———-
บทที่ 772 เรื่องราวในจิตรกรรมฝาผนัง
หมี่ลี่พ่นลมหายใจ “ดูเจ้าสิ ในหัวของเจ้าเต็มไปด้วยความคิดที่จะมองหาสาวงาม เจ้ากำลังดูหมิ่นบรรพบุรุษของเจ้า! นางคือ ฟู่ห่าว จักรพรรดินีของจักรพรรดิอู่ติงผู้เป็นหนึ่งในจักรพรรดิที่ทรงอิทธิพลที่สุดของราชวงศ์ซาง หลังจากที่ผานเกิงย้ายเมืองหลวง ราชวงศ์ซางก็ค่อย ๆ มีเสถียรภาพ เมื่อถึงรุ่นของพระเจ้าอู่ติง อาณาจักรซึ่งเคยตกต่ำก็เจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง ไม่เพียงแต่จักรพรรดิอู่ติงจะมีความสามารถเท่านั้น แต่จักรพรรดินีฟู่ห่าวก็มีความสำคัญอย่างยิ่งเช่นกัน
“ในตอนนั้นเผ่าอื่นโดยรอบล้วนแข็งแกร่งมาก พวกเขาล้วนปรารถนาความมั่งคั่งของดินแดนราชวงศ์ซาง…”
“เผ่า?” ซูอันถามแทรกนาง
“นั่นคือคำที่ราชวงศ์ซางใช้เรียกผู้คนชนชาติอื่นที่อยู่รอบ ๆ อาณาจักร” หมี่ลี่อธิบาย นางมองย้อนกลับไปที่ภาพของฟู่ห่าว “ในตอนนั้นราชวงศ์ซางทำสงครามอย่างต่อเนื่อง จักรพรรดินีฟู่ห่าวสั่งการกองทัพด้วยตนเอง เอาชนะชนเผ่าต่างชาติทีละฝ่าย และกวาดล้างดินแดนของศัตรูบางส่วน สิ่งนี้ช่วยทำให้ราชวงศ์ซางมีเสถียรภาพอย่างสมบูรณ์ นางเป็นวีรสตรีที่น่าชื่นชมที่สุด”
ซูอันเห็นความชื่นชมในสายตาของหมี่ลี่และจำได้ว่านางก็เป็นจักรพรรดินีเช่นกัน นางคงประทับใจกับความสำเร็จของฟู่ห่าวมาก
หมี่ลี่หยุดอยู่หน้าจิตรกรรมฝาผนังอีกครั้ง ทันใดนั้นนางก็ขมวดคิ้ว “มีบางอย่างไม่ถูกต้อง!”
“อะไร?” ซูอันถามด้วยน้ำเสียงแปลก ๆ จิตรกรรมฝาผนังนี้เป็นรูปแม่น้ำซึ่งมีเรือหลายลำในแม่น้ำสายนี้ มีโคมไฟและป้ายสีทำให้มันดูเหมือนเป็นวันรื่นเริง มีเหล่าผู้คนมากมายเดินล้อมรอบเจ้าบ่าวและเจ้าสาวทั้งสองฝ่ายที่ดูเหมือนพิธีแต่งงานที่ยิ่งใหญ่
หมี่ลี่ชี้ไปที่คำสองสามคำข้าง ๆ ภาพจิตรกรรมฝาผนังและกล่าวว่า “ใจความหลักของจิตรกรรมฝาผนังนี้คือ ‘คู่สร้างจากสวรรค์’ แต่ถ้าข้าจำไม่ผิด ‘คู่สร้างจากสวรรค์’ มาจาก กวีนิพนธ์หนังสือเพลงซึ่งเป็นภาพงานแต่งงานของจีชางผู้ปกครองราชวงศ์โจว
“เมื่อเวลาผ่านไปจีชางได้พบกับภรรยาของเขาที่ริมฝั่งแม่น้ำเว่ย และรู้สึกประทับใจกับความงามของนาง และเมื่อเขารู้ว่านางเป็นคนที่มีจิตใจดีงาม เฉลียวฉลาด และใช้ชีวิตที่เรียบง่ายปราศจากเครื่องตกแต่ง จีซางจึงตัดสินใจรับนางเป็นภรรยาของเขา เนื่องจากไม่มีสะพานข้ามแม่น้ำเว่ย จีซางจึงตัดสินใจใช้เรือต่อกันเพื่อสร้างเป็นสะพานข้ามแม่น้ำเว่ย เรือมากมายเรียงรายต่อแถวจนเป็นสะพาน ซึ่งขบวนของเขาจะบรรจบกับขบวนของนางที่กลางสะพานเรือนี้ มันเป็นฉากที่ยิ่งใหญ่และงดงาม”
ซูอันรู้สึกทึ่ง “ฉากที่ว่าคือสิ่งที่อยู่บนจิตรกรรมฝาผนัง แล้วส่วนที่ว่าแปลกอยู่ที่ไหนล่ะ?”
“นี่คือสิ่งที่แปลกประหลาด” หมี่ลี่กล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว “จักรพรรดินีเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์จากแคว้นเสิ่น ย้อนกลับไปแม้ว่าแคว้นเสิ่นจะเป็นส่วนหนึ่งของอินซาง แต่นางก็ไม่ใช่เจ้าหญิงแห่งราชวงศ์ซางที่แท้จริง อักษรที่อยู่ข้างภาพจิตรกรรมฝาผนังนี้ระบุว่าพระเจ้าตี้ยี่จัดแจงให้น้องสาวผู้งดงามของเขาแต่งงานกับจีชาง ซึ่งคู่บ่าวสาวนั้นเหมาะสมกันไม่ต่างจาก ‘คู่สร้างจากสวรรค์’ อย่างแท้จริง แต่สิ่งนี้ขัดกับสิ่งที่เขียนไว้ในกวีนิพนธ์โดยสิ้นเชิง!”
“ตี้ยี่?” ชื่อทั้งหมดเหล่านี้เริ่มทำให้ซูอันหัวหมุน
หมี่ลี่ตอบว่า “เขาเป็นจักรพรรดิองค์ที่สองรองลงมา เช่นเดียวกับพ่อของพระเจ้าซางโจ้วซึ่งเจ้าอาจรู้จักมากกว่า”
“โอ้ พระเจ้าซางโจ้ว!” ดวงตาของซูอันเป็นประกาย “ข้ารู้ว่าใครเป็นใคร เขาตกหลุมรักกับปีศาจจิ้งจอกต๋าจีซึ่งส่งผลให้ราชวงศ์ซางล่มสลาย ทุกคนต่างรู้ดีเรื่องนี้ แต่ข้าสงสัยจริง ๆ ว่าพระนางต๋าจีงดงามถึงขนาดที่ร่ำลือกันจริง ๆ หรือเปล่า?”
ตำราสมัยใหม่มีบันทึกมากมายเกี่ยวกับพระเจ้าซางโจ้วแห่งราชวงศ์ซางและพระนางต๋าจี แต่ซูอันไม่ได้สนใจเรื่องนั้น สิ่งที่เขาอยากรู้มากกว่าก็คือปีศาจจิ้งจอกที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์นั้นงดงามเพียงใด
“เจ้านี่มันบ้ากามจริง ๆ!” หมี่ลี่ก่นด่า ก่อนจะชี้ไปที่ภาพจิตรกรรมฝาผนังภาพสุดท้ายแล้วพูดว่า “ข้าเชื่อว่าพระนางต๋าจีที่เจ้าอยากเห็นอยู่ตรงนั้น”
ซูอันมองดูอย่างสงสัย และเห็นผู้หญิงคนหนึ่งถูกร่างด้วยลายเส้นที่งดงาม แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถเห็นรูปร่างหน้าตาที่แท้จริงของนางผ่านจิตรกรรมชิ้นนี้ได้ แต่เขาสามารถบอกได้จากส่วนโค้งเว้าว่านางมีรูปร่างที่สวยงามเป็นพิเศษ “โว้ว เอวนางบางมาก! และหน้าอกของนางก็ใหญ่เกือบเท่าส้มโอ…”
หมี่ลี่กลอกตา นางคุ้นเคยกับด้านที่เสื่อมทรามของเขาแล้ว นางยังคงอธิบายเกี่ยวกับภาพจิตรกรรมฝาผนังต่อไป “ภาพวาดนี้แสดงให้เห็นเรื่องราวและสาเหตุที่ราชวงศ์ซางถูกทำให้ล่มสลาย นี่คือการศึกแห่งมู่เหย่ กองทัพของราชวงศ์ซางย้ายข้างก่อนการต่อสู้ ซึ่งนำไปสู่ความพ่ายแพ้อย่างยับเยิน…ด้วยความสิ้นหวังพระเจ้าซางโจ้วแห่งราชวงศ์ซางได้ฆ่าตัวตายพร้อมกับจักรพรรดินีด้วยการเผาตัวเอง หลังจากนั้นราชวงศ์โจวจึงถูกสถาปนาขึ้น ลูกชายของพระเจ้าซางโจ้ว องค์รัชทายาทอู๋เกิงถูกทิ้งไว้ที่เมืองอินซางเพื่อเป็นการเซ่นไหว้บรรพบุรุษ”
“ห้ะ?” ซูอันค่อนข้างอยากรู้อยากเห็น “ราชวงศ์ซางถูกราชวงศ์โจวกำจัดจนหมดสิ้นไปแล้วไม่ใช่หรือ? ทำไมลูกชายของพระเจ้าซางโจ้วจึงได้รับอนุญาตให้อยู่ในเมืองหลวงภายใต้ร่มธงของราชวงศ์ซาง?”
“ในสมัยโบราณ มีกฎที่ไม่ได้เขียนไว้ว่าคน ๆ หนึ่งสามารถทำลายชาติได้ แต่ไม่ใช่ขนบธรรมเนียมของอีกฝ่าย แต่อย่างไรก็ตามกฎนี้มันมีเหตุผลเบื้องหลังที่ไม่ได้เกี่ยวกับความชอบธรรมอันสวยหรูอย่างที่ผู้คนเข้าใจ และไม่ได้ถูกนำมาใช้บ่อยนัก” หมี่ลี่เยาะเย้ย “ยกตัวอย่างเช่น แม้ว่าราชวงศ์โจวจะเป็นฝ่ายที่ชนะ แต่พวกเขาก็ถูกบังคับให้ประนีประนอมเพราะราชวงศ์ซางถึงแม้จะพ่ายแพ้ แต่ก็เป็นราชวงศ์ที่ดำรงอยู่มาอย่างยาวนานเป็นอาณาจักรใหญ่ที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ดังนั้นจึงยังคงมีอิทธิพลหลงเหลืออยู่มากมาย ในทางกลับกัน หลังจากนั้นราชวงศ์โจวได้โจมตีอาณาจักรอีกหลายอาณาจักรซึ่งเป็นอาณาจักรเล็ก ๆ และทุกครั้งพวกเขาไม่เคยปล่อยให้อาณาจักรเล็ก ๆ เหล่านั้นเหลือขนบธรรมเนียมเดิมของตนเอาไว้เลย แตกต่างจากราชวงศ์ฉินของเรา เราไม่เคยหน้าซื่อใจคด ถ้าเราต้องการกำจัดศัตรู เราก็จะทำมัน ถ้าเราบอกว่าเราจะกำจัดชาติพันธุ์นั้น นั่นคือสิ่งที่เราจะทำ”
ซูอันมองนาง เขาพูดไม่ออก
เขาสังเกตเห็นความบ้าคลั่งในดวงตาของหมี่ลี่และกลืนน้ำลาย ผู้หญิงคนนี้เป็นคนอารมณ์รุนแรงยิ่งนัก
หมี่ลี่กล่าวต่อว่า “ราชวงศ์ซางดำรงอยู่มาหลายศตวรรษแล้ว ดังนั้นแม้ว่าพระเจ้าซางโจ้วจะสิ้นพระชนม์ไปแล้ว แต่กองกำลังที่เหลือของพวกเขาก็ยังมีอยู่มากมาย ราชวงศ์โจวอนุญาตให้อู๋เกิงอยู่ในเมืองอิ๋นในฐานะอ๋องผู้ภักดีของราชวงศ์ซาง แต่เจ้าก็ไม่ควรดูถูกเขาเพียงเพราะเขาพ่ายแพ้ในศึกมู่เหย่ เพราะสี่ปีต่อมาอู๋เกิงได้ยุยงให้เกิดการกบฏ และราชวงศ์โจวต้องใช้เวลาถึงสามปีในการทำให้บ้านเมืองกลับสงบสุขได้อีกครั้ง
“แม้ว่าสายเลือดของอู๋เกิงจะสิ้นสุดลง แต่ผู้ภักดีของราชวงศ์ซางยังคงมีอยู่และแบ่งออกเป็นกองกำลังที่ทรงพลังอีกสองกองกำลัง จีจื่อ ผู้เป็นลุงของพระเจ้าซางโจ้วไม่เต็มใจที่จะคุกเข่าเพื่อรับใช้ราชวงศ์โจว ดังนั้นเขาจึงนำคนบางส่วนจากเมืองอินซางไปยังเป่ยเฉียนเพื่อก่อตั้งแคว้นเฉาเซียน และลูกชายคนเดียวของพี่ชายของพระเจ้าซางโจ้วได้นำผู้คนของตนเองออกไปก่อตั้งแคว้นซ่งซึ่งมีชื่อเสียงมากเช่นกัน แต่คนที่พอจะรู้ประวัติศาสตร์อย่างเจ้าน่าจะพอรู้อยู่บ้างว่ามีเรื่องราวมากมายที่ถูกบันทึกเอาไว้ว่าคนของแคว้นซ่งนั้นน่าสังเวชแค่ไหน”
รอยยิ้มของหมี่ลี่เย้ยหยัน “ท้ายที่สุด แคว้นซ่งก็ประกอบด้วยผู้อพยพจากอินซาง แต่แคว้นอื่น ๆ ทั้งหมดประกอบด้วยชาวโจว นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมชาวซ่งถึงถูกคนจากแคว้นอื่นเยาะเย้ยอยู่เสมอ”