ภาค-5 ตอนที่ 9 ดักซุ่มสิบทิศ (2)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

ภายในหอเฟยเยี่ยน ชิงไต้นั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้อง มืออุ้มผีผาพลางดีดสายเครื่องดนตรีเป็นระยะ ทว่ากลับบรรเลงขาดเป็นห้วงๆ มิเป็นเพลงอยู่ตลอด หญิงรับใช้มิกล้าเข้ามารบกวนด้วยคิดว่านางกำลังประพันธ์บทเพลงอยู่ แต่กลับมิทราบว่าชิงไต้มิได้ประพันธ์บทเพลงใด ในหัวใจนางคิดคำนึงถึงแต่สืออิง

ทันใดนั้น ด้านนอกก็มีเสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้น หญิงรับใช้กล่าวอย่างร้อนรน “แม่ทัพสือ แม่นางกำลังประพันธ์บทเพลงอยู่ แจ้งว่ามิต้องการพบแขก” กล่าวยังมิทันจบ นอกประตูก็มีเสียงฝีเท้ารีบร้อนดังขึ้น หลังจากนั้นประตูก็ถูกผลักเปิด สืออิงยืนอยู่ด้านนอกพร้อมกับสีหน้านิ่งสงบ แต่ชิงไต้มองเห็นความท้อแท้และสิ้นหวังลึกลงไปในดวงตาของเขา

สืออิงมองชิงไต้ผู้มีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยแล้วเอ่ยเสียงกังวาน “ชิงไต้ ข้าเข้าไปได้หรือไม่”

ชิงไต้เดิมคิดจะปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นแววตาของเขาก็มิทราบเกิดอันใดขึ้น ใจอ่อนขึ้นมา จึงเอ่ยเสียงเบาว่า “เชิญท่านแม่ทัพ”

สืออิงเดินเข้าไปในห้องแล้วมองชิงไต้อย่างไม่หวั่นเกรงแม้แต่น้อย ภายในห้องอบอุ่นดั่งฤดูใบไม้ผลิ เวลานี้นางสวมเพียงอาภรณ์ตัวบางสีเขียวตัวหนึ่ง เรือนร่างระหงอ้อนแอ้นปรากฏวับแวม เส้นผมดำขลับเป็นประกายทิ้งตัวสยายอยู่บนหัวไหล่ ยิ่งแลดูอรชรงดงามสะกดผู้คน อาจเป็นเพราะอยู่ตามลำพัง สีหน้าหยิ่งทะนงแต่เดิมของนางจึงกลับกลายเป็นอ่อนโยนอบอุ่น ทำให้นางในยามนี้ไม่เหลือความเย็นชาหยิ่งยโสเช่นก่อนหน้า หัวใจของสืออิงเศร้าสลด กี่คืนที่ใจพร่ำเพ้อต้องการเห็นชิงไต้ในสภาพเช่นนี้ ทว่าวันนี้ได้เห็น ทุกสิ่งล้วนมิเหมือนเดิมอีกต่อไป

ชิงไต้ขมวดคิ้วเล็กน้อย แววตารุ่มร้อนและโศกสลดของสืออิงทำให้นางไม่สบายใจ นางวางผีผาในมือลง คิดจะเดินไปหยิบผ้าคลุมด้านข้าง แต่นางเพิ่งขยับได้เพียงนิดเดียว สืออิงก็มาถึงตรงหน้านางแล้ว หลังจากนั้นเรือนร่างอรชรของนางก็ถูกสืออิงกอดเข้าไปในอ้อมแขนแนบแน่น ชิงไต้ตกใจคิดจะลงมือโจมตีสวนกลับ ทว่ามือเรียวงามของนางเพิ่งยกขึ้นมาก็ต้องทิ้งกลับลงไปอีกหน เพราะนางสัมผัสได้ว่าสืออิงมิได้มีเจตนาลวนลามนาง สืออิงเพียงกอดนางไว้ในอ้อมแขนเท่านั้น นางสัมผัสได้ถึงน้ำตาที่หลั่งรินลงบนเรือนผมของตนเอง

ตลอดมาชิงไต้ครองตัวพิสุทธิ์ประหนึ่งหยก แม้เคยกล่าวว่าตนถูกต้วนอู๋ตี๋ย่ำยี แต่ความจริงแล้วนางยังคงบริสุทธิ์ผุดผ่อง หลังจากตื่นตระหนกตอนแรก ชิงไต้พลันรู้สึกว่าตนเองเมามายกับกลิ่นอายบุรุษอันแข็งแกร่งนั่น ทว่าทันใดนั้นนางก็พลันได้สติกลับมา ชิงไต้ยื่นมือผลักสืออิงออก ในเมื่อระหว่างพวกเขาสองคนดั่งกั้นกลางด้วยห้วงนที แล้วไยต้องปล่อยให้ตนเองหวั่นไหวด้วยเล่า

ครั้งนี้สืออิงปล่อยให้ตนเองถูกนางผลักออกโดยมิขัดขืน เขาหันหลังกลับไป เมื่อหันกลับมาอีกหนก็มองไม่ออกแล้วว่าเมื่อครู่เคยหลั่งน้ำตา สืออิงคลี่ยิ้มน้อยๆ “ชิงไต้ ข้ากำลังจะออกเดินทางไกล มิทราบว่าเจ้าจะดีดผีผาให้ข้าสักเพลงได้หรือไม่”

ชิงไต้เอ่ยน้ำเสียงนิ่งสงบ “ท่านแม่ทัพต้องการฟังบทเพลงใด”

ความคิดของสืออิงมิเคยชัดเจนกระจ่างเช่นนี้มาก่อน หลังออกจากห้องโถงจวนแม่ทัพ เขาก็พลันเข้าใจมากมายหลายสิ่ง เขามองดูสตรีผู้ที่เขาไม่มีวันตัดใจทำร้ายได้แล้วตอบอย่างผ่อนคลาย “ชิงไต้ ข้ามิทราบว่าเหตุใดบทกวีที่เจ้าแต่งให้ข้าจึงถูกคนสับเปลี่ยน และข้าก็ไม่ล่วงรู้ว่าระหว่างเจ้ากับอู๋ตี๋มีบุญคุณความแค้นอันใด ถึงขนาดมิทราบว่าตัวตนที่แท้จริงของเจ้าคือผู้ใด ทว่าข้าทราบว่าข้าหลงรักเจ้าอยู่เพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น ยามนี้ข้าโต้แย้งอันใดมิได้อีกแล้ว เจ้าถือเสียว่าเวทนาข้า บรรเลงเพื่อข้าสักเพลงได้หรือไม่”

สีหน้าชิงไต้ชะงักไปวูบหนึ่ง ก่อนจะหยิบผีผาขึ้นมาอย่างแผ่วเบา นางมิกล่าววาจา สีหน้าเย็นยะเยือกขณะที่นิ้วเรียวยาวกดลงบนส่วนหัวของคันผีผา ตรงนั้นซ่อนกลไกลับไว้ ยิงเข็มพิษอันเป็นอาวุธลับออกมาได้

สืออิงขยับยิ้มอย่างไม่ทุกข์ร้อน กล่าวว่า “เจ้ามิต้องกังวล หากข้าเจตนาจะทำร้ายเจ้า เมื่อครู่ก็คงลงมือแล้ว ข้ามิกล่าวโทษเจ้า ข้าเป็นผู้ตัดสินใจจะเล่นงานต้วนอู๋ตี๋เอง มิว่าอย่างไรเรื่องที่เขารับสินบนลักลอบขนของเถื่อนก็เป็นความจริง น่าเสียดายข้าคิดไม่ถึงว่าแม่ทัพใหญ่จะลำเอียงเข้าข้างเขา เพียงจดหมายสองฉบับก็ทำให้เขาสงสัยความภักดีของข้า ชิงไต้ ข้าท้อแท้สิ้นหวังแล้ว ก่อนวายชีวา ปรารถนาเพียงได้ฟังเจ้าบรรเลงเพลงสักบท เช่นนี้แล้วเจ้ายังมิยอมรับปากอีกหรือ”

ดวงตาของชิงไต้ฉายแววเศร้าโศก นางตอบอย่างนิ่งสงบ “ชิงไต้ละอายใจต่อท่านแม่ทัพ ยินดีบรรเลงให้แม่ทัพสักเพลง”

สืออิงจ้องมอง สีหน้าเย็นชาของชิงไต้แฝงท่าทางไร้ไมตรี เขาเจ็บปวดหัวใจ ทราบดีว่าสตรีนางนี้มิมีใจให้ตน แต่เพียงเห็นดวงหน้างามพิสุทธิ์ดั่งดอกเหมยกลางหิมะเหมันต์ดวงนั้น เขาก็ลุ่มหลงตกอยู่ในบ่วงเสน่หา

ชิงไต้นั่งอยู่บนเก้าอี้ ดีดผีผาแผ่วเบา นิ้วเรียวกรีดย้อนสายผีผาแล้วไล่ดีด เสียงดนตรีกังวานทรงพลัง ก้องกระหึ่มทั่วฟ้าดินปลุกเร้าให้หัวใจคนฮึกเหิม สืออิงถอนหายใจแผ่วเบา เขารู้จักบทเพลง ‘ดักซุ่มสิบทิศ’ เพลงนี้ วันนั้นยามแรกพบ ชิงไต้ก็กำลังบรรเลงเพลงบทนี้อยู่ แล้วก็เป็นภาพนั้นเองที่ทำให้เขาตกหลุมรักจนมิอาจถอนตัว ชิงไต้เคยอธิบายบทเพลงนี้ให้เขาฟัง สืออิงจึงทราบดีว่าท่อนนี้คือท่อนแรกนามว่า ‘ตั้งค่าย’ ช่างถ่ายทอดบรรยากาศยามตั้งค่ายออกมาได้หมดสิ้น ทั้งเสียงผู้คนอึกทึกครึกโครม กลองศึกย้ำสามจังหวะ ปืนใหญ่ลั่นพร้อมเพรียง อาชาห้อตะบึง

จากนั้นเสียงดนตรีพลันเปลี่ยนเป็นท่วงทำนองฟังดูยิ่งใหญ่ ชวนให้คนเหมือนจะเห็นภาพกองทหารอันเป็นระเบียบเคลื่อนทัพอย่างทรงพลัง หลังจากนั้นจังหวะก็เปลี่ยนกลายเป็นคึกคักฮึกเหิม แม้สืออิงเคยฟังเพียงไม่กี่หนก็ทราบว่าเข้าสู่ท่อนที่สามนามว่า ‘สั่งการแม่ทัพ’ แล้ว

สืออิงเมามายอยู่ในเสียงดนตรีอันสั่นสะเทือนหัวใจดั่งมิรู้วันคืน หลังจากผ่านท่อน ‘ดักซุ่ม’ กับ ‘ศึกเล็ก’ ในที่สุดก็มาถึงช่วงที่ยอดเยี่ยมที่สุดของบทเพลงนี้ สิบนิ้วของชิงไต้ประหนึ่งโบยบิน สำแดงทักษะออกมาจนหมด เสียงตะโกนและเสียงกรีดร้องของพันทหารหมื่นอาชากับสงครามอันดุเดือดที่คมดาบคมกระบี่สัประยุทธ์สะท้านฟ้าสะเทือนดินดั่งปรากฏอยู่ตรงหน้า

สืออิงนั่งตัวตรง นี่เป็นท่อนที่เขาชอบที่สุด ทุกครั้งที่ฟังมาถึงท่อนนี้ เขาล้วนต้องกระดกสุราจอกใหญ่สักจอก เขาทนมิไหวหันมองรอบด้าน จึงเห็นบนโต๊ะริมหน้าต่างมีกาสุราวางอยู่ เขาสาวเท้าก้าวเข้าไปแต่มิได้รินสุรา กลับยกกาสุราขึ้นดื่มให้สาแก่ใจ แล้วถือโอกาสเปิดหน้าต่าง เมื่อเห็นเงาหลายร่างแวบผ่านด้านหลังต้นสนเขียวครึ้มก็ยิ้มละไม เวลานี้คนที่มาตามจับตนน่าจะมาถึงด้านนอกแล้ว มิรู้ว่าตนจะได้ฟังบทเพลงจนจบหรือไม่ ตอนนี้เอง เสียงบรรเลงก็แปรเปลี่ยนอีกหน กลายเป็นอึมครึมเศร้าสลด สืออิงสะท้านใจ ท่อนนี้เขามิเคยฟังมาก่อน ทว่าเพียงชั่วพริบตาเขาก็ทราบว่าบทเพลงท่อนนี้ก็คือท่อน ‘ปลิดชีพริมฝั่งอูเจียง’ ที่ชิงไต้มิเคยยอมบรรเลง

ชิงไต้มีนิสัยประหลาด ที่ผ่านมาชิงไต้จะบรรเลงบทเพลงดักซุ่มสิบทิศเพลงนี้ถึงเพียงท่อน ‘มหาศึกเขาเก้าลี้’ เสมอ ท่อนต่อมาที่ชื่อว่า ‘ปลิดชีพริมฝั่งอูเจียง’ ชิงไต้กลับมิเคยบรรเลง นางมักบอกว่าสามท่อนสุดท้ายของท่อน ‘ปลิดชีพริมฝั่งอูเจียง’ บรรเลงยากเย็นเกินไป นางมิชมชอบเล่น อีกทั้งท่อน ‘ปลิดชีพริมฝั่งอูเจียง’ ก็โศกสลดเหลือเกิน ไม่เป็นมงคล ดังนั้นนางจึงมิยอมเล่น คิดไม่ถึงวันนี้ชิงไต้กลับบรรเลงท่อนนี้เพื่อเขา

‘ปลิดชีพริมฝั่งอูเจียง’ ชิงไต้ออกจะยกยอตนเกินไปแล้ว สืออิงยิ้มขมขื่นดื่มสุราร้อนแรงในกาคำเดียวหมด เวลานี้ดวงตาของสืออิงมองเห็นเงาของเซียวถงแล้ว ด้านหลังเขามีชายหนุ่มอาภรณ์สีดำยืนมือไพล่หลังอยู่ เพียงมองจากท่าทางก็ทราบว่าต้องเป็นยอดฝีมือแน่ มิต้องบรรเลงลำนำแคว้นฉู่ เขาก็ทราบว่าตนเองตกอยู่ในสถานการณ์จนตรอก

เสียงบรรเลงหยุดชะงัก ชิงไต้เงยหน้าขึ้น สายตาประหนึ่งน้ำแข็งมองมาหาสืออิง เดิมทีคิดว่าเป็นเพียงความรู้สึกลวงหลอก แต่บุรุษผู้หยาบกระด้างและตรงไปตรงมาผู้นี้กลับรักตนจากใจจริง นางเคยเคียดแค้นคนที่ทรยศความรักผู้นั้นยิ่งนัก คนผู้นี้ก็จะเคียดแค้นตนที่ทรยศความรู้สึกของเขาเช่นเดียวกันใช่หรือไม่

สืออิงเดิมทีเป็นคนมุทะลุ แต่ในยามนี้ความคิดของเขากลับกระจ่างชัดแจ้งดั่งบานกระจกจนมองทะลุความในใจของชิงไต้ เขาก้าวไปข้างกายชิงไต้ กุมมือเรียวงามของนางไว้แล้วคลี่ยิ้ม “เรื่องนี้มิโทษเจ้า แม่ทัพใหญ่แต่เดิมคงคลางแคลงใจอยู่แล้ว มิเช่นนั้นคงไม่ตัดสินใจเร็วเช่นนี้”

ชิงไต้เอ่ยเสียงเบา “แข็งมากไปย่อมหักง่าย ท่านไยต้องทำเช่นนี้เล่า”

สืออิงรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ทราบว่าชิงไต้กำลังกล่อมให้ตนยอมจำนนแก่หลงถิงเฟยแล้วอธิบายให้กระจ่าง แม้เขารู้ชัดยิ่งนักว่าชิงไต้มิมีใจให้ แต่ความใจอ่อนเพียงน้อยนิดเช่นนี้ก็ทำให้หัวใจเขาพึงพอใจแล้ว สืออิงแต่เดิมก็เป็นคนแข็งกร้าวตรงไปตรงมา สำหรับเขาแล้วความคลางแคลงใจของหลงถิงเฟยเพียงพอทำลายความเชื่อมั่นทั้งหมดของเขาแล้ว และความไร้ไมตรีของชิงไต้ก็ทำให้เขาไร้ความปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ต่อ

ยามนี้เสียงถมึงทึงของเซียวถงก็ดังมาจากนอกประตู “แม่ทัพสือ แม่ทัพใหญ่มีคำสั่งเรียกท่านไปพบเขา หากท่านมิต้องการให้แม่นางชิงไต้เข้ามาพัวพันด้วย ก็ออกมาด้วยตนเองเสียเถิด”

หัวใจชิงไต้สั่นไหว มือของนางเอื้อมไปจับส่วนหัวของคันผีผาอีกครั้ง หากสืออิงเปลี่ยนความคิดตัดสินใจยอมจำนนเล่าเรื่องราวให้หลงถิงเฟยฟัง ผลลัพธ์ที่ตนเปลี่ยนแผนการโดยพลการย่อมหนักหนาเกินไปแล้ว ถ้าเช่นนั้นหนทางเดียวที่มีก็คือสังหารสืออิงเสียเดี๋ยวนี้เพื่อกอบกู้สถานการณ์ แต่สืออิงกลับยิ้มละไมตอบเสียงกังวานว่า “เรื่องของข้าหาได้เกี่ยวข้องกับชิงไต้ ท่านเซียวเชิญเข้ามาพูดคุยกัน”

เซียวถงขมวดคิ้วเล็กน้อย การตามหาสืออิงมิได้ยากลำบากเพราะเขาไม่ปิดบังร่องรอยสักนิด แต่ตรงดิ่งมายังหอเฟยเยี่ยน หากคนผู้นี้อาศัยที่ลับตาซ่อนกับดักคงจะมิดีต่อตนเอง เขาไม่คิดประมาทเอาตัวไปเสี่ยงอันตราย เวลานี้เอง ภายในห้องพลันมีเสียงร้องตกใจของหญิงสาวดังขึ้น เซียวถงตกใจ กำลังจะก้าวเข้าไป ชิวอวี้เฟยศิษย์น้องที่อยู่ด้านหลังก็พุ่งแซงตนไปก่อน ทะยานร่างเข้าไปในห้องของชิงไต้

เมื่อเซียวถงเข้ามาด้านในก็เห็นสืออิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ มีดสั้นเล่มหนึ่งแทงลึกเข้าไปในท้องน้อย มือขวาของสืออิงวางอยู่บนด้ามมีด พอเห็นเซียวถงเข้ามา สืออิงก็ยิ้มน้อยๆ ออกแรงกรีดมีดสั้น เซียวถงทนมองมิได้ต้องหันหน้าหนี เขาทราบดีว่าทำเช่นนี้ อวัยวะภายในของสืออิงย่อมแหลกเละจนหมด มิมีโอกาสรอดอีกต่อไป โลหิตเจิ่งนอง มือซ้ายอาบโลหิตของสืออิงชี้ชิงไต้ แล้วกล่าวว่า “อย่าลากนางมาเกี่ยว” กล่าวจบก็สิ้นใจจากไปอย่างรวดเร็ว

ชิงไต้หน้าซีดเผือด นางมิเคยคิดมาก่อนว่าความตายของบุรุษผู้นี้จะทำให้ผู้ไร้หัวใจและไร้ความรักเช่นตนรู้สึกเจ็บปวดโศกเศร้าขึ้นมา นางถือผีผาขึ้นมา สิบนิ้วกรีดเบาๆ บทเพลงสร้อยเศร้าสะเทือนใจดังก้องภายในห้อง เมื่อบทเพลงจบลง ชิงไต้ก็เช็ดหยดน้ำตา สีหน้ากลับมาเยือกเย็นประหนึ่งหิมะ

เซียวถงเดินมาข้างกายนางแล้วเอ่ยอย่างมีมารยาท “แม่นางชิงไต้ เรื่องของแม่ทัพสือเกี่ยวพันถึงแม่นาง ขอเชิญแม่นางกลับไปกับพวกข้าก่อน หากแม่นางมิเกี่ยวข้อง พวกข้าจะคืนอิสระให้แม่นางโดยเร็ว”

ชิงไต้ตอบรับอย่างนิ่งสงบ “ผู้น้อยมิกล้าปฏิเสธ โปรดอนุญาตให้ผู้น้อยได้ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์”