บทที่ 706 ซูเสี่ยวเถียนตั้งใจอ่านหนังสือ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 706 ซูเสี่ยวเถียนตั้งใจอ่านหนังสือ

บทที่ 706 ซูเสี่ยวเถียนตั้งใจอ่านหนังสือ

เวลาห้าโมงสี่สิบนาทีซูเสี่ยวเถียนบอกกับพวกฉู่เยว่ว่า ตัวเองมีนัดกับคนอื่นแล้วไว้ครั้งหน้าค่อยออกไปกินข้าวข้างนอกด้วยกัน

ทั้งยังบอกเป็นพิเศษว่าวันนี้เป็นวันแรกให้แต่ละคนไปกินข้าวกันเอง พอวันที่สองค่อยมารวมตัวกินข้าวด้วยกัน

ความคิดของฉู่เยว่คล้ายกับซูเสี่ยวเถียนจึงเป็นธรรมดาที่จะเห็นพ้องต้องกัน

ส่วนจ้าวหงเหมยและต่งเยี่ยนอันก็ไม่ได้โต้แย้ง ถึงอย่างไรซูเสี่ยวเถียนก็มีนัดกับคนอื่นไว้แล้ว หากต้องมาผิดนัดเพราะพวกเธอย่อมไม่เป็นการดี

หลังจากซูเสี่ยวเถียนอธิบายเรื่องราวกับฉู่เยว่อย่างชัดเจนแล้ว จึงจัดทรงผมและคิดจะออกไปกินข้าวข้างนอก

ฉืออี้หย่วนบอกว่าจะมารออยู่ที่ข้างล่างหอพักตอนหกโมง ซูเสี่ยวเถียนก็ไม่คิดจะให้ฉืออี้หย่วนมารอตนเอง จึงคิดจะลงไปรอที่ข้างล่างตึกก่อน

ความจริงซูเสี่ยวเถียนก็คิดว่าต้องชวนเพื่อนใหม่ทั้งสามคนไปกินข้าวด้วยกันหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ล้มเลิกความคิดนั้นไป

ถึงอย่างไรหากต้องมาอยู่ด้วยกันกับฉืออี้หย่วน ด้วยนิสัยไม่ได้คึกคักของฉืออี้หย่วนหากบังคับให้มาอยู่ด้วยกันแบบนี้คงไม่ดี

ก่อนหน้านี้ซูเสี่ยวเถียนก็ไม่ได้มีความคิดจะไปรบเร้าฉืออี้หย่วน ทั้งยังไม่คิดจะทำให้ฉืออี้หย่วนลำบากใจอีกด้วย

เห็นซูเสี่ยวเถียนออกไปคนเดียวมุมปากของอิ่นหรูอวิ๋นก็ปรากฏรอยยิ้ม

ยังคิดอยู่ว่าซูเสี่ยวเถียนคงจะชวนพวกเพื่อนไปกินข้าวด้วยกัน คาดไม่ถึงว่าไม่ทันไรก็แตกกลุ่มกันเร็วถึงเพียงนี้

อิ่นหรูอวิ๋นไม่ได้พูดอะไรแต่ฉีเสี่ยวฟางกลับยิ้มออกมา

“ฉันก็คิดว่าพวกเธอจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ดูสิตอนนี้คนออกไปกินดื่มอย่างอิ่มหนำสำราญโดยไม่คิดจะพาพวกเธอไปด้วยเลย”

คำพูดของฉีเสี่ยวฟางแฝงความนัยเป็นอย่างยิ่ง ฉีเสี่ยวฟางคิดว่าครั้งนี้ตัวเองคงถึงเวลาเฉิดฉายแล้ว!

เห็นใบหน้าอ่อนโยนของอิ่นหรูอวิ๋นที่มองมายังตน ฉีเสี่ยวฟางก็รู้สึกขึ้นมาทันทีว่าอิ่นหรูอวิ๋นดีกว่าซูเสี่ยวเถียนมาก

คนโง่เขลาพวกนี้มาทำให้พวกเธอนึกเสียใจภายหลังกันเถอะ!

อิ่นหรูอวิ๋นเป็นผู้หญิงที่ดีแบบนี้ไม่รู้จักมาสร้างสายสัมพันธ์ที่ดี กลับไปอยู่กับผู้หญิงป่าเถื่อนแบบนั้นในตอนนั้นเองที่อิ่นหรูอวิ๋นก็เปิดปากพูดอย่างอ่อนโยน “ในเมื่อซูเสี่ยวเถียนไม่ได้ไปกินข้าวกับพวกเธอ ถ้าอย่างนั้นก็ไปกับพวกเราเถอะ!”

แม้การเลี้ยงข้าวคนจำนวนมากจะทำให้เสียเงินก้อนใหญ่ ถึงขั้นต้องเสียเงินสั่งเนื้อจำนวนมากทำให้เงินในกระเป๋าของเธอลดลงจำนวนมาก เป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันถึงครึ่งเดือน

แต่อิ่นหรูอวิ๋นคิดว่านี่เป็นรายจ่ายที่จำเป็น

ขอเพียงคนในหอพักมีความสัมพันธ์อันดีกับเธอ เงินนี้จะนับเป็นอะไรได้

ฉู่เยว่ไม่ชอบอิ่นหรูอวิ๋นที่มองมาอย่างไม่จริงใจในขณะที่ยิ้มอย่างสดใส

“ไม่ ทุกคนล้วนไม่ใช่คนมีเงินมีทองมากมายแยกกันไปกินข้าวเถอะ”

ถึงอย่างไรวันแรกทุกคนก็ล้วนไม่รู้ความชอบของกันและกัน หากบังคับให้ไปกินข้าวด้วยกันคงไม่เป็นการดี

เมื่อฉู่เยว่พูดแบบนี้อิ่นหรูอวิ๋นก็ไม่สามารถรักษารอยยิ้มบนใบหน้าได้อีก

นี่คือถูกปฏิเสธหรือ?

ไม่รู้ว่าฉู่เยว่ตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจกันแน่ เธอหันไปพูดคุยกับจ้าวหงเหมยและต่งเยี่ยนอัน

“พวกเธอสองคนอยากไปกินข้าวกับฉันไหม? แต่ตกลงกันแล้วว่าจะแยกกันไปกินข้าว!”

อาหารในโรงอาหารของมหาวิทยาลัยถูกมากจริง ๆ พูดได้ว่าหากหนึ่งเดือนมีใช้ยี่สิบหยวนก็สามารถกินอย่างดีได้แล้ว

ฉู่เยว่อยากไปดูสักหน่อยว่าโรงอาหารของมหาวิทยาลัยอาหารอร่อยหรือไม่

เมื่อแน่ใจแล้วว่าตู้กระจกไหนมีของอร่อย หลังจากเข้าใจรสนิยมของพวกเพื่อนร่วมห้องแล้วก็สามารถไปรวมตัวกินข้าวด้วยกันได้

จ้าวหงเหมยและต่งเยี่ยนอันทั้งสองคนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยังไม่เปิดปากพูดอะไร

อิ่นหรูอวิ๋นยังคิดไปว่าพวกเธอต้องการไปกับตนจึงเปิดปากพูดเชื้อเชิญอย่างอบอุ่นต่อ

“หงเหมย ต่งเยี่ยน พวกเราไปกินข้าวด้วยกันเถอะวันนี้ฉันเลี้ยงเอง! เพื่อฉลองที่พวกเราสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้อย่างราบรื่น พวกเราไปกินหมูตุ๋นน้ำแดงกันเป็นไง?”

ขอเพียงสามารถทำให้ซูเสี่ยวเถียนโดดเดี่ยวอิ่นหรูอวิ๋นก็คิดว่าทุกอย่างคุ้มค่าทั้งนั้น

สั่งเนื้อมาสักสองจานก็ไม่มีปัญหา!

“ไม่ พวกเราจะรอไปกินข้าวด้วยกันครั้งหน้า” จ้าวหงเหมยกล่าว

ต่งเยี่ยนอันรู้สึกว่าตอนนี้ยังอิ่มอยู่แต่อาจจะไปหิวตอนกลางคืนจึงต้องไปกินมื้อเย็น

“ฉู่เยว่ไม่อย่างนั้นเธอก็รอพวกเราสักหน่อย เมื่อครู่เพิ่งกินเนื้อตากแห้งไปยังอิ่มอยู่เลย!”

ความจริงแล้วตอนนี้ฉู่เยว่ก็ไม่ได้หิวมากนักจึงเห็นด้วย

“อย่างนั้นก็ได้พวกเรารออีกสักพักค่อยไปกินข้าวด้วยกันเถอะ”

อิ่นหรูอวิ๋นได้ยินทั้งสามคนพูดคุยกันก็มีสีหน้าไม่น่าดู แบบนี้หมายความว่าอย่างไร?

นี่คือตั้งใจจะฉีกหน้าตนหรือ?

ชวนพวกเธอไปเลี้ยงข้าวด้วยความปรารถนาดีแต่มาปฏิบัติต่อเธอแบบนี้ หากไม่ไว้หน้ากันในอนาคตพวกเธอต้องเสียใจภายหลังแน่ อิ่นหรูอวิ๋นกำมือแน่นจนปลายนิ้วเปลี่ยนเป็นสีขาว

แต่พวกฉู่เยว่ไม่เห็นทั้งยังรวมตัวพูดคุยกันอยู่

ฉีเสี่ยวฟางได้ยินคนพวกนี้พูดอวดเรื่องเนื้อตากแห้งก็ยิ่งรู้สึกหิวมากขึ้น

ตอนเที่ยงกินหมั่นโถวไปลูกหนึ่ง ตอนนี้ท้องจึงว่างมานานแล้ว

เธอกินจุแถมหิวเร็วเป็นเรื่องน่าอายที่จะพูดมาตลอด

เรื่องที่มีคนตั้งใจจะเลี้ยงข้าวเองอย่างในตอนนี้ซึ่งหาได้ยากแน่นอนว่าเธอย่อมไม่พลาด

“หรูอวิ๋นไม่อย่างนั้นตอนนี้พวกเราก็ไปกินข้าวกันเถอะฉันหิวอยู่นิดหน่อยน่ะ!” ตอนที่ฉีเสี่ยวฟางพูดก็มีท่าทีระมัดระวังอยู่

ให้คนอื่นเลี้ยงข้าวแบบนี้ ฉีเสี่ยวฟางไม่รู้สึกว่าตัวเองสามารถอยู่เหนือกว่าได้

ปู่ใหญ่เป็นคนออกเงิน ปัญหานี้ฉีเสี่ยวฟางก็ยังยอมรับได้ ความคิดของเธอเรียบง่ายมาก ใครเลี้ยงข้าวตนตนก็จะหันไปหาคนนั้น

ใบหน้าของอิ่นหรูอวิ๋นมืดครึ้มแต่ก็ยังพยักหน้า

“พวกเราไปหาอ้ายอวี้แล้วค่อยไปกินข้าวเถอะ!”

เธอคลายมือออกหลังจากนั้นก็กำแน่นอีกครั้ง

ฉีเสี่ยวฟางไม่ได้สนใจว่าสีหน้าของอิ่นหรูอวิ๋นจะน่าดูหรือไม่ขอเพียงได้กินข้าวก็พอแล้ว

เมื่อซูเสี่ยวเถียนลงมาข้างล่างตึกยังเป็นเวลาห้าโมงสี่สิบห้านาทีเท่านั้น จากเวลาที่ทั้งสองคนนัดกันไว้ยังเหลือเวลาอีกสิบห้านาที

ไม่น่าแปลกใจที่ฉืออี้หย่วนจะยังไม่มา

ซูเสี่ยวเถียนเดาไว้แล้วว่าฉืออี้หย่วนไม่น่าจะมาเร็วขนาดนี้

ถึงอย่างไรถ้าฉืออี้หย่วนมายืนอยู่ข้างล่างหอพักผู้หญิงอาจเป็นภาพที่ราวกับฝูงลิงกอริลลา

ซูเสี่ยวเถียนไม่รีบร้อนมายืนรออยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ตรงข้ามหอพัก มองไปรอบ ๆ อย่างไม่คิดอะไรก่อนจะหยิบหนังสือออกมาเริ่มอ่าน

นี่เป็นนิสัยที่เธอปลูกฝังมาในช่วงหลายปีนี้ตั้งใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะไม่ยอมเสียเวลาเปล่า แม้จะเป็นเพียงเวลาแค่เสี้ยวหนึ่งก็ต้องใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเก็บเล็กผสมน้อย!

ตอนที่ซูเสี่ยวเถียนอ่านหนังสือจะเข้าถึงอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานก็ดำดิ่งลงไปในหนังสือแล้ว

ตอนนี้ซูเสี่ยวเถียนกำลังอ่านบทประพันธ์ภาษาฝรั่งเศสเป็นหนังสือประเภทวรรณกรรม ไม่รู้ว่าเพราะเธอต้องการไปเรียนสาขาภาษาจีนหรือเปล่าระบบจึงแนะนำหนังสือเล่มนี้ให้เธอ

หลังจากที่ระบบพัฒนาเป็นระดับสามก็มีหนังสือมากมายที่สามารถหยิบออกมาได้ หนังสือไม่ได้มีความแตกต่างกันตามท้องตลาดซึ่งซูเสี่ยวเถียนรู้สึกว่าสะดวกมาก

เธอกำลังจดจ่อกับหนังสือจนไม่ทันสังเกตเห็นอิ่นหรูอวิ๋น ฉีเสี่ยวฟาง และอ้ายอวี้ที่ออกมาด้วยกัน

เดิมทีทั้งสามคนกำลังพูดคุยหยอกล้อกันอยู่ อิ่นหรูอวิ๋นใช้หลักจิตวิทยาคิดว่าในอนาคตยังสามารถพึ่งพาทั้งสองคนให้ช่วยเหลือตัวเองได้ หลังจากไม่ได้กินเนื้อในหอพักก็อารมณ์ดีขึ้นเป็นอย่างยิ่ง

แต่เมื่อเห็นซูเสี่ยวเถียนยืนอยู่ใต้ต้นไม้ตรงข้ามหอพักใบหน้าก็ล้วนแข็งทื่อ