———-
บทที่ 767 ประตูหินและเหล่าโครงกระดูก
ซูอันเก็บกระบี่ไท่เอ๋อร์ “เหมียนหมานใหญ่ เราชนะมันได้เพราะเจ้าเลยนะเนี่ย!”
“เปลวไฟสีดำของข้าคงจะไม่โดนตัวมันถ้าเจ้าไม่ดึงความสนใจเอาไว้” เพ่ยเหมียนหมานขมวดคิ้วขณะที่นางมองไปที่ศพด้วยความไม่แน่ใจ “เกิดอะไรขึ้นกับสัตว์ประหลาดตัวนี้? ทำไมเปลวไฟสีดำของข้าไม่สามารถทำร้ายมันได้?”
เปลวไฟสีดำของนางรุนแรงพอที่จะหลอมเหล็กให้ละลายได้ภายในไม่กี่อึดใจ แต่ทำไมเมื่อครู่นี้มันกลับไม่สามารถทำอะไรสัตว์ประหลาดที่มีเลือดเนื้อตัวนี้ได้?
“ไอ้เทาเที่ยนี่มันแปลกจริง ๆ แม้แต่แท่งพิษของข้าก็ใช้ไม่ได้ผลเช่นกัน” ซูอันไม่เข้าใจว่าทำไมมีดสีดำที่เต็มไปด้วยพิษร้ายซึ่งรับประกันการฆ่าได้เสมอของเขาจึงใช้ไม่ได้ผลกับสัตว์ประหลาดตัวนี้
“เทาเที่ย? เจ้ารู้ด้วยเหรอว่ามันคือตัวอะไร?”เพ่ยเหมียนหมานถามด้วยความงุนงง
“ใช่ ข้าเคยเห็นบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรมาแล้ว…” ซูอันเล่าให้นางฟังเกี่ยวกับสิ่งที่เขาจำได้
เพ่ยเหมียนหมานประหลาดใจอย่างยิ่ง “ทำไมข้าไม่เคยได้ยินเรื่องของมันมาก่อน? เจ้าอ่านเรื่องทั้งหมดมาจากที่ใด?”
ซูอันหัวเราะและพูดว่า “โลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งลึกลับมากมาย มันแปลกตรงไหนที่เจ้าจะยังมีอีกหลายสิ่งที่เจ้าไม่เคยเห็นหรือเคยได้ยินมาก่อน”
เพ่ยเหมียนหมานไม่แปลกใจเมื่อได้ยินประโยคนี้ “สถานที่นี้มันแปลกเกินไปจริง ๆ นั่นแหละ เอาล่ะพวกเรามาหาทางออกกันก่อนจะดีกว่า”
ซูอันพยักหน้า “ข้าเห็นด้วย แต่หมอกหนาเช่นนี้มีอยู่ทุกที่ เราต้องระวังให้มากเพราะเราอาจจะเจอเทาเที่ยตัวอื่นโจมตีเราอีกรอบ”
เสียงร้องของทารกดังขึ้นทันทีที่เขาพูด
บัดซบอะไรอีก?? นี่ปากของข้ามันจะศักดิ์สิทธิ์เกินไปหน่อยไหม!?
ทั้งสองคนสั่นสะท้าน และอดไม่ได้ที่จะมองไปตามทิศทางของเสียง พวกเขาเห็นร่างหลายร่างเดินออกมาจากหมอก พวกมันจะเป็นอะไรได้อีกนอกจากฝูงเทาเที่ย?
ซูอันอยากจะตบปากตัวเอง ปากโง่ ๆ ของข้า! พวกมันปรากฏตัวขึ้นทันทีที่พูดถึง…ราวกับว่าชายหนุ่มเป็นคนสั่งให้พวกมันออกมา!
ถ้าข้าบอกว่าจะไม่มีใครเทียบข้าได้ในใต้หล้าและมีภรรยาเป็นพันล้านคนล่ะ? สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นจริงด้วยหรือไม่?
แม้จะเยาะเย้ยตนเอง เขาก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดโดยไม่ลังเล เขาดึงแขนของเพ่ยเหมียนหมานแล้วพูดว่า “วิ่ง!”
ไม่ยากเกินไปที่จะจัดการกับเทาเที่ยเพียงตัวเดียว แต่การเผชิญหน้ากับพวกมันทีละหลาย ๆ ตัวในคราวเดียวนั้นมีทางเลือกเดียวที่พวกเขาต้องทำคือพากันวิ่งหนี!
เมื่อเห็นพวกเขาทั้งสองหันหลังวิ่ง ฝูงเทาเที่ยที่มาใหม่ต่างพากันกรีดร้องและไล่ตามพวกเขา
แต่แล้วจู่ ๆ พวกมันกลับหยุดกะทันหันเมื่อสังเกตเห็นซากศพเพื่อนของมันบนพื้น พวกมันล้อมศพและเริ่มแทะกินศพพวกเดียวกันเองอย่างหิวโหย ศพขนาดมหึมาถูกกลืนกินอย่างรวดเร็ว แม้แต่เลือดที่กระเซ็นบนพื้นก็ยังสะอาดหมดจด
ซูอันวิ่งอย่างบ้าคลั่งโดยมีเพ่ยเหมียนหมานวิ่งตามติดอยู่ข้างหลัง เขาไม่กล้าหยุดแม้ว่าจะเห็นว่าฝูงเทาเที่ยกินพวกเดียวกันเองอยู่ทางหางตา
หลังจากวิ่งมานานแค่ไหนก็ไม่รู้ พวกเขาก็มาถึงหน้าประตูยักษ์ที่เด่นตระหง่าน
ประตูใหญ่ยักษ์อันงดงามนี้สูงสิบถึงสิบห้าจั้ง*[1] และมีเสาหินขนาดใหญ่มากมายเรียงรายล้อมรอบอยู่แถวด้านหน้าประตู
เมื่อยืนอยู่หน้าประตูและมองขึ้นไป ทั้งซูอันและเพ่ยเหมียนหมานรู้สึกว่าตัวของพวกเขาช่างเล็กจ้อยและด้อยค่า ประตูนี้สร้างแรงกดดันอย่างมากให้แก่พวกเขา
น่าเสียดายที่ประตูถูกปิดอย่างแน่นหนา และไม่มีทางที่จะเปิดออกได้ด้วยกำลังของมนุษย์เพียงอย่างเดียว
“ว้าย!” เพ่ยเหมียนหมานก็ร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก
ซูอันกระโดดด้วยความตกใจ เขาเหวี่ยงกระบี่ไปรอบ ๆ คิดว่านางถูกเทาเที่ยหรือสัตว์ประหลาดตัวอื่นซุ่มโจมตี แต่เขาไม่เห็นตัวอะไรอยู่รอบตัวนางเลย
“มีอะไร? เจ้าเป็นอะไร??” เขาเดินไปถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย
“ที่นั่น…” เพ่ยเหมียนหมานชี้ไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว
ซูอันมองตามทิศทางที่นางกำลังชี้ไป และเห็นโครงกระดูกหนึ่งซึ่งอยู่ในท่าทางคุกเข่าอยู่ด้านขวามือของพวกเขาที่ห่างไกลออกไปเพียงเล็กน้อย
โครงกระดูกนี้มีขนาดใหญ่และยังดูแข็งแกร่ง แม้จะคุกเข่าด้วยขาข้างหนึ่ง แต่ก็ดูองอาจและทรงพลัง
“นั่นใช่พวกคนโชคร้ายอีกกลุ่มที่ถูกจับมาที่นี่เมื่อในอดีตหรือเปล่า?” เพ่ยเหมียนหมานถามในขณะที่นึกถึงโครงกระดูกมากมายที่กองสุมกันอยู่ในหลุมขนาดยักษ์ที่พวกเขาตกลงไปก่อนหน้านี้
“ข้าไม่คิดอย่างนั้น” ซูอันส่ายหัว เขาชี้ไปที่กระดูกสีขาวและกล่าวว่า “ดูหอกยาวที่อยู่ในมือของโครงกระดูกนั่นสิ เจ้าของโครงกระดูกน่าจะเป็นนักรบผู้แข็งแกร่ง และด้วยท่าทางการตายที่ดูเป็นธรรมชาติอีกทั้งกระดูกก็ไม่มีร่องรอยความเสียหายใด ๆ ให้เห็น ข้าคิดว่าเขาคงเลือกที่จะปกป้องสถานที่แห่งนี้ด้วยความเต็มใจ มีสิ่งเดียวที่น่าสงสัยคือ เขาถูกฝังเอาไว้ที่นี่ทั้งเป็นหรือว่าตายเพราะหมดอายุขัยในขณะที่ปกป้องสถานที่แห่งนี้ และท้ายที่สุดก็เหลือแต่กระดูก”
“มี…มีมากกว่าหนึ่ง!” เพ่ยเหมียนหมานร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนกแล้วชี้ไปที่บรรดาเสาหน้าประตู
ซูอันเดินไปดู เขารู้สึกเสียวสันหลังวาบ ตอนแรกชายหนุ่มคิดว่าส่วนล่างของเสาถูกแกะสลักด้วยลวดลายตกแต่ง แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ๆ เขาสังเกตเห็นว่าเสาทุกต้นล้อมรอบไปด้วยโครงกระดูกสีขาว
ซูอันเริ่มนับ เขานับโครงกระดูกได้ทั้งหมดสิบห้าโครง และดูเหมือนว่ายังมีโครงกระดูกอีกมากที่ถูกฝังอยู่ใต้ดิน
“คนที่สร้างสถานที่แห่งนี้ช่างโหดเหี้ยมจริง ๆ” เพ่ยเหมียนหมานเดินไปที่ด้านข้างของซูอัน ร่างกายของนางสั่นอย่างเห็นได้ชัด
แม้ปกตินางเป็นคนที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยว อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พวกเขาประสบกับหลุมแห่งความตายแห่งนั้นและได้เห็นโครงสร้างเหล่านี้ที่สร้างอยู่บนกองกระดูก เหตุการณ์ทั้งหมดนี้มันทำให้นางเริ่มหวาดกลัว
ซูอันกล่าวด้วยเสียงต่ำ “บางทีนี่อาจจะเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและประเพณีของพวกเขา ข้ารู้จักอาณาจักรโบราณที่ถวายคนเป็นเครื่องสังเวย สำหรับพวกเขาแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นวิธีแสดงความจริงใจและเคารพต่อสวรรค์อย่างสุดซึ้ง”
เขาเคยดูสารคดี ‘อินซวี ซากปรักหักพังแห่งรางวงศ์ซาง’ ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่าชาวอินซางถวายเครื่องสังเวยเป็นมนุษย์ มิติลับนี้มีอักษรคำว่า ‘อินซวี’ ปรากฏตรงประตูที่ถูกพวกเขาเข้ามา แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าพวกมันเป็นที่แห่งเดียวกันหรือไม่ แต่เขามั่นใจว่ามันมีความเชื่อมโยงกันระหว่างสถานที่ทั้งสองแห่ง
“แต่คนเหล่านี้ล้วนเป็นมนุษย์ที่มีความคิดและจิตใจ! มีผู้ใดบ้างที่จะยินดีถูกสังเวยเป็นเครื่องบูชาต่อสวรรค์?” เพ่ยเหมียนหมานมองไปที่โครงกระดูกใต้เสาและประตูหิน นางก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจขึ้นมา
ซูอันกล่าวว่า “พวกเขาเหล่านี้น่าจะเป็นเชลยศึกทั้งหมด ในยุคโบราณ ชะตากรรมของเหล่าเชลยศึกมักจบลงอย่างน่าสังเวชเสมอ”
เพ่ยเหมียนหมานกัดริมฝีปาก “ลองมองหาทางออกอื่นเถอะ ข้าไม่ชอบที่แห่งนี้เลย”
ซูอันพยักหน้าตกลง สถานที่แห่งนี้ค่อนข้างดูแปลกประหลาดและเป็นลางไม่ดี
ทั้งสองเดินไปสำรวจด้านข้าง แต่เพ่ยเหมียนหมานกลับหยุดอย่างกะทันหัน นางดึงตัวซูอันกลับมาแล้วพูดว่า “ระวัง!”
ซูอันตัวนิ่งแข็ง ตอนนี้เขาเพิ่งรู้ตัวว่าข้างหน้าพวกเขาคือขอบหน้าผา ภายใต้หน้าผานั้นเป็นเหวลึกดำมืดที่กำลังรอให้ใครสักคนตกลงไปอย่างเงียบ ๆ ราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังอ้าปากรอกลืนกินเหยื่อ ทั้งสองคนไม่อยากมองลงไปให้รู้สึกหวาดเสียวไปกว่านี้
[1] ยี่สิบถึงสามสิบเมตร