บทที่ 768 ปริศนาแห่งอักษร
เพ่ยเหมียนหมานลองขว้างก้อนหินลงไปในเหว แต่กลับไม่ได้ยินเสียงหินกระแทกพื้น ซึ่งก็หมายความว่าก้นเหวนั้นลึกมากจนเสียงสะท้อนดังขึ้นมาไม่ถึง หรืออาจเป็นไปได้ว่าที่ด้านล่างสุดมันไม่ใช่ก้นหลุมแต่เป็นรอยแยกมิติที่ผันผวนหรือปรากฏการณ์ประหลาดอื่น ๆ ที่เหนือจินตนาการของพวกเขา
ไม่ว่ามันจะเป็นแบบไหน การลงไปดูย่อมไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาด
ทั้งสองรีบเดินย้อนไปในทิศทางตรงกันข้าม ทว่าไม่นานหลังจากนั้น พวกเขารู้สึกผิดหวังที่พบว่าอีกด้านหนึ่งนั้นสิ้นสุดลงที่เหวลึกเหมือนกัน
ในที่สุดพวกเขาก็เริ่มคาดเดาได้ว่าเส้นทางที่วิ่งหนีเทาเที่ยมานั้น น่าจะเป็นเส้นทางที่คล้ายกับสะพานลอยฟ้าขนาดใหญ่ซึ่งทั้งสองฟากฝั่งหรือข้างใต้คือความลึกอันไร้ที่สิ้นสุด พวกเขาถูกห้อมล้อมไปด้วยหมอกหนาทึบอยู่ตลอด ดังนั้น ก่อนหน้านี้พวกเขาจึงไม่สามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมได้อย่างชัดเจน
ทั้งสองคนรู้สึกขอบคุณทันทีที่ทั้งคู่ไม่ได้สะดุดล้มขณะที่ถูกเทาเที่ยเหล่านั้นไล่ตาม หากพวกเขาตกจากหน้าผาก็คงไม่โชคดีพอที่จะหนีไปไหนได้อีก
เพ่ยเหมียนหมานงงงวย “ถ้าข้างใต้เรามันคือเหวลึกอันไร้ที่สิ้นสุดจริง ๆ ถ้าอย่างนั้นไอ้หลุมที่เราตกลงไปมันคืออะไรกันล่ะ? แล้วมีสิ่งใดอยู่หลังประตูหินขนาดใหญ่นั่น? ไม่มีทางที่ทุกอย่างจะลอยอยู่กลางอากาศได้ใช่ไหม?”
“ลอยกลางอากาศ?” เสียงของซูอันเริ่มจริงจัง “นั่นไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะท้ายที่สุดมิติลับนี้ก็อยู่ภายในแผ่นศิลาลึกลับนั่น ใครจะไปรู้ เราอาจยังอยู่ในแผ่นศิลาโบราณก็ได้ กฎแห่งมิติภายในแผ่นศิลาอาจแตกต่างไปจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง”
“ช่างเถอะ เรื่องราวเหล่านั้นยังไม่สำคัญเท่ากับว่าตอนนี้เราจะออกไปได้อย่างไร?” เขาบ่น
เพ่ยเหมียนหมานมีรอยยิ้มบนใบหน้า “ข้าคิดว่าอยู่ที่นี่ก็ดีเหมือนกัน”
นางไม่ต้องการปวดหัวกับการที่จะต้องอธิบายสิ่งต่าง ๆ ให้ชูเหยียนฟัง หรือทำตามภารกิจที่ตระกูลมอบหมายมาให้อีกแล้ว ถ้านางสามารถอยู่ในโลกนี้กับซูอันเพียงแค่สองคน มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น
ทันใดนั้น เสียงร้องครวญครางแผ่วเบาที่ลอยมาแต่ไกลก็ทำให้สีหน้าของนางเปลี่ยนไป เสียงนี้ทำให้นางฉุกคิดเรื่องเทาเที่ยและโครงกระดูกสีขาวได้อย่างฉับพลันและมันทำให้ความคิดที่จะอยู่ที่นี่หายไปในทันที
“เราจะกลับไปที่ประตูนั่นก่อน!” ซูอันพูดพร้อมวิ่งกลับไปหาเพ่ยเหมียนหมาน หากพวกเขายังคงเดินหน้าต่อไป อาจมุ่งตรงเข้าไปหาเทาเที่ยที่ไล่ตามมา หากพวกเขากลับไปที่ประตูและพบวิธีที่จะผ่านเข้าไปได้ พวกเขาอาจจะผ่านพ้นภัยพิบัติครั้งนี้ไปได้ หรือต่อให้พวกเขาจะไม่สามารถหาทางผ่านประตูเข้าไปข้างในได้ พวกเขาทั้งสองก็ยังสามารถสู้โดยหลังชนประตู ซึ่งแบบนั้นทำให้อย่างน้อย ๆ พวกเขาจะได้ไม่ต้องถูกศัตรูล้อมไปซะทุกด้าน
เพ่ยเหมียนหมานรู้ทันความคิดของซูอันเช่นกัน นางตามซูอันไปอย่างไม่ลังเลใจ ทั้งสองรีบกลับไปที่ประตูหินและเริ่มค้นหาวิธีที่จะเปิดมัน
ทว่าในระหว่างที่ทุกสิ่งดำเนินไป พวกเขาไม่ได้สังเกตเห็นประกายไฟสีแดงที่กะพริบอยู่ภายในเบ้าตาของโครงกระดูกที่กำลังคุกเข่าอยู่เลยแม้แต่น้อย
“อาซู มาดูนี่! มีนกประหลาดอยู่ที่นี่!” เพ่ยเหมียนหมานชี้ไปที่จุดกึ่งกลางประตูหิน “บางทีกลไกการเปิดประตูอาจจะอยู่ตรงนี้!”
ซูอันสังเกตเห็นเช่นกันว่ามีรูปนกประหลาดสีแดงอยู่ตรงกลางประตู รูปร่างของนกตัวนี้มีความคล้ายคลึงกับหงส์เพลิงหรือไม่ก็นกยูง แต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว
มันดูคล้ายกับ ‘นกกระจิบร้อยเสียง’ ของเขาเล็กน้อยเช่นกัน
ซูอันเรียกใช้นกกระจิบร้อยเสียงอย่างรวดเร็ว เขาสั่งให้พวกมันเข้าใกล้ภาพสลักนั้น แต่น่าเสียดายที่ไม่ว่านกกระจิบร้อยเสียงจะบินไปรอบ ๆ และส่งเสียงร้องอย่างไร ประตูก็ไม่แสดงปฏิกิริยาใด ๆ เลย
ขณะที่เสียงร้องของนกกระจิบร้อยเสียงแผ่ขยายออกไป แสงสีแดงที่ลุกโชนอยู่ในเบ้าตาของนักรบโครงกระดูกที่คุกเข่าก็ค่อย ๆ จางลงโดยที่ซูอันและเพ่ยเหมียนหมานไม่ได้สังเกตเห็น
ซูอันขมวดคิ้ว เขาค่อนข้างรู้สึกผิดหวัง “ทำไมไม่เกิดอะไรขึ้นเลย?”
ทันใดนั้นเขาก็จำได้จากสารคดีว่าราชวงศ์ซางมักจะใช้นกเป็นสัญลักษณ์ นกตัวนี้น่าจะเป็นนกลึกลับตัวเดียวกับในสารคดี แต่เป็นสัญลักษณ์ของอะไรกันแน่?
ขณะที่เขาครุ่นคิดอยู่ ทันใดนั้นเพ่ยเหมียนหมานก็ค้นพบสิ่งใหม่ “เอ๊ะ? ทำไมภาพนกนี้มันดูแปลก ๆ ดูเหมือนว่ามันประกอบกันด้วยแผ่นหินหลายแผ่นที่เคลื่อนที่ได้ แถมตรงกลางของตัวนกยังมีลวดลายประหลาด ๆ อีกด้วย”
ซูอันเลิกคิ้ว เขามองไปรอบ ๆ ภาพสลักนกตัวนี้อีกครั้งและสังเกตเห็นว่าภาพสลักนกตัวนี้แท้จริงแล้วมันถูกแบ่งด้วยรอยตัดสี่เส้น สองเส้นแนวนอนสองเส้นแนวตั้ง ซึ่งมันกลายเป็นการแบ่งภาพสลักนักตัวนี้ให้แยกออกเป็นเก้าส่วน
และที่รอบ ๆ ของภาพสลักนกตัวนี้ถูกล้อมรอบด้วยช่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ เก้าช่องเป็นรูปแบบวงแหวนล้อม ช่องแต่ละช่องถูกแกะสลักด้วยสัญลักษณ์แปลก ๆ เพ่ยเหมียนหมานลองหยิบแผ่นหนึ่งของภาพสลักนกย้ายเข้าไปใส่ในช่องหินสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ซึ่งปรากฏว่ามันขนาดพอดีกันอย่างน่าประหลาด
“หนึ่ง สอง สาม…” เพ่ยเหมียนหมานนับแล้วพูดด้วยความประหลาดใจ “ช่องเล็ก ๆ พวกนี้มีเก้าช่องพอดีกับจำนวนชิ้นส่วนภาพสลักซึ่งถูกแยกออกเป็นเก้าชิ้นเช่นกัน ดูเหมือนว่าเราแค่ต้องวางชิ้นส่วนภาพสลักเอาไว้ในจุดที่ถูกต้องเพื่อให้ประตูเปิดได้”
“มันน่าจะเป็นอย่างที่เจ้าว่า เจ้านี่ช่างหลักแหลมจริง ๆ เหมียนหมาน!” ซูอันเดินไปที่ประตูและจ้องเขม็งไปที่สัญลักษณ์ในช่องหินทั้งเก้าช่องที่ว่างอยู่ “แต่สัญลักษณ์เหล่านี้หมายความว่าอย่างไร? เจ้าเคยเห็นพวกมันมาก่อนหรือเปล่า?”
“ข้าไม่เคยเห็น” เพ่ยเหมียนหมานส่ายหัว นางครุ่นคิดเพื่อหาข้อมูลที่อาจคล้ายคลึงกันมากพอที่จะช่วยเหลือนางได้ “ข้าไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้จากบันทึกใด ๆ เลย แต่ว่าสัญลักษณ์เหล่านี้ดูค่อนข้างคล้ายกับสัญลักษณ์บนแผ่นศิลาที่ดูดเราเข้ามา”
“เจ้าคิดอย่างนั้นเหรอ?” ซูอันขมวดคิ้ว เขาตรวจสอบสัญลักษณ์เหล่านั้นอีกครั้ง เมื่อนางได้กล่าวถึงเรื่องนี้แล้ว เขาก็ค่อย ๆ ได้เค้าลางของสัญลักษณ์แปลก ๆ เหล่านี้
เนื่องจากสิ่งนี้มันน่าจะเกี่ยวกับอักษรจีนโบราณ ซูอันจึงเดาว่าช่องเก้าช่องนี้น่าจะเกี่ยวกับตัวเลขเก้าตัว ซึ่งจีนโบราณเชื่อกันว่ามันคือต้นกำเนิดของการเขียน เขาเคยอ่านในหนังสือเล่มหนึ่งที่เกี่ยวกับเรื่องราวเทือก ๆ นี้ซึ่งมีประโยคหนึ่งเขียนเอาไว้ว่า ‘เก้าประทับจุดยอดมงกุฎ หนึ่งคือรากฐาน สามทางซ้าย เจ็ดทางขวา สองและสี่คือไหล่ หกและแปดคือเท้า ห้าดำรงที่ศูนย์กลาง’
พูดง่าย ๆ คือ ผลรวมของตัวเลขทั้งหมดตามเส้นที่กำหนดจะเป็นสิบห้า ไม่ว่าเส้นนั้นจะถูกลากในแนวตั้ง แนวนอน หรือแนวทแยงมุมก็ตาม
การใส่ตัวเลขเหล่านี้ในตำแหน่งนั้นค่อนข้างง่าย และใครก็ตามที่มีความรู้พื้นฐานทางคณิตศาสตร์ก็สามารถทำได้ ปัญหาคือสัญลักษณ์ในช่องหินสี่เหลี่ยมเหล่านี้แตกต่างจากตัวเลขที่เขาคุ้นเคย เขาไม่รู้ว่าการออกแบบใดตรงกับหมายเลขใด
มีสี่รูปแบบที่ค่อนข้างง่ายต่อการจดจำ แถวแนวนอนหนึ่ง สอง สาม และสี่น่าจะสอดคล้องกับเลขหนึ่ง สอง สาม และสี่ตามลำดับ
ทว่าอันอื่น ๆ ยากที่จะแยกแยะ ตัวอย่างเช่น สัญลักษณ์หนึ่งดูเหมือนตรีศูลที่มีเพลาโค้ง ตัวหนึ่งมีรูปร่างเป็นตัว 人 และยังมีสัญลักษณ์ X อยู่ตรงกลาง แต่มีเส้นแนวนอนด้านบนและด้านล่าง ทำให้ดูเหมือนเก้าอี้พับหรือสปริงในเกมมาริโอ อีกอันเป็นสัญลักษณ์ )( ซึ่งเหมือนวงเล็บคู่หนึ่งที่ใส่ผิดด้าน
ที่ประหลาดที่สุดคืออันที่ดูเหมือนไม้กางเขน
ซูอันคิดในใจว่าเลขสิบ เนื่องจากมันดูเหมือนกับตัวอักษรจีนสมัยใหม่สำหรับตัวเลขนั้น (十) แต่เขาก็โยนความคิดนี้ออกไปจากสมองในทันที ท้ายที่สุดมีเพียงเก้าช่องเท่านั้น ดังนั้นหมายเลขสิบจึงไม่ควรปรากฏ
ความเสียดายค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาในจิตใจของซูอัน ถ้าเขาศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับจีนยุคโบราณ เขาอาจจำอักขระเหล่านี้ได้
เขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าพวกนักโบราณคดีสามารถเข้าใจไอ้ของแบบนี้ได้อย่างไร?