแบ่งแยก มนุษย์บางคนมีใจเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน ทว่า น้อยคนนักที่จะมองออก คนที่คล้ายสัตว์จึงมีคุณธรรมที่สูงส่งกว่าผู้อื่น”

ต่งซื่อกวาดสายตามองไปยังบรรดาผู้อาวุโสที่แก่ชราของตระกูลบรรพบุรุษไป๋ “คนที่เหมือนคนกลับหน้าเนื้อใจเสือ รู้หน้าไม่รู้ใจ”

หอบรรพชนลุกฮือขึ้นมาทันทีเพราะคำกล่าวของต่งซื่อ บรรดาผู้อาวุโสต่างชี้หน้าด่าต่งซื่อว่าเป็นสะใภ้ของตระกูลไป๋แท้ๆ ทว่า กลับไม่คิดถึงอนาคตของตระกูล เห็นแก่ตัว ต้องการเก็บผลประโยชน์ไว้คนเดียว

ต่งซื่อหันไปมองฮูหยินสี่หวังซื่อที่กอดบุตรสาวทั้งสองคนไว้ในอ้อมกอดแน่น นางส่งสัญญาณให้หวังซื่อกลับไปก่อน หวังซื่อจึงรีบพาบุตรสาวทั้งสองคนเดินออกไปจากหอบรรพชน

ต่งซื่อเอ่ยเรียกฮูหยินสามหลี่ซื่อและฮูหยินห้าฉีซื่อ บรรดาสะใภ้ตระกูลไป๋พากันเดินคล้องแขนออกไปด้านนอก

ก่อนที่ฮูหยินห้าฉีซื่อจะเดินออกไปจากประตู นางหันกลับไปมองคนตระกูลบรรพบุรุษไป๋ที่บ้างมีสีหน้าตกตะลึง บ้างมีสีหน้าไม่อยากเชื่อแวบหนึ่ง จากนั้นกล่าวเสียงราบเรียบ “กระรอกยังมีหนัง เหตุใดคนถึงไม่มีศักดิ์ศรี คนที่ไม่มีศักดิ์ศรีเหตุใดถึงยังมีชีวิตอยู่ กระรอกมีฟัน เหตุใดคนถึงไม่รู้จักควบคุมตัวเอง คนที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ เหตุใดถึงยังมีชีวิตอยู่ กระรอกมีร่างกาย เหตุใดคนถึงไม่รักษามารยาท คนที่ไม่รักษามารยาท เหตุใดจึงยังมีชีวิตอยู่”

คำกล่าวของฉีซื่อทำเอาคนในตระกูลบรรพบุรุษไป๋โมโหจนแทบลมจับ

ก่อนที่บรรดาฮูหยินตระกูลไป๋จะขึ้นไปบนรถม้า พวกนางได้ยินคนในตระกูลบรรพบุรุษไป๋ต่างตะโกนให้รีบตามหมอมาที่หอบรรพชน

เมื่อเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในหอบรรพชนจบ ไป๋จิ่นหวาขมวดคิ้วมองไปทางไป๋ชิงเหยียน “พี่หญิงใหญ่ เหตุใดคนในตระกูลบรรพบุรุษไป๋ถึงไม่ได้รับบทเรียนเสียทีเจ้าคะ”

“ไม่ใช่ไม่ได้รับบทเรียน ทว่า พวกเขามีคนคอยยุแยงอยู่เบื้องหลังต่างหาก” ไป๋ชิงเหยียนฟังจบ ทว่า ไม่ได้รู้สึกโมโหแต่อย่างใด อดีตประมุขไป๋สูญเสียบุตรชายคนโตอย่างไป๋ฉีอวิ๋นไป เขาย่อมโกรธแค้นเป็นธรรมดา เขาย่อมอยากเห็นตระกูลบรรพบุรุษไป๋และตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงแตกคอกันเองจนไป๋ชิงเหยียนไม่เหลือคนไว้คอยใช้งานอีกต่อไป

ไป๋ชิงเหยียนเคยเผชิญหน้ากับอดีตประมุขไป๋ ไป๋เวยเหมยผู้นี้มาหลายครั้งแล้ว อดีตประมุขไป๋คงมองนิสัยของไป๋ชิงเหยียนออกอย่างทุละปรุโปร่ง เขารู้ดีว่าไป๋ชิงเหยียนไม่มีทางทวงบุญคุณจากองค์รัชทายาทเพื่อปูทางให้บรรดาทายาทรุ่นหลังของตระกูลบรรพบุรุษไป๋ที่เหลวแหลกเหล่านี้แน่นอน ดังนั้นเขาจึงคิดแผนนี้ขึ้นมา หวังให้ตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงและตระกูลบรรพบุรุษไป๋มองหน้ากันไม่ติดอีกต่อไป เช่นนี้ไป๋ชิงเหยียนจะได้ไม่สามารถใช้งานคนในตระกูลบรรพบุรุษไป๋ที่นางกำลังใช้งานอยู่ตอนนี้ได้อีกต่อไป

ตอนที่ไป๋ชิงเหยียนได้รับบาดเจ็บกลับมาที่ซั่วหยาง หญิงสาวก็รับรู้ข่าวนี้แล้ว ทว่า หญิงสาวยังไม่ลงมือทำสิ่งใดเพราะอยากรอดูว่าไป๋ฉีเหอจะจัดการเรื่องนี้เช่นไร หากไป๋ฉีเหอสามารถยืนหยัดได้ หญิงสาวจะให้เขาถือโอกาสนี้แสดงบารมีให้เต็มที่

“เรื่องนี้ไม่ร้ายแรงเท่าใด ปล่อยให้พวกเขาอาละวาดไปก่อนเถิด เดี๋ยวต้องมีคนจัดการเรื่องนี้แน่นอน หากจัดการไม่ได้ ตระกูลไป๋ค่อยลงมือก็ยังไม่สาย” ไป๋ชิงเหยียนไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจแม้แต่น้อย เมื่อเห็นชุนเถาถือนมหมักและของว่างร้อนๆ เข้ามาด้านใน ไป๋ชิงเหยียนจึงบอกให้น้องๆ ไปทานของว่างรองท้องด้วยรอยยิ้ม

แม้เรื่องนี้จะไม่ร้ายแรง ทว่า คืนนี้ไป๋ชิงเหยียนคงต้องปลอบมารดาพักใหญ่ นางคงโมโหกับการกระทำของตระกูลบรรพบุรุษไป๋มากแน่ๆ

ขณะที่ไป๋ชิงเหยียนกำลังมองดูน้องสาวรับประทานของว่าง ถงหมัวมัวแหวกม่านเข้ามาด้านใน เมื่อทำความเคารพเสร็จจึงกล่าวขึ้น “คุณหนูใหญ่ หลูผิงกลับมาแล้วเจ้าค่ะ กล่าวว่าทุกอย่างที่กระโจมรักษาผู้ป่วยนอกเมืองเรียบร้อยดีเจ้าค่ะ หลังจากที่เขามอบเนื้อสัตว์และอาหารให้ชาวบ้าน บรรดาชาวบ้านอพยพเหล่านั้นล้วนซาบซึ้งในบุญคุณของคุณหนูใหญ่ ต่างพากันคุกเข่าคำนับศีรษะแนบพื้นเพื่อแสดงความขอบคุณเจ้าค่ะ”

ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้า ทุกอย่างเรียบร้อยก็ดีแล้ว

“หลูผิงยังกล่าวอีกว่าตอนเขากลับมาที่จวนเขาเห็นท่านประมุขไป๋ยืนอยู่ที่นอกจวนไป๋ กล่าวว่ามาขอรับผิดเจ้าค่ะ”

ไป๋ฉีเหอมาเร็วเสียจริง ไป๋ชิงเหยียนหยิบตำราที่วางไว้ด้านข้างขึ้นมา จากนั้นกล่าวเสียงราบเรียบ “ถงหมัวมัวไปบอกให้เขาทราบว่าเขาคือประมุขของตระกูลไป๋ การทำให้ความสัมพันธ์ของคนในตระกูลปรองดอง ทำให้คนในตระกูลมีใจเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ทำลายคนในตระกูลเดียวกันเองคือหน้าที่ของประมุขของตระกูล สิ่งที่เขาควรทำในตอนนี้ไม่ใช่การมารับผิด ทว่า เขาควรทำให้คนในตระกูลบรรพบุรุษไป๋สงบลง ควรแสดงอำนาจในฐานะประมุขของตระกูล ทำให้คนในตระกูลไม่กล้าทำเรื่องที่ข้ามหน้าข้ามตาประมุขของตระกูลอย่างเขาอีกต่อไป”

ถงหมัวมัวรับคำ “เจ้าค่ะ ข้าจะไปบอกให้หลูผิงไปเรียนให้ท่านประมุขไป๋ทราบเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”

“รบกวนหมัวมัวไปด้วยตัวเองทีเถิด ไปบอกประมุขไป๋ว่านี่คือความต้องการของข้า” ไป๋ชิงเหยียนเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มบางๆ ให้ถงหมัวมัว

ถงหมัวมัวคือหมัวมัวคนสนิทที่สุดของไป๋ชิงเหยียน มีเพียงไป๋ฉีเหอเห็นถงหมัวมัวเท่านั้น เขาจึงจะเข้าใจว่าไป๋ชิงเหยียนมอบอำนาจให้เขาตัดสินใจเต็มที่ เขาจะได้ตระหนักรู้ว่าหากเขาจัดการได้ไม่ดีพอ ไป๋ชิงเหยียนจะลงมือด้วยตัวเอง

“เจ้าค่ะ!” ถงหมัวมัวกำชับให้ชุนเถาดูแลไป๋ชิงเหยียนให้ดี จากนั้นจึงเดินออกไปจากห้อง เดินกางร่มไปยังเรือนหน้าพร้อมกับหลูผิง

“ทานของว่างนิดเดียวพอ เดี๋ยวจะรับประทานอาหารเย็นแล้ว คืนนี้คือคืนวันปีใหม่เล็ก ได้ยินว่าโรงครัวเตรียมอาหารไว้มากมายทีเดียว” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวกับน้องสาวทั้งสองยิ้มๆ

ต่งซื่อสั่งให้ตั้งโต๊ะรับประทานอาหารเย็นในคืนวันปีใหม่เล็กที่เรือนเหมยเซียง ไป๋ชิงเหยียนอยู่แต่ในจวนไม่มีสิ่งใดทำจึงเตรียมการทุกอย่างไว้พร้อมหมดแล้ว

โต๊ะกลมด้านนอกถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อย ไป๋ชิงเหยียนสั่งให้ชุนเถาตัดกิ่งเหมยสองสามกิ่ง จากนั้นใส่ไว้ในแจกันแล้วนำไปวางไว้บนเสาสูง ดอกเหมยสีแดงราวกับเปลวเพลิงช่างเป็นภาพที่งดงามมาก

ไม่นานต่งซื่อ ฮูหยินสามหลี่ซื่อ ฮูหยินสี่หวังซื่อและฮูหยินห้าฉีซื่อที่อุ้มคุณหนูแปดไป๋หว่านชิงไว้ในอ้อมกอดก็เดินเข้ามาในเรือนเหมยเซียงโดยที่เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดใหม่เรียบร้อย

ฮูหยินห้าฉีซื่ออุ้มไป๋หว่านชิงเข้ามาในเรือนเหมยเซียงก็เห็นระเบียงทางเดินประดับประดาไปด้วยโคมไฟหนังแกะหกเหลี่ยม แสงสีเหลืองนวลของโคมไฟส่องสะท้อนไปยังดอกเหมยที่ขึ้นอยู่เต็มเรือนเหมยเซียงจนเห็นเด่นชัด รอบกายเต็มไปด้วยดอกเหมยสีแดงเพลิง หิมะสีขาวโพลนและแสงเหลืองอ่อนของโคมไฟ

บ่าวรับใช้ที่ถือถาดอาหารสีดำยืนเรียงกันอยู่ตรงระเบียงทางเดินพากันชี้ไปยังดอกเหมยสีแดงพลางสนทนากันอย่างสนุกสนาน เป็นภาพที่ทำให้คนสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอบอุ่นของเทศกาลฉลองปีใหม่จริงๆ

ฉีซื่อได้ยินเสียงของไป๋จิ่นเจาและไป๋จิ่นหวาที่หยอกล้อต่งซื่อ ฮูหยินสามหลี่ซื่อและฮูหยินสี่หวังซื่อจนพวกนางหัวเราะออกมาอย่างขบขันดังออกมาจากในห้อง นางจ้องมองไปที่เงาที่สะท้อนออกมาจากหน้าต่าง ใบหน้าของนางส่อแววอบอุ่นโอนโยนยิ่งกว่าเดิม