หากหลงถิงเฟยความคิดปลอดโปร่ง เขาต้องมองเห็นความลำบากใจของสืออิงเป็นแน่ แต่ช่วงนี้หัวใจเขาคลางแคลงแม่ทัพใต้บัญชาอยู่ก่อนแล้ว เมื่อสืออิงสร้างปัญหาให้ต้วนอู๋ตี๋ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากใจ แล้วมีคำบอกเล่าของชิวอวี้เฟยกับหลิงตวนมาเสริมก็ยิ่งทำให้เขาเชื่อสนิทใจยิ่งกว่าเดิม ดังนั้นเมื่อเห็นสืออิงมีสภาพเช่นนี้ กลับรู้สึกว่าคนผู้นี้กำลังเสแสร้งเพื่อปิดบัง น่าชังถึงที่สุด
ส่วนอีกสองคนในห้องโถง เซียวถงแต่เดิมรับผิดชอบจับตาดูแม่ทัพกับทหารในกองทัพ พบเรื่องใดมักชอบสงสัยคลางแคลงใจเสมอ ในใจเขา มนุษย์มีอยู่เพียงสองประเภท คือคนที่ทรยศไปแล้วกับคนที่จะทรยศในวันหน้า ดังนั้นเขาจึงไม่สังเกตเห็นความรู้สึกของสืออิง
ตรงกันข้ามกับต้วนอู๋ตี๋ แม้ยามนี้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากจะเอาตัวรอด แต่หัวใจมิได้มีสิ่งใดบดบังจึงมองเห็นความลำบากใจของสืออิง จึงรีบก้าวเข้าไปเอ่ยว่า “แม่ทัพใหญ่ บางทีแม่ทัพสืออาจมีความลำบากใจบางประการ ขอแม่ทัพใหญ่โปรดให้เขาได้อธิบาย จดหมายสองฉบับนี้หากเป็นคนต้ายงส่งมาจริง แม่ทัพสือเผามันทิ้งเสียก็สิ้นเรื่องแล้ว เหตุไฉนจึงต้องเก็บไว้เป็นหลักฐานด้วยเล่า”
แม้ต้วนอู๋ตี๋จะกล่าวมีเหตุผลจนหลงถิงเฟยกับเซียวถงต่างฉุกคิดขึ้นมา แต่สืออิงดันเคียดแค้นล้ำลึกยิ่งนัก เดิมทีเขาก็นึกแค้นต้วนอู๋ตี๋อยู่แล้ว วันนี้หลงถิงเฟยยังแสดงออกชัดเจนว่าเข้าข้างต้วนอู๋ตี๋อีก จดหมายสองฉบับนั้นไม่แน่อาจเป็นเซียวถงที่ยัดของใส่ร้ายก็เป็นได้ ดังนั้นด้วยความโกรธจัด เขาจึงไม่เพียงไม่ฉวยโอกาสอธิบาย กลับตอบอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ต้วนอู๋ตี๋ เจ้าไม่ต้องเสแสร้งทำเป็นหวังดี”
หลงถิงเฟยได้ยินคำนี้ ในใจยิ่งโกรธเกรี้ยว ตวาดว่า “จับสืออิงไปขังคุกนักโทษประหาร เซียวถง คุมตัวแม่ทัพคนสนิทของสืออิงทั้งหมดไว้ทันที ตรวจสอบทีละคน ดูว่ามีคนถูกเขาซื้อตัวคิดทรยศอีกหรือไม่” ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าของเขาล้วนดุดัน ต้วนอู๋ตี๋กับเซียวถงต่างหวาดหวั่นมิกล้าเอ่ยวาจาอีก
สืออิงรู้สึกระทดท้อใจ เขามองหลงถิงเฟยกับต้วนอู๋ตี๋ ในใจคิดว่า แม้ข้าฟ้องต้วนอู๋ตี๋เพราะมีเจตนาส่วนตัวแอบแฝง แต่ไม่ว่าอย่างไรต้วนอู๋ตี๋ก็ทุจริตลักลอบขนของเถื่อนจริง แม่ทัพใหญ่มิถามไถ่เรื่องนี้แต่กลับตำหนิว่าข้าทราบได้เช่นไร ยามนี้ยังนำจดหมายไม่มีที่มาที่ไปสองฉบับนี้มากล่าวโทษข้าอีก เอาเถิด ในเมื่อแม่ทัพใหญ่มีใจลำเอียง ข้าไยต้องแก้ตัวอีกเล่า
เดิมทีสืออิงก็เป็นผู้เฉยชาต่อความเป็นความตายยิ่งนักอยู่แล้ว เมื่อคิดมาถึงตรงนี้จึงไม่แม้แต่จะเอ่ยลาหลงถิงเฟย หมุนตัวหันหลังเดินออกจากห้องโถง มิสนใจว่าองครักษ์ที่ตามมาด้านหลังจะทำเช่นไร ในหัวใจเต็มไปด้วยความคับแค้นขมขื่น
หลงถิงเฟยเห็นสืออิงทำเช่นนี้ ในใจยิ่งโกรธเคือง แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นแม่ทัพผู้เลื่องชื่อแห่งยุค แม้ตกลงมาในกับดักของเจียงเจ๋อนานแล้ว แต่ใจก็ยังรู้สึกอยู่เลือนรางว่าสืออิงอาจมีความลำบากใจบางประการ จึงถามเซียวถงว่า “เซียวถง อย่างไรก็ตรวจสอบให้ละเอียดสักหน่อย ช่วงนี้เจ้าน่าจะจับตาดูสืออิงอยู่ ทราบหรือไม่ว่ามีผู้ใดเข้าใกล้เขาเป็นพิเศษ ไม่แน่จดหมายสองฉบับนั้นอาจมีคนใส่ความเขาจริงๆ ก็เป็นได้”
ต้วนอู๋ตี๋มีสีหน้ายินดีขึ้นมาโดยพลัน แม้เขาแค้นเคืองที่สืออิงสร้างความลำบากให้อย่างไร้สาเหตุ แต่ก็มิเชื่อว่าสืออิงจะทรยศไปเข้ากับฝ่ายศัตรูจริง
เซียวถงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบว่า “เรื่องนี้ผู้น้อยก็แปลกใจนักเช่นกัน ผู้คนที่แม่ทัพสือติดต่อด้วยมิมีสิ่งน่าสงสัยทั้งสิ้น เว้นเสียแต่ว่าจะมีคนสนิทใต้บัญชาของเขาคนใดลอบติดต่อกับศัตรูจึงจะส่งข่าวสารระหว่างแม่ทัพสือกับต้ายงได้ แต่นี่ก็ไม่น่าเป็นไปได้อย่างยิ่ง เพราะเรื่องเช่นนี้ต้องหารือเป็นการลับหลายครั้ง คนที่ส่งข่าวต้องออกไปด้านนอกบ่อยๆ ร่องรอยการกระทำย่อมสะดุดตาผู้อื่น แต่ผู้ใต้บัญชาของแม่ทัพสือไม่มีผู้ใดมีร่องรอยน่าสงสัยเช่นนี้
หากแม่ทัพสือส่งคนหลายคนแยกกันไปส่งข่าว นั่นก็เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ต่อให้เขาคิดกบฏก็คงให้คนสนิทล่วงรู้เพียงคน หรือสองคนเท่านั้น ไม่มีทางไม่ระมัดระวังถึงเพียงนั้นเด็ดขาด ดังนั้นจดหมายสองฉบับนี้มาอยู่ในมือแม่ทัพสือได้เช่นไรจึงยากคาดเดา
ผู้น้อยคิดว่ามิสู้เชิญแม่นางชิงไต้แห่งหอเฟยเยี่ยนมาถามความจะดีกว่า เรื่องที่ยามนี้แม่ทัพสือหลงใหลแม่นางชิงไต้ ทุกคนล้วนรู้กันสิ้น แม้ผู้น้อยตรวจสอบไม่พบว่านางมีปัญหาที่ใด แต่เรียกนางมาสอบถามก็น่าจะได้ความอันใดบ้าง”
หลงถิงเฟยพยักหน้าเบาๆ ก็แค่หญิงขับร้องนางหนึ่งเท่านั้น เป็นผู้บริสุทธิ์หรือไม่เขาย่อมไม่เก็บมาใส่ใจ ขณะที่กำลังจะตอบนั่นเอง ต้วนอู๋ตี๋ก็คุกเข่าพร้อมกับสีหน้าตระหนกลนลาน “แม่ทัพใหญ่ ชิงไต้ไม่มีทางเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ขอท่านแม่ทัพใหญ่อย่าทำให้นางลำบากเลย”
หลงถิงเฟยกับเซียวถงต่างตกตะลึง เหตุไฉนต้วนอู๋ตี๋จึงขอร้องแทนชิงไต้ ในใจทั้งสองคนนึกสงสัย จึงหันไปมองต้วนอู๋ตี๋อย่างพร้อมเพรียง
หลงถิงเฟยถามด้วยสีหน้าเย็นยะเยือกว่า “อู๋ตี๋ เหตุใดท่านจึงขอความเมตตาให้นาง หรือว่าท่านกับสตรีนางนี้มีเรื่องอันใดกัน นางมิใช่คนรักของสืออิงหรอกหรือ”
ต้วนอู๋ตี๋ละล้าละลัง ในที่สุดจึงตอบว่า “ผู้น้อยมิกล้าปิดบังแม่ทัพใหญ่ รัชศกหรงเซิ่งปีที่สิบเจ็ดผู้น้อยถูกขับออกจากเมืองหลวงส่งมาเป็นทหารที่ไต้โจว แต่ระหว่างทางผู้มีอำนาจที่ผู้น้อยล่วงเกินส่งคนมาตามสังหาร ผู้น้อยบาดเจ็บหนักพลัดตกลงไปในแม่น้ำจนเกือบวายชีวา โชคยังดีแม่นางชิงไต้ช่วยเหลือไว้ นางไม่เกรงคำครหา ดูแลทั้งวันทั้งคืน ผู้น้อยจึงรักษาชีวิตเอาไว้ได้ บุญคุณเช่นนี้ผู้น้อยมิกล้าลืมเลือน แม่ทัพสือหลงรักชิงไต้หาใช่ความผิดของนางไม่ ขอแม่ทัพใหญ่อย่าได้กล่าวโทษนางเลย”
หลงถิงเฟยกับเซียวถงสบตากัน เซียวถงวางหน้าไม่สนิท “แม่ทัพต้วน รัชศกหรงเซิ่งปีที่สิบเจ็ด ท่านอายุเพียงยี่สิบห้าปี แม่นางชิงไต้เวลานั้นก็คงอายุเพียงสิบเจ็ดปี หรือว่าพวกท่านสองคนมีความสัมพันธ์ลับๆ ต่อกัน”
ต้วนอู๋ตี๋หน้าแดง เขาทราบว่าเซียวถงมิได้ต้องการซักไซ้เรื่องส่วนตัวของเขา แต่เพราะชิงไต้เกี่ยวพันกับคดีของสืออิง ยามนี้ยังจะมีความสัมพันธ์กับตนอีก เซียวถงย่อมต้องสอบสวนให้กระจ่างแจ้ง แต่เรื่องระหว่างเขากับชิงไต้เป็นความลับ เขากังวลว่าหลังจากเล่าออกมาจะทำร้ายชิงไต้ จึงลังเลตัดสินใจมิได้ มิอาจเล่าออกมา
หลงถิงเฟยเอ่ยอย่างนิ่งสงบ “ท่านวางใจเถิด ข้าไม่มีทางตัดสินความผิดผู้ใดตามใจ ขอเพียงแม่นางชิงไต้มิใช่สายลับของต้ายง แม้จะลำบากบ้าง แต่มิจำเป็นต้องห่วงชีวิต”
ในใจต้วนอู๋ตี๋ยิ่งกังวล แต่สถานการณ์เช่นนี้ เขามิอาจไม่พูด จึงได้แต่เอ่ยปากเล่า “ผู้น้อยกับชิงไต้พบพานกันในยามยาก นานวันเข้าก็เกิดความรัก ยามนั้นผู้น้อยท้อแท้กับการเป็นขุนนาง พวกเราสัญญาว่าจะแต่งงานกัน ชิงไต้ไม่พอใจราชสำนักเพราะความแค้นของตระกูล จึงขอให้ผู้น้อยปลีกหนีจากโลกไปด้วยกันกับนาง ดีที่สุดออกจากเป่ยฮั่นแล้วมิต้องย้อนกลับมาอีก
ทว่าหลังจากผู้น้อยอาการดีขึ้นได้พบสหายสนิทในกองทัพ เขาตำหนิผู้น้อยอย่างรุนแรงว่าเนรคุณต่อบ้านเมืองเพราะความรักและความแค้นส่วนตัว ผู้น้อยนึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง จึงบอกความในใจกับชิงไต้จนหมดสิ้น หลังจากนั้นพวกเราสองคนจึงทะเลาะกัน ผู้น้อยหวังว่าชิงไต้จะเดินทางไปไต้โจวด้วยกัน แม้ไต้โจวจะอยู่ลำบาก แต่ผู้น้อยไม่มีทางปล่อยให้ชิงไต้มีชีวิตลำเค็ญ ชิงไต้เองก็ไม่ใช่สตรีอ่อนแอผู้มิอาจลำบากทนลมทนพายุ
แต่ผู้น้อยถูกชิงไต้ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด นางกล่าวว่าราชสำนักไม่มีบุญคุณกับนาง ต่อให้มิเป็นศัตรูก็ไม่มีทางกลับมาภักดีต่อราชสำนักได้ นางยืนกรานขอให้ผู้น้อยจากไปพร้อมนาง แต่สุดท้ายผู้น้อยก็เป็นคนลืมบุญคุณ แยกทางเดินกับนาง ชิงไต้จากไปอย่างเด็ดเดี่ยว นับจากนั้นพวกเราสองคนจึงสิ้นบุญคุณหมดเยื่อใยต่อกัน
วันนี้แม้ชิงไต้จะเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ผู้น้อยทั้งติดค้างบุญคุณเก่าก่อน แล้วยังมีความรู้สึกที่วางไม่ลง จึงขอแม่ทัพใหญ่เห็นแก่หน้าผู้น้อย หากชิงไต้ไม่เกี่ยวข้องกับต้ายง ก็ขอให้เมตตานางผู้เป็นสตรีตัวคนเดียว อย่าได้กล่าวโทษนางเลย”
หลงถิงเฟยถอนหายใจกล่าวว่า “เรื่องนี้ก็มิแปลก ข้าเคยได้ยินเรื่องของสตรีนางนี้มาบ้าง ตระกูลของนางล่มสลายผู้คนตายจาก มิแปลกที่นางจะขุ่นเคืองราชสำนัก หากนางไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่สืออิงทรยศ ข้าก็จะไม่สร้างความลำบากให้นาง”
เซียวถงทำหน้าประหลาด เอ่ยขึ้นว่า “แม่ทัพใหญ่ แม่ทัพต้วน หรือสาเหตุที่แม่ทัพสือเคียดแค้นแม่ทัพต้วนล้ำลึกจะเป็นเพราะไม่นานมานี้แม่ทัพสือตกหลุมรักแม่นางชิงไต้ แต่ทราบความหลังระหว่างทั้งสองคนเข้าจึงคิดแค้นท่านแม่ทัพ หากเป็นเช่นนี้ก็ไม่แน่ว่าแม่ทัพสือจะทรยศจริง ผู้น้อยรู้สึกว่าแม่นางชิงไต้เหมือนจะมีบางสิ่งผิดปกติ ขอแม่ทัพต้วนโปรดอภัย แต่เกรงว่าผู้น้อยคงต้องสอบสวนแม่นางชิงไต้อย่างเข้มงวด”
คำพูดนี้ของเขาราวกับหิมะเย็นเฉียบ ทำให้หัวใจของต้วนอู๋ตี๋เย็นยะเยือกดั่งน้ำแข็ง หลงถิงเฟยฉุกคิดอันใดขึ้นมาได้ เมื่อครุ่นคิดอย่างละเอียดแล้ว หลักฐานที่สืออิงทรยศ นอกจากข้อสงสัยนานาประการแล้วก็มีเพียงจดหมายสองฉบับ หากมิใช่เพราะสิ่งที่พวกชิวอวี้เฟยพบเห็นกับเรื่องที่สืออิงสร้างปัญหาให้ต้วนอู๋ตี๋ ตนก็คงจะไม่แน่ใจปานนี้ว่าสืออิงทรยศ แต่ความคิดนี้ผ่านมาเพียงแวบเดียวก็ผ่านไป หลงถิงเฟยเชื่ออยู่ในใจมานานแล้วว่าข้างกายมีแม่ทัพตำแหน่งใหญ่ทรยศ หากมิใช่สืออิง จะเป็นต้วนอู๋ตี๋หรือ
ดังนั้นเขาจึงเพียงเอ่ยอย่างเย็นชา “เจ้าไปสอบสวนมาเถิด แต่อย่าใช้ทัณฑ์ทรมาน ในเมื่อชิงไต้เลื่องชื่อลือชาในความหยิ่งทะนง ถ้าเช่นนั้นนางคงมิชอบกล่าวคำลวงปกปิด ถามให้ชัดว่านางถูกคนบงการให้ส่งจดหมายอันใดให้สืออิงหรือไม่”
เซียวถงขานรับ ขณะที่กำลังจะออกไปจัดการ ทันใดนั้นองครักษ์สองนายที่คุมตัวสืออิงออกไปก็พุ่งพรวดเข้ามาตะโกนรายงานเสียงดัง “แม่ทัพใหญ่ แย่แล้วขอรับ จู่ๆ แม่ทัพสือก็ลงมือโจมตีพวกเราจนสลบ หลบหนีไปแล้ว”
ทั้งสามคนในห้องโถงได้ยินต่างนิ่งอึ้ง ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าสืออิงจะหลบหนีในเวลานี้ แม้หลงถิงเฟยออกคำสั่งให้จับตัวสืออิงเอาไว้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังมิได้ประกาศความผิดของเขาต่อหน้าผู้คน ถึงสืออิงทรยศจริงก็มิใช่หมดโอกาสกอบกู้ความเชื่อใจของหลงถิงเฟยกลับคืน แต่จู่ๆ หลบหนีไปเช่นนี้ ต่อให้เดิมทีหลงถิงเฟยเชื่อว่าเขาบริสุทธิ์ ยามนี้ก็ไม่มีทางคิดเป็นอื่นได้อีกแล้ว มิหนำซ้ำหลงถิงเฟยแต่เดิมก็เชื่อว่าสืออิงคิดทรยศอยู่แล้วอีก
หลงถิงเฟยสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วออกคำสั่ง “ถ่ายทอดคำสั่งข้า ปิดประตูเมืองทั้งสี่ให้แน่นหนา ออกค้นในตัวเมือง จักต้องจับเป็นสืออิงให้จงได้”
เซียวถงตอบรับอย่างเย็นชา “แม่ทัพใหญ่โปรดวางใจ ผู้น้อยกับศิษย์น้องชิวจะลงมือด้วย ไม่มีทางปล่อยให้เขาหนีไปได้แน่”
เซียวถงผลุนผลันออกจากห้องโถง ไม่นานด้านนอกก็มีเสียงแตรสัญญาณ นี่คือการส่งสัญญาณไปยังประตูเมืองทั้งสี่ หมายความว่ายามนี้เมืองชิ่นโจวเข้าสู่การควบคุมของกองทัพ ประชาชนทั้งหมดต้องปิดบ้านไม่ออกมา สามสี่ปีที่ผ่านมาชิ่นโจวไม่เคยเกิดสถานการณ์เช่นนี้ ทหารและประชาชนทั่วทั้งเมืองหวั่นใจอย่างห้ามมิได้ ส่วนในจวนแม่ทัพใหญ่ หลงถิงเฟยสีหน้าเย็นยะเยือกเฉยชา เขารู้สึกเหนื่อยล้ายิ่งนัก หลายปีที่ผ่านมาคุมกองทัพออกศึก เขายังไม่เคยรู้สึกเดียวดายและว่างเปล่าเช่นตอนนี้
ซูติ้งหลวนสิ้นใจในนครหลวงต้ายง ถานจี้วายชีวาที่เจ๋อโจว เรื่องเหล่านี้ทำให้เขาเจ็บปวดดั่งสูญเสียแขนขา การทรยศของสืออิง การต้องโทษของต้วนอู๋ตี๋ ยิ่งทำให้เขารู้สึกดั่งถูกหักปีกหมดสิ้น การสูญเสียยอดแม่ทัพคนสนิทผู้คอยเป็นกำลังทำให้หลงถิงเฟยหมดความมั่นใจในการสังหารศัตรูคว้าชัยชนะเป็นครั้งแรก
เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยกับต้วนอู๋ตี๋ “ข้าตัดสินใจแล้ว หลังจากจับตัวสืออิงได้ ข้าจะบอกว่าเขาใส่ร้ายท่านให้ต้องโทษ เมื่อเป็นเช่นนี้เรื่องนี้ก็ยังพอปิดบังต่อได้ ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ต้องใช้คน เจ้าแคว้นกับขุนนางคนสำคัญในราชสำนักคงรู้ความหนักเบาของสถานการณ์
อีกประการหนึ่ง การกระทำของท่านก็เป็นสิ่งที่ข้าอนุญาตอยู่กลายๆ เห็นแก่หน้าข้า คงไม่มีผู้ใดสืบสาวเอาความเรื่องนี้ ยามนี้สี่แม่ทัพข้างกายข้าเหลือท่านเพียงคนเดียว อู๋ตี๋ ท่านอย่าทรยศความพยายามของข้า อย่าได้ตายก่อนหน้าข้าเป็นอันขาด”
ต้วนอู๋ตี๋พลันปวดร้าวใจนัก หยดน้ำตาพรั่งพรูดุจน้ำพุ แม้เขาไม่คำนึงถึงชื่อเสียง การทุจริตลักลอบขนของเถื่อนล้วนทำเพื่อเป่ยฮั่น แต่เขาก็ทราบดีว่าหากเรื่องนี้ถูกเปิดโปง ตนเองย่อมเลี่ยงชื่อเสียงมัวหมองมิได้ ต่อให้มิตายก็คงสูญเสียตำแหน่งในกองทัพ คิดไม่ถึงว่าหลงถิงเฟยกลับตัดสินใจรับคำตำหนิเอาไว้เอง ความใส่ใจและการปกป้องเช่นนี้ แม้นตนตายก็ยากจะตอบแทนหมด เขาคุกเข่าสองข้างลงกับพื้นร่ำไห้เอ่ยว่า “ผู้น้อยรับบัญชา ผู้น้อยสาบานว่าจะสละตนเพื่อแว่นแคว้น พิทักษ์แผ่นดินมาตุภูมิ แม้ร่างแหลกเป็นผุยผงก็มินึกเสียใจ”
หยดน้ำตาแวววาวคลออยู่ในดวงตาของหลงถิงเฟยเช่นกัน เขาฝืนกลั้นไว้แล้วกล่าวว่า “ยามนี้สถานการณ์วิกฤต เมื่อแผ่นดินโกลาหลจึงมองเห็นขุนนางภักดี ตระกูลของถิงเฟยติดค้างบุญคุณแว่นแคว้น เดิมทีตระกูลหลงเป็นแม่ทัพในสังกัดตระกูลหลิว ยามนี้ได้รับแต่งตั้งยศฐา ชื่อเสียงเลื่องลือทั่วใต้หล้าล้วนเป็นเพราะเจ้าแคว้นเมตตาพระราชทาน บุญคุณนี้ ความเมตตานี้ ชาตินี้ยากลืมเลือน แม้ต้ายงกำลังกล้าแข็ง แต่ตระกูลหลงไม่มีเหตุผลให้ก้มหัวยอมจำนนเป็นอันขาด
ยิ่งไปกว่านั้น เป่ยฮั่นของเรากับต้ายงทำสงครามมานานปี สองฝ่ายต่างบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน แม้แต่เชื้อพระวงศ์ต้ายงหลายคนที่เป็นแม่ทัพก็เคยตายตกใต้กำแพงเมืองจิ้นหยาง หากเป่ยฮั่นพ่ายแพ้ล่มสลาย เกรงว่าประชาชนแคว้นเราคงต้องตกเป็นทาสผู้อื่น ลูกหลานไม่มีโอกาสเงยหน้าอ้าปากอีกต่อไป
อู๋ตี๋ แม้ท่านมีชาติกำเนิดยากแค้น ทั้งยังถูกขัดขวางหลายครั้งหลายหน แต่เจ้าแคว้น แม่ทัพใหญ่หลินกับตัวข้าล้วนทำดีต่อท่าน ท่านอย่าทรยศความคาดหวังของข้า หากมีสักวันหนึ่ง ข้าสิ้นใจในสนามรบ นอกจากองค์หญิงจยาผิง เป่ยฮั่นคงไม่มีผู้ใดค้ำจุนสถานการณ์ได้อีก ถึงเวลาท่านจงทุ่มกำลังทั้งหมดช่วยเหลือองค์หญิงกอบกู้วิกฤต อย่าปล่อยให้ประชาชนเป่ยฮั่นของพวกเราล้มตายใต้คมดาบของต้ายง”
ต้วนอู๋ตี๋เจ็บปวดหัวใจ กล่าวว่า “แม่ทัพใหญ่อย่าได้เอ่ยเช่นนี้ แม้แคว้นเราตกอยู่ในวิกฤต แต่มิใช่ว่าจะไม่มีโอกาสพลิกสถานการณ์ แม่ทัพใหญ่อย่าได้กล่าวถึงความตายง่ายๆ ในหัวใจผู้น้อยมีแต่ความจงรักภักดี ขอเพียงอู๋ตี๋ยังอยู่วันหนึ่ง จะมิมีวันทรยศบ้านเมืองเป็นอันขาด”
หลงถิงเฟยถอนหายใจ กล่าวขึ้นว่า “ท่านจงไปช่วยเซียวถง ต้องจับตัวสืออิงกลับมาให้จงได้ ข้าต้องรู้ว่าเขาแพร่งพรายความลับของกองทัพไปเท่าใดแล้ว”
ต้วนอู๋ตี๋ขานรับแล้วถอยออกไป หลงถิงเฟยยกมือขึ้นกุมหน้าผาก รู้สึกเหนื่อยล้าทั้งกายใจ