สือจวินเดินเข้ามาพร้อมสีหน้าไม่สบายใจอย่างยิ่ง เขาค่อนข้างฉลาด นับตั้งแต่พบชิวอวี้เฟยกลางทาง เขาก็มิกล้าสร้างความลำบากให้ต้วนอู๋ตี๋อีก ในการเดินทางช่วงสุดท้าย หัวใจเขาเต้นระทึกมาตลอดทาง
สือจวินเป็นญาติผู้น้องของสืออิง ตอนยังเล็กใจกล้าชอบต่อยตีเป็นอันธพาลผู้เลื่องชื่อในหมู่บ้าน ต่อมาก็มาขอพึ่งสืออิง เพราะเขาหัวไวและวรยุทธ์ไม่ด้อย จากพลทหารตำแหน่งเล็กๆ จึงได้กลายมาเป็นรองแม่ทัพของสืออิง แม้สืออิงกล้าหาญชำนาญการรบพุ่ง แต่ในด้านการใช้คนกลับค่อนไปทางเลือกแต่คนสนิทไม่สนคุณธรรมความสามารถ สือจวินรู้ดีว่าความสามารถของตนไม่เพียงพอ แต่อาศัยความเชื่อใจของสืออิง และใช้บุญคุณเล็กๆ น้อยๆ ผูกมิตรกับทหารกล้าในกองทัพจึงยังพอเป็นผู้นำคนได้อยู่บ้าง
หลายวันก่อนสืออิงสั่งให้เขาสืบหาจุดอ่อนของต้วนอู๋ตี๋ สือจวินลำบากอยู่เล็กน้อย มิใช่เพราะอำนาจและฐานะของต้วนอู๋ตี๋ แต่เป็นเพราะต้วนอู๋ตี๋เคร่งครัดมาเสมอ สือจวินจึงหาจุดอ่อนมิพบแต่อย่างใด ทว่าคำสั่งของสืออิงจะไม่ทำตามก็มิได้
บังเอิญว่าแม่ทัพใต้บัญชาของต้วนอู๋ตี๋นายหนึ่งทำผิดกฎกองทัพจนถูกต้วนอู๋ตี๋ลดตำแหน่ง แม่ทัพผู้นั้นในใจเคืองแค้นจึงหาโอกาสรั้งอยู่เมืองชิ่นโจว สือจวินทราบเรื่องจึงเข้าไปผูกมิตรกับเขา พาเขาไปร่ำสุราเที่ยวเล่น แม่ทัพผู้นี้ไม่พอใจต้วนอู๋ตี๋ เมื่อสือจวินติดสินบนเล็กน้อยก็เผยความลับออกมา เล่าเรื่องที่ต้วนอู๋ตี๋ขนของเถื่อนให้ฟัง สือจวินทราบเรื่องนี้ก็ประหนึ่งได้สมบัติ เขานำข่าวไปแจ้งสืออิง
สืออิงเองก็เป็นยอดแม่ทัพผู้หนึ่ง เมื่อทราบเรื่องแล้วและตั้งใจสืบก็หาหลักฐานพบในเวลาไม่นานดังคาด ถึงอย่างไรต้วนอู๋ตี๋ก็ได้รับการสนับสนุนกับการอนุญาตกลายๆ จากแม่ทัพระดับสูงในกองทัพ ดังนั้นเรื่องนี้จึงมิได้เก็บงำเป็นความลับมากนัก ทำให้สืออิงวางแผนจับโจรกับของกลางได้อย่างราบรื่น
เรื่องทั้งหมดล้วนเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งนัก แต่สือจวินมีเรื่องหนึ่งปิดบังสืออิงอยู่ นั่นก็คือระหว่างกระทำเรื่องเหล่านี้ ข่าวและเงื่อนงำมากมายที่สือจวิน ‘ค้นพบ’ ความจริงแล้วสือจวินมิใช่ผู้สืบหาข่าวเหล่านั้นพบด้วยตนเอง แต่เขาได้มันมาจากมือคนลึกลับกลุ่มหนึ่ง หากมิได้ข่าวคราวเหล่านี้มา สืออิงก็คงไม่มีทางจับจุดอ่อนของต้วนอู๋ตี๋ได้ราบรื่นเช่นนี้
ทว่าตอนนี้สือจวินนึกเสียใจอย่างยิ่งที่ตนเองสายตาตื้นเขิน นึกถึงตอนคนลึกลับกลุ่มนั้นขนเงินทองมาถึงประตูบ้าน บอกว่าพวกเขาขัดแย้งกับพ่อค้าที่ต้วนอู๋ตี๋สมคบขนของเถื่อน สองฝ่ายเป็นศัตรูทางการค้า ดังนั้นจึงคิดจะช่วยสืออิงเล่นงานต้วนอู๋ตี๋เพื่อกำจัดคนหนุนหลังพ่อค้าเหล่านั้น เรื่องนี้เป็นสาเหตุที่สมเหตุสมผลนัก
ยิ่งไปกว่านั้นตนเองก็ต้องการข่าวสารเหล่านั้น สือจวินจึงน้อมรับด้วยความยินดี แต่เมื่อเรื่องราวดำเนินไป สือจวินกลับรู้สึกว่าเจ้านายของตนอาจทิ่มถูกรังต่อเข้าให้แล้ว หากสืออิงเกิดเป็นอันใดไปขึ้นมา เกียรติยศความมั่งคั่งของตนก็คงสลายหายไปด้วย ถึงกระนั้นต่อให้นึกเสียใจอีกเท่าใดก็ไม่มีประโยชน์
เมื่อสือจวินคุมตัวต้วนอู๋ตี๋มาถึงจวนของแม่ทัพใหญ่ ต้วนอู๋ตี๋ก็ถอดเครื่องพันธนาการเรียบร้อยแล้วถูกเชิญเข้ามาด้านในทันที ตรงกันข้ามตัวสือจวินกับพลทหารเหล่านั้นกลับถูกเฝ้าจับตาไว้ สือจวินยิ่งหวาดวิตก ในใจขบคิดว่าจะรับมือเช่นไร ผ่านไปไม่นาน สือจวินก็ถูกเรียกเข้ามาซักถาม เขาย่อมมิอาจปฏิเสธ ได้แต่ฝืนทำใจแข็งเดินเข้าห้องโถงพยัคฆ์ขาวยามหลงถิงเฟยเรียกพบ พอเห็นหลงถิงเฟยหน้าเขียว รอบร่างเต็มไปด้วยโทสะและจิตสังหาร สือจวินพลันรู้สึกหายใจแทบมิออก เขาก้าวเข้าไปสองสามก้าวแล้วคุกเข่ากับพื้นเสียงดัง ร่างกายสั่นระริกอย่างมิอาจห้าม
หลงถิงเฟยเห็นสภาพเช่นนี้ ในใจก็ยิ่งสงสั ยจึงถามอย่างเย็นชา “สือจวิน เจ้าเป็นผู้ค้นพบการลักลอบขนของเถื่อนของต้วนอู๋ตี๋ใช่หรือไม่”
สือจวินตอบอย่างระมัดระวัง “ผู้น้อยเองขอรับ”
หลงถิงเฟยเอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “เจ้าค้นพบได้อย่างไร เจ้ากล้าลอบจับตาดูแม่ทัพเช่นนั้นหรือ”
สือจวินอ้าปากจะพูด แต่กลับเอื้อนเอ่ยออกมาไม่ได้ การซื้อข่าวจากแม่ทัพใต้บัญชาของต้วนอู๋ตี๋กับการรับสินบนจากพ่อค้าล้วนมิใช่เรื่องที่บอกกล่าวออกมาได้ หากตนเองพูดออกมา ยังไม่ต้องพูดว่าต้วนอู๋ตี๋มีความผิดหรือไม่ ตนเองก็น่าจะถูกลากออกไปตัดศีรษะก่อนแล้ว
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หน้าผากก็มีเหงื่อเย็นเฉียบผุดพรายอย่างห้ามมิได้ เขาคุกเข่าอยู่บนพื้น โขกศีรษะซ้ำๆ แต่มิกล้าเอ่ยวาจา
หลงถิงเฟยกล่าวด้วยความโมโหว่า “เจ้ายังมิพูดความจริงอีก หากกล่าวโป้ปดแม้แต่ครึ่งคำ ข้าจะให้เจ้ามีความผิดโทษฐานปิดบังแม่ทัพใหญ่ ต้องถูกสับเป็นหมื่นชิ้น”
สือจวินตกใจจนหน้าซีด รีบเล่าว่าตนได้เงื่อนงำจากปากขอแม่ทัพผู้นั้นมาอย่างไร แล้วได้สินบนและข่าวสารจากคนลึกลับกลุ่มนั้นมาอย่างไร
หลงถิงเฟยเดือดดาล ยกเท้าขึ้นถีบสือจวินปลิวออกไปด้านข้าง สือจวินกระอักเลือดออกมาแต่มิกล้ายกมือขึ้นเช็ด เขาคลานลุกขึ้นมาคุกเข่าค้อมตัวจรดพื้นแล้วรีบเอ่ยว่า “ผู้น้อยสำนึกผิดแล้ว ขอท่านแม่ทัพใหญ่ละเว้นชีวิตด้วย”
หลงถิงเฟยสั่งอย่างเย็นชา “ลากเขาไปให้เซียวถงลงทัณฑ์และสอบสวน” องครักษ์หลายคนลากสือจวินออกไป
หลงถิงเฟยกลับมานั่งบนเก้าอี้แม่ทัพแล้วหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า เขาใคร่ครวญคำสารภาพของสือจวินอย่างถี่ถ้วน คนที่มอบข่าวสารให้เหล่านั้นน่าสงสัยยิ่งนัก จากนั้นจึงถามต้วนอู๋ตี๋ “อู๋ตี๋ ท่านทราบหรือไม่ว่ามีผู้ใดคิดแค้นท่าน และอาจมีหนทางได้ข่าวเกี่ยวกับการลักลอบขนของเถื่อนของพวกท่าน”
ต้วนอู๋ตี๋ขมวดคิ้วคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบว่า “พ่อค้าที่สมคบกับผู้น้อยล้วนแต่เป็นพ่อค้าเจ้าใหญ่ในแว่นแคว้น ผู้ที่มีคุณสมบัติจะทำการค้าระดับนี้ได้มีเพียงสองสามเจ้าเท่านั้น ผู้น้อยทำข้อตกลงกับพวกเขาแล้วว่าจะทำงานร่วมกันโดยแบ่งผลประโยชน์เป็นสัดส่วนชัดเจน นอกเหนือจากพ่อค้ากลุ่มนี้ ต่อให้อิจฉาตาร้อน แต่พวกเขาก็ไม่มีกำลังทรัพย์จะเข้าร่วมและไม่มีทางได้ข่าวการส่งของ จะมีก็แต่พ่อค้าตงไห่ที่ทำการค้ากับพ่อค้าเหล่านั้นที่ทราบข่าวการขนส่งสินค้าของพวกเรา แต่พวกเขาจะมีความสามารถเข้ามายุ่งเรื่องในกองทัพเป่ยฮั่นได้เช่นไรเล่า”
หลงถิงเฟยยิ้มอย่างขมขื่นครู่หนึ่ง ดวงตาทอประกายเย็นเยียบ กล่าวว่า “จะมีความสามารถได้เช่นไร พวกเราต่างลืมแล้วว่าคนผู้นั้นอยู่ตงไห่มาเกือบสามปี น่ากลัวว่าเรื่องนี้คงอยู่ในการควบคุมของเขาตั้งแต่แรกแล้ว”
ต้วนอู๋ตี๋สีหน้าเปลี่ยนไปในทันใด เขาย่อมเข้าใจว่า ‘คนผู้นั้น’ ที่หลงถิงเฟยกล่าวถึงคือผู้ใด แต่เขาก็ยังถามอย่างรอบคอบ “แม่ทัพใหญ่ เรื่องนี้ไม่แน่ว่าจะเป็นเช่นนั้น พ่อค้าที่ร่วมมือกับพวกเราล้วนถูกตรวจสอบมาแล้ว พวกเขาน่าจะมิใช่คนของต้ายง นอกจากนี้พวกเรายังจงใจกีดกันตระกูลไห่ เพราะตระกูลไห่กับตงไห่ใกล้ชิดกันเกินไป ตัวตนของพ่อค้าเหล่านั้นล้วนไม่มีปัญหา ส่วนมากเป็นคนของทางฝั่งหนานฉู่
ส่วนผู้ที่อยู่หลังม่านน่าจะเป็นหอกลไกสวรรค์อันลึกลับของหนานฉู่ ต่อให้คนผู้นั้นเล่ห์กลล้ำเลิศเพียงใด เขาย่อมมิอาจยื่นมือไปได้ไกลถึงเพียงนั้น มิหนำซ้ำ ข่าวที่พวกเราได้จากทางหนานฉู่ก็น่าจะไม่ผิดพลาด หลายปีนี้หอกลไกลสวรรค์ทำให้ต้ายงเสียผลประโยชน์มาหลายครั้ง พวกเราเคยสงสัยว่าเบื้องหลังหอกลไกสวรรค์น่าจะเป็นตระกูลใหญ่จากหนานฉู่ ตอนนี้พวกเรากับหนานฉู่มีศัตรูคนเดียวกัน พวกเขาไม่มีทางโยนหินซ้ำเติมในเวลานี้”
หลงถิงเฟยค่อนข้างเชื่อถือความคิดของต้วนอู๋ตี๋ แต่เขายังคงคิดว่าเรื่องครั้งนี้จักต้องมีต้ายงเข้ามายุ่งเกี่ยวเป็นแน่ นอกจากต้ายง ยังมีผู้ใดหวังให้กองทัพเป่ยฮั่นวุ่นวายอีก เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ท่านบอกเองว่าตระกูลไห่กับตงไห่ใกล้ชิดกันอย่างยิ่ง จากที่องค์หญิงหลินปี้บอก ตระกูลไห่กับเจียงเจ๋อสมคบกันอยู่ สินค้าที่ขนของเถื่อนล้วนต้องผ่านปินโจว สถานที่แห่งนั้นตระกูลไห่ยกมือปิดฟ้าได้ น่ากลัวว่าร่องรอยล้วนยากหนีพ้นสายตาของพวกเขา หากตั้งใจก็ไม่แน่ว่าจะรวบรวมข่าวเหล่านี้มิได้ เฮ้อ”
ครานี้ต้วนอู๋ตี๋เงียบงันเช่นกัน ข้อสันนิษฐานของหลงถิงเฟยมีเหตุผลอย่างยิ่ง การขนส่งสินค้าเข้าออกย่อมหนีไม่พ้นหูตาของตระกูลไห่ หรือว่าเจียงเจ๋อจะวางหมากไว้ที่ปินโจวอยู่ก่อนแล้ว ในใจต้วนอู๋ตี๋พลันเกิดความคิดบ้าบอประการหนึ่งขึ้น หรือการที่เจียงเจ๋อหลบเร้นอยู่ตงไห่ สนับสนุนตระกูลเจียงแห่งตงไห่กับตระกูลไห่ให้พัฒนาปินโจวจนกลายเป็นศูนย์กลางการค้าไปยังแดนไกลก็เพราะมีเจตนาจะล่อลวงให้พวกเราขนสินค้าเถื่อน ยามนี้หากตัดเส้นทางเส้นนี้ เกรงว่าเป่ยฮั่นของข้าคงตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากข้าวของขาดแคลนทันที
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ต้วนอู๋ตี๋พลันรู้สึกหนาวเหน็บไปทั่วสรรพางค์กาย แต่มิกล้าเอ่ยความคิดของตนออกมา ได้แต่ปลอบตนเองว่าเจียงเจ๋อชาญฉลาดอีกเท่าใดก็คงมิอาจขบคิดได้ลึกซึ้งถึงเพียงนั้นกระมัง ตระกูลเจียงเป็นผู้ควบคุมเรื่องต่างๆ ในตงไห่ เขาคงมิอาจบงการดั่งยกแขนชี้นิ้ว
เวลานี้เซียวถงก็เดินหน้าเคร่งขรึมเข้ามา เขายื่นกล่องลวดลายงดงามใบหนึ่งมา ก่อนจะเปิดกล่องออก ด้านในใส่จดหมายไว้สองฉบับ หลงถิงเฟยรับมาอ่าน ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าความคิดทั้งมวลมลายสิ้น
จดหมายสองฉบับนั้นล้วนไม่มีหัวไม่มีท้าย
จดหมายฉบับแรกเขียนไว้ว่า ‘ปิดปากอดีตลูกน้องท่านหมดแล้ว ถือว่าตอบแทนน้ำใจที่ท่านยอมเมตตาออมมือ คนแซ่หลงพ่ายแพ้ยับเยินที่เจ๋อโจว ไฉนท่านยังไม่ตระหนัก หากรอกองทัพใหญ่บุกขึ้นเหนือ ท่านจะนึกเสียใจก็สายเสียแล้ว หากกลับตัวกลับใจ เราสัญญาว่าจะมอบยศศักดิ์ให้ ขอแม่ทัพโปรดไตร่ตรองให้ดี’
จดหมายฉบับที่สองเขียนว่า ‘ท่านตระหนักรู้สถานการณ์ เลือกเดินตามลิขิตสวรรค์ถือเป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง ขอให้ท่านกำจัดต้วนอู๋ตี๋เสียก่อนเพื่อแสดงความจริงใจ ข้าจักลอบช่วยเหลือท่านแม่ทัพดำเนินการ’
หลงถิงเฟยถามด้วยความเจ็บปวดร้าวลึก “ถามองครักษ์คนสนิทของเขาแล้วหรือยัง มีคนยัดของให้เขาหรือไม่”
เซียวถงตอบอย่างขมขื่น “ผู้น้อยสอบถามอย่างละเอียดแล้ว ไม่มีผู้ใดทราบว่าสืออิงติดต่อกับต้ายงเช่นไร แต่กล่องใบนี้วางอยู่ในตู้ภายในห้องนอนของสืออิง ตู้ใบนี้มีเพียงสืออิงที่มีกุญแจ มิหนำซ้ำมีคนสังเกตเห็นว่าทุกคืนก่อนนอนสืออิงจะหยิบจดหมายด้านในกล่องขึ้นมาดู หากมีคนยัดของให้ อย่างน้อยก่อนหน้าคืนวาน จดหมายเหล่านี้ย่อมไม่มีทางอยู่ด้านใน”
หลงถิงเฟยยกมือกุมหน้าผากไม่พูดไม่จา สีหน้าเย็นยะเยือกถมึงทึง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นว่า “เรียกสืออิงเข้ามาพบข้า”
เมื่อสืออิงเดินเข้ามาในห้องโถง หลงถิงเฟยก็หักห้ามโทสะในใจไว้มิได้อีกต่อไป เขาขว้างกล่องลวดลายงดงามกับจดหมายสองฉบับนั้นใส่หน้าสืออิง สืออิงแววตาวูบไหว เมื่อเห็นจดหมาย ใบหน้าก็แดงก่ำ กล่าวขึ้นว่า “จดหมายเรื่องลับของผู้น้อยเหตุใดจึงมาอยู่ในมือแม่ทัพใหญ่ได้”
หลงถิงเฟยผู้มีความหวังอยู่เสี้ยวหนึ่งในใจสิ้นหวังอย่างสิ้นเชิงแล้ว เขาเอ่ยอย่างเย็นชา “ถ้าเช่นนั้นท่านยอมรับว่าจดหมายสองฉบับนี้เป็นของท่านหรือ”
สืออิงหน้าแดง ตอบว่า “ขอรับ เป็นของผู้น้อยเอง”
หลงถิงเฟยหัวเราะลั่น เสียงหัวเราะอัดแน่นด้วยความโศกศัลย์ “ข้าไว้ใจท่านมาตลอด ท่านกลับตอบแทนข้าเช่นนี้หรือ ท่านไม่รู้สึกผิดต่อเจ้าแคว้นกับเหล่าทหารทั้งหลายบ้างหรือ”
สืออิงนึกฉงน ในใจคิดว่าเกิดอันใดขึ้น บทกวีที่ชิงไต้เขียนให้ตนมีปัญหาอันใดกระนั้นหรือ เขาหยิบจดหมายขึ้นมาอ่านอย่างไม่ทันคิด เมื่อเห็น เขาพลันตาโตอ้าปากค้าง พูดคำใดไม่ออกอีกต่อไป
หลงถิงเฟยเอ่ยอย่างเย็นชา “แต่เดิมข้ายังเชื่อว่าที่ท่านดักสังหารฉีอ๋องไม่สำเร็จเป็นเพราะเรื่องไม่คาดคิด แล้วข้าก็คิดว่าท่านสร้างปัญหาให้อู๋ตี๋เพราะทนเห็นการทุจริตเช่นนี้มิได้ แต่วันนี้ท่านจะอธิบายเช่นไร เป่ยฮั่นเคยทำผิดกับท่านที่ใด ท่านจึงทรยศแว่นแคว้นไปเข้ากับศัตรู”
หัวใจของสืออิงร้อนรนอยากจะอธิบาย แต่ยิ่งร้อนรนยิ่งยากจะคิดคำแก้ตัวออก เขาหยิบจดหมายสองฉบับนั้นขึ้นมาแต่มิอาจเอื้อนเอ่ยคำใดออกจากปากได้ อาการบาดเจ็บของเขาเดิมทีก็ยังมิหายสนิทดี เมื่อร้อนใจจึงอดกลั้นมิไหว กระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง