บทที่ 770 จิตรกรรมฝาผนังประหลาด

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

———-

บทที่ 770 จิตรกรรมฝาผนังประหลาด

เพ่ยเหมียนหมานรู้สึกประหลาดใจ “ที่นี่มีแม่น้ำด้วย!”

สถานที่แห่งนี้ดูเหมือนถูกทิ้งร้างมาเป็นเวลานาน ตามปกติแม่น้ำสายใหญ่หลายสายมักจะเปลี่ยนเส้นทางหรือเหือดแห้งเมื่อเวลาผ่านไปหลายศตวรรษซึ่งลำธารเล็ก ๆ เช่นนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น มันคงเป็นปาฏิหาริย์ที่ลำธารนี้ยังมีน้ำอยู่เช่นเดิม

ซูอันคุกเข่าข้างลำธารแล้วจุ่มมือลงไป เขาสัมผัสได้ถึงน้ำเย็น “มันคือน้ำจริง ๆ ดูเหมือนว่าจะไหลออกมาจากถ้ำหินปูน”

“ถ้ำหินปูน?” เพ่ยเหมียนหมานรู้สึกงุนงง นางไม่คุ้นเคยกับคำศัพท์นี้

“มันเป็นโพรงที่ก่อตัวขึ้นเมื่อหินปูนสึกกร่อนจากน้ำบาดาล แล้วก่อตัวเป็นถ้ำ…เอ่อ…เจ้านึกภาพพวกมันว่าเป็นถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยงอกงามอยู่ก็แล้วกัน” ซูอันอธิบาย “จากอุณหภูมิของน้ำ เราสามารถสรุปได้ว่าสถานที่แห่งนี้อยู่ใต้ดิน อาจเป็นไปได้ว่าก้อนอุกกาบาตส่งเรามายังพื้นที่ที่อยู่ใต้ดิน”

“ระวัง!” เพ่ยเหมียนหมานร้องเตือนออกมา

ซูอันได้ดูสารคดีมากมายเกี่ยวกับวิถีชีวิตสัตว์ป่า ดังนั้นไม่มีทางที่เขาจะเข้าใกล้แหล่งน้ำใด ๆ โดยไม่ระมัดระวังตัว

เขาเห็นเงาดำกระโจนออกจากน้ำเข้ามาหา เขาใช้กระบี่ไท่เอ๋อร์ทิ่มตอกมันลงไปที่ชายฝั่งลำธารทันที

มันคือจระเข้! แต่ตัวมันเล็กกว่าจระเข้แม่น้ำไนล์มาก

“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า?” เพ่ยเหมียนหมานเดินเข้ามาหาโดยยังคงเฝ้าดูผิวน้ำอย่างระมัดระวัง นางไม่รู้ว่าการโจมตีของซูอันเพียงพอที่จะข่มขู่สัตว์ร้ายตัวอื่นหรือไม่ แต่ผิวน้ำยังคงนิ่งและไม่มีจระเข้ตัวอื่นอีก

“ข้าไม่เป็นไร” ซูอันดึงกระบี่กลับมาและนั่งลงข้าง ๆ จระเข้เพื่อตรวจสอบ “มันดูไม่ต่างจากจระเข้ทั่วไป แต่ตาของมันดูมัว ๆ แปลก… ทำไมที่นี่ถึงมีสัตว์กินเนื้อมากมายขนาดนี้? ตามปกติแล้วพวกมันล่าตัวอะไรเป็นอาหาร?”

สถานที่นี้เต็มไปด้วยสิ่งที่อธิบายไม่ได้จริง ๆ แต่ไม่มีเวลาคิดเกี่ยวกับมันในตอนนี้ เขาจึงเก็บซากจระเข้ไว้ในดวงแก้วผู้รอบรู้

เพ่ยเหมียนหมานรู้สึกตกใจ “เจ้าจะเก็บมันไว้ทำไม?”

“แน่นอนว่าเก็บไว้กิน!” ซูอันตอบราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติที่สุด “เราไม่รู้ว่าเราจะติดอยู่ที่นี่นานแค่ไหน ดังนั้นเราต้องตุนเสบียงเอาไว้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

ความแข็งแกร่งและความเร็วของผู้บ่มเพาะนั้นเหนือกว่าคนทั่วไปมาก แต่ความต้องการพลังงานของพวกเขาก็สูงกว่ามากเช่นกัน พูดง่าย ๆ ก็คือ พวกเขาจำเป็นต้องกินมากกว่าคนทั่วไป ก่อนหน้านี้เขาและเพ่ยเหมียนหมานต่อสู้เอาชีวิตรอดมาอย่างดุเดือดต่อเนื่อง และซูอันก็เริ่มหิวแล้ว ถ้าหากตัวเองไม่รีบร้อนต้องออกเดินต่อ เขาอาจจะย่างจระเข้กินไปแล้วก็ได้

มีหลายประเทศในโลกก่อนหน้านี้ที่เสิร์ฟเนื้อจระเข้ย่าง แต่เขาไม่เคยลองมาก่อน

“จะกินมันเนี่ยนะ? ข้าขอผ่าน!” เพ่ยเหมียนหมานมีสีหน้าแปลก ๆ ในฐานะผู้หญิงจระเข้เป็นสิ่งที่นางไม่อยากจะแลมอง นับประสาอะไรกับการกินพวกมัน

ซูอันหัวเราะคิกคักและไม่ได้บังคับ เขารู้ดีว่าเมื่อคนเราหิวมากพอ ทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถกินได้มันจะดูน่าอร่อยเหมือนกันหมด มันก็เหมือนกันสำหรับเขาเมื่อเขามาสู่โลกนี้เป็นครั้งแรก เขาไม่ชอบความคิดที่จะคุยโวโอ้อวดในตอนแรก แต่กลับจบลงด้วยความเพลิดเพลินกับการเป็นแมลงโม้อย่างมากในท้ายที่สุด

ทั้งสองข้ามสะพานและเข้าไปในอาคารหลังหนึ่ง รอบด้านของพวกเขาเริ่มมืดลงเมื่อพวกเขาเดินมาไกลจากประตูหิน และยิ่งมืดเข้าไปอีกเมื่อพวกเขาเข้าไปในอาคาร มันมืดมากจนมองไม่เห็นแม้แต่นิ้วของตัวเองหากยื่นมือออกไปข้างหน้า

ซูอันตั้งใจจะหยิบไฟฉายวิเศษออกมาส่องทาง แต่ระลึกได้ว่ามันจะไม่สว่างขึ้นหากไม่มีแหล่งกำเนิดแสง

ไร้ประโยชน์ชิบเป๋ง!

ในขณะที่ซูอันรู้สึกหงุดหงิด จู่ ๆ ก็มีแสงวูบวาบอยู่ข้าง ๆ เขา เปลวไฟสีดำหมุนวนล้อมรอบเพ่ยเหมียนหมาน มันไม่เพียงแต่ทำให้สภาพแวดล้อมสว่างขึ้นเท่านั้น แต่ยังทำให้นางดูสวยขึ้นอีกด้วย

ซูอันรีบวิ่งเข้าไปกอดนาง “เหมียนหมานใหญ่ เจ้าสวยจริง ๆ”

เพ่ยเหมียนหมานกระโดดด้วยความตกใจและดับไฟอย่างรวดเร็ว กลัวว่าไฟของนางจะทำร้ายเขา แต่นางจำได้อย่างรวดเร็วว่านางให้จี้กันไฟแก่เขาแล้ว และถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“เจ้านี่มันน่ารำคาญ!” ใบหน้าของเพ่ยเหมียนหมานแดงขึ้นขณะที่นางผลักเขาออกไป “ข้าเห็นรอยไหม้หลายจุดบนผนังที่อาจเกิดจากไฟ ตรงรอยเหล่านั้นน่าจะมีตะเกียงน้ำมันแขวนอยู่ ข้าขอดูก่อนว่าจะจุดไฟได้หรือเปล่า”

ด้วยการโบกมือของนาง ริ้วเปลวไฟสีดำพุ่งออกไปราวกับงู มันพุ่งไปที่กำแพงจนถึงจุดดำ ๆ ที่ดูคล้ายกับตะเกียงน้ำมัน

ทันใดนั้น ไฟก็สว่างขึ้นในตะเกียงน้ำมัน แต่น่าแปลกใจเล็กน้อยมันที่ยังคงมีน้ำมันเก็บไว้ตลอดเวลาที่ผ่านมา

แสงไฟทำให้บริเวณโดยรอบสว่างขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งสองมองไปรอบ ๆ และเห็นว่าพวกเขาอยู่ในวังที่งดงามวิจิตรบรรจง

แสงไฟสะท้อนหลายสิ่งที่อยู่รอบด้านซึ่งเป็นประกายสีทองอร่ามวาววับ ราวกับว่าพวกเขาได้เข้ามาอยู่ในพระราชวังที่สร้างด้วยทองคำ

“ทั้งหมดนี้เป็นทองหรือเปล่า?” เพ่ยเหมียนหมานตกตะลึง เสาสีทองขนาดใหญตั้งตระหง่านเบื้องหน้าของนาง ถ้าสามารถนำสิ่งเหล่านี้กลับไปด้วยได้ พวกเขาคงรวยพอที่จะแข่งขันกับอาณาจักรทั้งอาณาจักรได้

ซูอันเดินไปที่กำแพงที่ใกล้ที่สุด แล้วลองจิกมันก่อนจะส่ายหัว “ขอโทษที่ทำให้ผิดหวัง ทองเป็นวัสดุที่อ่อน แต่วัสดุนี้แข็งมากซึ่งมันน่าจะเป็นทองเหลือง เจ้าไปตรวจสอบตะเกียงน้ำมันเหล่านั้นก็ได้ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้า พื้นผิวที่อังเข้าหาไฟน่าจะถูกปกคลุมด้วยชั้นสีดำหมดแล้ว สิ่งนั้นจะไม่เกิดขึ้นกับทองคำแท้แน่นอน”

เพ่ยเหมียนหมานรู้สึกผิดหวังอย่างมากเมื่อรู้ว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่ทองคำจริง ๆ “นี่ข้าจะตื่นเต้นไปทำไมเนี่ย? หืม? นั่นคืออะไร?”

ซูอันนึกชื่นชมผู้หญิงคนนี้ในใจ นางมักจะสังเกตเห็นเบาะแสที่น่าสนใจก่อนเขาเสมอ

พวกเขาเดินไปข้างหน้าอีกเล็กน้อยและสังเกตเห็นภาพวาดที่สวยงามมากมายบนผนัง แต่ภาพจิตรกรรมฝาผนังทั้งหมดดูค่อนข้างเป็นนามธรรม ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถเข้าใจได้ทันทีว่าภาพเหล่านี้หมายถึงอะไร

มีอักษรถูกเขียนเอาไว้รอบ ๆ ภาพจิตรกรรมฝาผนังเช่นกัน เพ่ยเหมียนหมานมองซูอันด้วยความคาดหวังอย่างมาก “อักษรพวกนี้หมายความว่าอะไรเจ้ารู้หรือเปล่า?”

อักษรเหล่านี้มันคล้าย ๆ กับอักษรที่ถูกสลักบนประตูหินซึ่งซูอันสามารถถอดรหัสมันได้ ดังนั้นนางจึงคิดว่าเขาสามารถเข้าใจอักษรและภาพเหล่านี้ได้เช่นกัน

ซูอันบ่นในใจ เจ้าคิดว่าข้าเป็นนักโบราณคดีหรืออย่างไร?

ที่ข้าถอดรหัสคำพวกนั้นได้ก่อนหน้านี้เป็นเพราะข้าเดาส่ง ๆ ไป ไม่มีทางที่ข้าจะรู้ว่าตัวอักษรหรือภาพพวกนี้หมายถึงอะไร!

อย่างไรก็ตาม ขณะที่ชายหนุ่มมองเข้าไปในดวงตาที่สวยงามและคาดหวังของนาง ซูอันไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากแสร้งทำตัวทรงภูมิ

“บางครั้งสัตว์ประหลาดอาจจะวางไข่ในปากของหญิงสาว และเมื่อใดที่สัตว์ประหลาดทารกฟักตัว มันจะแหวกท้องของนางออกมาอย่างโหดร้าย…”

อันที่จริงภาพจิตรกรรมฝาผนังนั้นวาดเป็นรูปแบบคล้าย ๆ กับที่ซูอันพรรณนา มันมีภาพของสัตว์ประหลาดและหญิงสาว และดูเหมือนจะมีวัตถุรูปไข่อยู่ในปากของหญิงสาว จากนั้น ท้องของผู้หญิงก็ขยายใหญ่ขึ้น…

แต่แน่นอนว่าเรื่องที่เขาเล่าไปมันคือเรื่องไร้สาระโดยยืมมาจากเนื้อเรื่องของภาพยนตร์ ‘เอเลี่ยน’ แต่ยิ่งเขาพูดมากเท่าไร ก็ยิ่งดูเข้ากันกับเนื้อหาของภาพจิตรกรรมฝาผนังนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับว่าสิ่งที่พูดนั้นเป็นความจริง

“ไร้สาระทั้งเพ!” จู่ ๆ เสียงที่ดูเย็นชาก็ดังขึ้น