บทที่ 771 ราชวงศ์ซาง
แทนที่จะตื่นตระหนกกับเสียงสบถที่อยู่ ๆ ก็ดังขึ้นนี้ ซูอันกลับเต็มไปด้วยความสุข “พี่หญิงใหญ่ ในที่สุดท่านก็ตื่น! ข้าคิดว่าท่าน…ข้าคิดว่า…”
“ว่าข้าตาย?” เสียงเย็นเฉียบเย้ยหยันดังขึ้นในหัวของเขา
“ไม่ใช่สักหน่อย…” ซูอันหัวเราะด้วยความกระอักกระอ่วน “ข้านึกว่าท่านจะนอนยาวเป็นปี ๆ ไม่สนใจข้าอีกแล้ว”
“ข้าจะออกมาทำไม ในเมื่อเจ้ากำลังจีบแม่หนูอกภูเขาไฟของเจ้าอยู่ตลอด” หมี่ลี่กล่าวพร้อมกับหายใจเข้า มันง่ายที่จะจินตนาการว่านางกำลังกลอกตา
“แม่หนูอกภูเขาไฟ?” ซูอันเหลือบมองที่หน้าอกของเพ่ยเหมียนหมานโดยไม่รู้ตัว เขาต้องยอมรับว่านี่เป็นชื่อเรียกที่เหมาะสมจริง ๆ
“ท่านหมายความว่าอย่างไร ‘จีบ’? ระหว่างทางข้าเจออันตรายจนเกือบจะตายอยู่เป็นสิบรอบ ทำไมท่านถึงไม่ช่วยข้าบ้าง!” ซูอันกล่าวด้วยความขมขื่น
“เจ้าหมายถึงอะไร ‘เจออันตราย’? เจ้าตกอยู่ในอันตรายก็เพราะเจ้าพยายามช่วยแม่หนูอกภูเขาไฟคนนี้ต่างหาก! ก่อนหน้านี้ในขณะที่ไอ้ยุงน่ารำคาญนั่นวนเวียนอยู่ใกล้ ๆ เจ้าก็เสี่ยงชีวิตหลายครั้งเพื่อช่วยแม่หนูเจิ้งคนนั้น และผู้หญิงคนนั้นจากสำนักมารด้วย ฮึ่ม! เจ้าเอาแต่เสี่ยงชีวิตเพื่อไล่ตามสิ่งมีชีวิตที่สวมกระโปรง ต่อให้ข้าจะพยายามช่วยชีวิตเจ้าแค่ไหนมันก็ไม่สร้างความแตกต่างอะไรทั้งนั้น เพราะเจ้าพร้อมจะทิ้งชีวิตของเจ้าเพื่อผู้หญิงตลอดเวลา ดังนั้นแล้วข้าจะเข้ามายุ่งเกี่ยวอีกทำไม สู้ปล่อยให้เจ้าตายไปเลยจะดีกว่า ข้าจะได้ไม่ต้องรู้สึกรำคาญอีกต่อไป!”
เสียงของหมี่ลี่เย็นชาอย่างยิ่ง
แต่ซูอันกลับหัวเราะคิกคักและพูดว่า “พี่หญิงใหญ่ แม้ว่าคำพูดของท่านจะค่อนข้างไร้เยื่อใย แต่ท่านยังคงสนใจข้าใช่ไหมล่ะ? ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้ใส่ใจกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับข้ามากขนาดนี้”
“ฮึ่ม! หยุดยิ้มเลยนะไอ้เด็กบ้า ข้าไม่ง่ายเหมือนผู้หญิงคนอื่น ๆ ของเจ้า” น้ำเสียงของหมี่ลี่อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นนางมองดูจิตรกรรมฝาผนังและพูดว่า “มาคุยเรื่องจิตรกรรมฝาผนังนี่กันก่อน”
ในภาวะปัจจุบันของนาง ไม่มีใครนอกจากซูอันที่สามารถมองเห็นนางได้เว้นแต่นางต้องการให้คนอื่นเห็น นางชี้ไปที่กำแพงและพูดว่า “ทุกสิ่งที่เจ้าพูดก่อนหน้านี้ล้วนแล้วแต่ไร้สาระ เห็นไหมว่ามีนกยักษ์กางปีกอยู่ด้านบน ข้างล่างนี้เป็นรังนกที่เต็มไปด้วยไข่ มีหญิงสาวที่คลานขึ้นไปขโมยไข่แล้วกินเข้าไป ไม่นานหลังจากนั้นหญิงสาวตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตร มีตำนานหนึ่งซึ่งข้าจำได้ว่าเจ้าเคยเล่าเอาไว้ ข้าคิดว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกัน ‘ในตระกูลซ่งมีสตรีนางหนึ่งมีชื่อง่าย ๆ ว่า ‘ตี้’ หลังจากกินไข่ของนกแปลก ๆ เข้าไปนางก็ตั้งครรภ์และมีบุตรชื่อว่า ‘ฉี’”
ซูอันมีสีหน้าประหลาดใจ “พี่หญิงใหญ่ ท่านหลักแหลมมาก!”
เขารู้ตำนานเรื่องนี้เพราะสารคดีที่เคยดูเมื่อชีวิตก่อนหน้า แต่หมี่ลี่กลับสามารถเชื่อมโยมพวกมันให้เข้ากันได้!
หมี่ลี่พ่นลมหายใจ “เจ้าโง่เหรอ? อินซางไม่ได้ห่างไกลจากช่วงเวลาที่ข้ามีชีวิตอยู่มากนัก”
ซูอันหัวเราะอย่างเชื่องช้า เขารู้ว่านางมาจากราชวงศ์ฉินซึ่งตามช่วงยุคนั้นอยู่ถัดจากราชวงศ์ซาง
หมี่ลี่เดินไปที่ภาพจิตรกรรมฝาผนังอีกภาพหนึ่งซึ่งเป็นภาพฉากสงคราม ทั้งสองข้างมีรถม้าศึกเป็นจำนวนมากโดยมีกองทหารอยู่ข้างหลัง
บนรถรบคันหนึ่งมีชายร่างสูงและแข็งแรง เห็นได้ชัดว่าเขาแข็งแกร่งและทรงพลัง และเป็นตัวเอกของภาพจิตรกรรมฝาผนังนี้อย่างชัดเจน ชายอีกคนหนึ่งยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามแสดงตัวว่าเป็นคู่ต่อสู้ของเขา อย่างไรก็ตาม การแสดงออกของบุคคลที่อยู่ฝั่งตรงข้ามนี้ดูค่อนข้างขี้ขลาด
หมี่ลี่ศึกษาตัวอักษรที่เขียนไว้ข้างภาพจิตรกรรมฝาผนัง จากนั้นชี้ไปที่ชายสองคน “นั่นคือผู้ก่อตั้งราชวงศ์ซาง ซางทัง และนี่คือการยุทธ์แห่งหมิงเจียวซึ่งเป็นศึกที่สิ้นสุดของราชวงศ์เซี่ย อีกด้านหนึ่งของซางทังคือจักรพรรดิแห่งราชวงศ์เซี่ย หลังจากความพ่ายแพ้นี้ จักรพรรดิแห่งราชวงศ์เซี่ยก็หนีไปที่หนานเฉาและตายลงที่นั่น ในขณะที่ซางทังผู้ได้รับชัยชนะ เขารวบรวมขุนนางศักดินาและสถาปนาราชวงศ์ซางและเมืองหลวงอย่างเมืองป๋ออย่างเป็นทางการ”
“เมืองป๋อ?” ซูอันรู้สึกตกใจ “เมืองอินซางเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์ซางไม่ใช่เหรอ?”
อินซางใช้ชื่อนี้เป็นเพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมาผู้คนคุ้นเคยกับการใช้มัน แต่ถ้าหากเป็นคนที่อ่านหนังสือ ‘การลงทุนของทวยเทพ’ จะรู้ว่าเมืองหลวงของราชวงศ์ซางนั้นชื่อว่า ‘จ้าวเกอ’ หรือไม่ก็ ‘อิ๋น’ ไม่มีบันทึกไหนที่มีชื่อ ‘เมืองป๋อ’
“ข้าล่ะทึ่งกับความหน้าด้านของเจ้าที่พยายามแสดงภูมิออกไปโดยทั้ง ๆ ที่ตัวเองมีความรู้เท่าหางอึ่ง จักรพรรดิซางในอดีตย้ายเมืองหลวงอยู่บ่อยครั้ง”
หมี่ลี่ชี้ไปที่จิตรกรรมฝาผนังด้านหลังและอธิบายว่า
“นั่นเป็นเพราะการสืบต่อราชวงศ์ซางแต่ละรุ่นในสมัยโบราณนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายดาย มันมีอันตรายแฝงตัวอยู่ทุกซอกทุกมุม ชนเผ่าต่างแดนต่างปรารถนาดินแดนของพวกเขา และสัตว์ร้ายอันโหดเหี้ยมก็เดินเตร่อย่างอิสระไปทั่วดินแดน ดังนั้นแล้วอายุขัยของผู้คนในสมัยราชวงศ์ซางจึงค่อนข้างสั้น ส่วนใหญ่ตายในช่วงวัยรุ่นซึ่งอันตรายเหล่านี้แม้แต่ตัวของจักรพรรดิซางก็แทบจะหลบเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นไม่มีทางที่เขาจะส่งต่อบัลลังก์ของเขาให้กับเจ้าชายที่อยู่ในวัยเด็กหนุ่ม เพราะสิ่งสำคัญในสมัยนั้นคือการที่จักรพรรดิสามารถนำคนของเขาไปสู่การอยู่รอดได้อย่างเหมาะสมหรือไม่…”
“นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมในช่วงปีแรก ๆ ของราชวงศ์ซาง การสืบต่อราชบัลลังก์จึงเป็นไปในแบบพี่สู่น้อง เมื่อจักรพรรดิซางสิ้นพระชนม์ น้องชายของเขาก็จะขึ้นครองบัลลังก์”
“ทว่าการสืบต่อแบบนี้มีปัญหาประการหนึ่งคือสมาชิกของราชวงศ์สามารถอ้างสิทธิ์ในการสืบต่อราชบัลลังก์ได้ทั้งหมด ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านล่วงเลยไปจนอันตรายจากรอบด้านเบาบางลงและอายุขัยของผู้คนยาวนานขึ้น จักรพรรดิราชวงศ์ซางจึงริเริ่มเปลี่ยนแปลงธรรมเนียมการสืบต่อราชบัลลังก์จากพี่สู่น้องกลายเป็นพ่อสู่ลูก เพราะด้วยอันตรายที่ลดน้อยลง การให้องค์ชายรุ่นใหม่ขึ้นมาปกครองต่อจึงไม่ใช่เรื่องที่สุ่มเสี่ยงต่อความอยู่รอดเหมือนแต่ก่อน แต่แน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ย่อมทำให้เชื้อพระวงศ์หลายคนไม่เห็นด้วยและเกิดเป็นการต่อสู้แย่งชิงอำนาจที่โหดร้ายอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
“ดังนั้นแล้ว เมื่อจักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ ส่วนใหญ่เลือกที่จะย้ายเมืองหลวงเพื่อเลี่ยงการคุกคามของเชื้อพระวงศ์องค์อื่น ๆ ด้วยวิธีนี้ความสมดุลของอำนาจที่ซับซ้อนและยุ่งยากในเมืองหลวงเดิมจึงไม่มีความหมาย”
“เรื่องนี้ข้าพอเข้าใจ!” ซูอันจำเรื่องที่คล้ายกันในสมัยราชวงศ์ซ่งได้ ในช่วงแรก เมื่อจ้าวควงอิ้นแย่งชิงการปกครองของจากราชวงศ์โจวและสถาปนาราชวงศ์ซ่งเหนือ เขาวางแผนที่จะส่งต่อบัลลังก์ของเขาไปยังจ้าวควงอี้น้องชายของเขาเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของตระกูลจ้าว ในเวลาต่อมาหลังจากที่ปกครองแผ่นดินมานานกว่าสิบปี เมื่อลูกชายคนเล็กของเขาเติบโตขึ้น จู่ ๆ เขากลับเปลี่ยนใจอยากจะส่งต่อบัลลังก์ของตนเองให้กับลูกชายแทน
น่าเสียดายที่ในสมัยนั้นมีกฎที่ไม่ได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรระบุเอาไว้ว่ารัชทายาทผู้ที่ในอนาคตจะได้สืบทอดราชบัลลังก์จะต้องทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลเมืองหลวงไคเฟิงก่อน ซึ่งจ้าวควงอี้ดำรงตำแหน่งนั้นมาหลายปีแล้ว ดังนั้นเขาจึงมีอิทธิพลมหาศาลที่เมืองหลวง
จ้าวควงอิ้นวางแผนที่จะจัดการกับสถานการณ์นี้โดยการย้ายเมืองหลวง แต่ความพยายามนี้ก็พบกับการต่อต้านอย่างรุนแรง โดยเฉพาะคำวิพากย์วิจารณ์ถึงชื่อเสียงของจ้าวควงอี้นั้นมีผลมากที่สุด ‘หากจักรพรรดิเป็นผู้ไร้ซึ่งเกียรติ ประชาราษฎร์ย่อมกบฏ’ เมื่อจ้าวควงอิ้นเห็นว่ามีคนสนับสนุนน้องชายของเขาซึ่งมีความชอบธรรมในทุกด้าน เขาจึงละทิ้งความคิดทั้งหมดที่จะย้ายเมืองหลวง
หมี่ลี่ชี้ไปที่จิตรกรรมฝาผนังที่สามและกล่าวว่า “ราชวงศ์ซางยังคงเปลี่ยนเมืองหลวงครั้งแล้วครั้งเล่า สิ่งนี้คงอยู่จนกระทั่งผานเกิงทำให้เมืองอินซางเป็นเมืองหลวงที่มีเสถียรภาพมากขึ้น ภาพจิตรกรรมฝาผนังนี้อธิบายสิ่งต่าง ๆ เกี่ยวกับการกระทำของผานเกิง”
ซูอันมองไปที่จิตรกรรมฝาผนังที่สี่
“หืม? ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงดูงดงามโดดเด่นเหนือกว่าใครทั้งหมดเลย?”