ภาค 4 ตอนที่ 62 ข้าว่าไม่ดี

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

หนิงอวิ๋นเจาไม่เพียงเอ่ยเช่นนี้อย่างไม่เปลี่ยนสีหน้า ยังยกเท้าเดินออกไปข้างนอกจริงๆ

สหายขุนนางด้านในดูไม่ได้อีกต่อไป

“พอแล้วพอแล้ว ใต้เท้าหนิงท่านไม่ต้องเสแสร้งแล้ว” เขาลุกขึ้นก้าวไวๆ เข้ามาดึงหนิงอวิ๋นเจาไว้ เอ่ยกับคนที่เข้าประตูมา “พวกเจ้าอยู่ด้านนอกคุยอะไรกัน? พวกเราอยู่ในห้องฟังไม่ชัด”

คนที่มา รวมถึงผู้คนที่อยู่นอกประตูอึ้งไปจากนั้นก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย

“ใต้เท้าหนิงไม่ใช่สองหูไม่ฟังเรื่องนอกหน้าต่างรึ” คนหนึ่งเอ่ยขึ้น

หนิงอวิ๋นเจายิ้มแล้ว

“ที่สองหูไม่ฟังคือเรื่องนอกหน้าต่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง” เขากดเสียงเบาเอ่ย

คนข้างในข้างนอกตะลึงนิดหนึ่งจากนั้นก็ล้วนหัวเราะ ทั้งยังค่อนข้างสะท้อนใจ

นี่เป็นถ้อยคำจริงแท้นัก ไม่ปกปิดเสแสร้งสักนิด คนทุกคนล้วนพูดว่าเพื่อส่วนรวมไม่เห็นแก่ส่วนตัว แต่ใครจะไม่มีความเห็นแก่ตัวอย่างแท้จริงได้เล่า?

“ใต้เท้าหนิงก็อย่าแอบฟังเช่นนี้เลย” ฉับพลันก็มีคนผู้หนึ่งก้าวออกมาเอ่ยขึ้น “พวกเรากำลังจะออกไปทานอาหารง่ายๆ สักมื้อ ไม่สู้ใต้เท้าหนิงไปด้วยกันกับพวกเราเถอะ”

เขาเอ่ยประโยคนี้ออกมา คนด้านหลังร่างก็ปั่นป่วนอยู่บ้าง

“ดีๆ พวกเราไปด้วยกัน” คนในห้องเดียวกับหนิงอวิ๋นเจาเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น

หนิงอวิ๋นเจาก็พยักหน้าด้วย

“ดี ถ้าอย่างนั้นก็ไปด้วยกันเถอะ” เขาเอ่ย

เห็นหนิงกับเจากับคนหลายคนเดินไปข้างหน้า หลายคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังก็สีหน้าปั้นยากอยู่บ้าง

“ทำไมเรียกเขาเล่า เขาแซ่หนิงนะ” คนผู้หนึ่งเอ่ยเสียงเบา “หนิงเหยียนเป็นคนที่ปกป้องเฉิงกั๋วกง”

แต่อีกคนส่ายศีรษะทันที

“ขุนนางน้อยหนิงกับใต้เท้าหนิงไม่เหมือนกัน” เขาเอ่ยเสียงเบา

“ไม่เหมือนกันอย่างไร ล้วนเป็นคนครอบครัวเดียวกัน ข้อศอกจะหักออกข้างนอกได้หรือ?” คนก่อนหน้านี้ขมวดคิ้วเอ่ย

“ไม่ๆ ไม่หักออกข้างนอก แต่เขาหักเข้าหาตัวเขาเอง” อีกคนหนึ่งก็เอ่ยเสียงเบา

“ใช่แล้ว ครั้งก่อนตอนใต้เท้าหนิงคัดค้านการเจรจาสงบศึก ขุนนางน้อยหนิงก็ไม่ได้เอ่ยอะไร” มีคนเขยิบเข้ามาเอ่ยเสียงเบา “นอกจากนี้เพระเขาเอ่ยเตือน หลายคนถึงไม่เป็นปลาติดหลังแหไปด้วย ไม่ใช่แค่พวกที่สนับสนุนสงครามยังมีพวกที่เจรจาสงศึกด้วย”

ฟังทุกคนเล่าเช่นนี้ คนที่เดิมทีสงสัยพลันสีหน้าประหลาดใจจากนั้นก็เข้าใจ

“เช่นนี้ดูท่าขุนนางน้อยหนิงจะฉลาดยิ่ง ถ้าอย่างนั้นให้เขาหารือด้วยกันสักหน่อย บางทีอาจมีความคิดเห็นที่ไม่เลว” เขาเอ่ย

……………………………………….

ในเหลาสุราตระกูลจางที่ตั้งอยู่ในแถบซึ่งรุ่งเรืองที่สุดของเมืองหลวง กลางวันกลางคืนล้วนครึกครื้นอย่างยิ่ง

เวลานี้ในห้องส่วนตัวที่กว้างขวางห้องหนึ่งคนนั่งอยู่เต็ม แต่ละคนๆ แม้ดูไปแล้วสวมใส่เรียบง่าย แต่ชูมือยกเท้าก็มีบรรยากาศน่าเกรงขามอยู่บ้าง พนักงานต้อนรับตาแหลมมองปราดเดียวก็จดจำได้ว่าพวกเขาล้วนเป็นขุนนางเมืองหลวง

แน่นอนพนักงานต้อนรับก็มองออกพร้อมกันว่าตำแหน่งของคนเหล่านี้ไม่สูง ขุนนางเช่นนี้ที่เมืองหลวงมากมายนัก คนส่วนมากเต็มที่ก็เป็นแค่ขุนนางชั้นผู้น้อย

แต่ขุนนางเมืองหลวงอย่างไรก็เป็นขุนนางเมืองหลวง พวกเขาจำนวนมหาศาล นอกจากนี้ยึดครองเมืองหลวงมานานปีความสัมพันธ์ซับซ้อนไม่อาจดูแคลน

พวกเขาคุยเล่นเอื่อยเฉื่อย คำพูดคำจาเรียบง่ายแต่เฉียบคมแฝงนัย หลังสุราชาหลายถ้วยผ่านไปก็หารือหลายๆเรื่อง

“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ความเห็นของทุกคนล้วนเหมือนกัน”

บุรุษอายุสี่สิบกว่าปีคนหนึ่งลุกขึ้นยืนพูด เอ่ยวาจาอย่างชำนาญประหนึ่งขยับมือขยับเท้า เห็นชัดว่าเป็นคนที่คลุกคลีในวงขุนนานมาเนิ่นนานคนหนึ่ง

“เฉิงกั๋วกงต้องการรางวัลถึงขั้นควักท้องพระคลังจนว่างเปล่า แล้วยังบีบบังคับให้พ่อค้าออกเงิน ขุนนางออกเบี้ยหวัด การกระทำนี้โอหังเหิมเกริมจริงๆ”

ผู้คนที่นั่งอยู่พากันพยักหน้า

“ใช่แล้ว เขากระหายความชอบ ละโมบสงครามทำร้ายประชาชน”

“วันนี้กองทหารทุกกองล้วนเอาอย่างเขาแล้ว แย่งความชอบแย่งรางวัลถ่ายเดียว ประหนึ่งพวกพยัคฆ์สุนัขป่าเจ้าเล่ห์”

“หากครั้งนี้ปล่อยให้พวกเขาทำสำเร็จ วันหน้ายิ่งต้องได้คืบจะเอาศอกแน่”

“วันนี้ปล้นกำไรพ่อค้า เบี้ยหวัดร้อยขุนนาง ร้อยอีแปะไม่กี่ตำลึง วันหน้าก็ปล้นร้อยตำลึงพันตำลึงได้ ถึงเวลาไม่รู้พ่อค้าเท่าไรจะต้องบ้านแตกสาแหรกขาด”

ชั่วเวลาหนึ่งคำพูดดังขึ้นไม่ขาด

บุรุษลุกขึ้นยืนพอใจกับปฏิกิริยาของทุกคนมาก ยกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนหยุด ในดวงตาฉายแววเย็นเยียบสายหนึ่ง

“บรรดาพ่อค้าที่ถูกรังแกบีบบังคับเหล่านั้นตัดสินใจรวมตัวกันร้องเรียนแล้ว พวกเราในฐานะขุนนางไม่สะดวกดำเนินการ ดังนั้นพวกเราต้องเกลี้ยกล่อมเหล่านักเรียนให้ร้องขอชีวิตแทนเหล่าพ่อค้า รวมชื่อเสนอความเห็น และรวมตัวหยุดเรียน รับประกันว่าจะมีการรับฟัง” เขาเอ่ย

บรรดาพ่อค้าร้องเรียนน่ะช่างเถิด นักเรียนหยุดเรียนนี่สิเรื่องใหญ่ นักเรียนคือผู้ได้รับการศึกษา เป็นขุนนางและบัณฑิตในอนาคต ตัวแทนขนบความคิดของบ้านเมือง หากพวกเขาออกหน้าตอบโต้ย่อมจุดคลื่นลมครั้งใหญ่ได้แน่นอน

ในห้องฉับพลันยิ่งครึกครื้น

“ทุกคนคิดว่าอย่างไร?” บุรุษเอ่ยถามอีกครั้ง แล้วก็เพียงเอ่ยถามเท่านั้น ในใจมั่นใจว่าจะไม่มีใครคัดค้าน อย่างไรเรื่องนี้ก็เคลื่อนไหวมาช่วงหนึ่งแล้ว

เสียงของเขาเพิ่งจบก็ได้ยินมีคนเอ่ยเสียงกังวานใส

“ข้าคิดว่าไม่ดี”

เสียงนี้ทำให้ในห้องโถงใหญ่เงียบลงทันที ใครกันล่ะนี่? ให้คนก่อกวนเข้ามาได้ยังไง?

สายตาของคนทั้งหมดมองไปยังที่มาของเสียง ก็เห็นชายหนุ่มหล่อเหลาสง่างามคนหนึ่งนั่งอยู่บนเบาะกลม เรือนร่างผึ่งผาย สีหน้าอบอุ่น ทำให้คนมองปุบจิตใจเบิกบาน

เพียงจากใบหน้ากับสีหน้ายากจะเชื่อมเขากับคนที่จงใจก่อกวนได้

พูดผิดใช่หรือไม่?

“ทุกท่าน ข้ารู้สึกว่าเช่นนี้ไม่ดี” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยอีกหน

ในห้องเอะอะวุ่นวายพักหนึ่ง คนที่พาเขามายิ่งลนลาน

ยังดีบุรุษที่เป็นหัวหน้าพบความวุ่นวายมาจนชินแล้ว แม้โมโหแต่สงบลงอย่างรวดเร็วยิ่ง

“ใต้เท้าน้อยหนิง ขอชีวิตให้แก่ประชาชนมีสิ่งใดไม่ดี?” เขาย้อนถาม

“ร้องขอชีวิตให้ประชาชนย่อมเป็นเรื่องดี” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยขึ้น “เพียงแต่เรื่องนี้เป็นพระบัญชาของฮ่องเต้ ทุกคนทำเช่นนี้จะขัดบัญชาฮ่องเต้หรือ?”

หนิงฉางผู้มีความสามารถระดับจอหงวนร่ำเรียนหนังสือจนโง่ไปแล้วหรือ? พวกเขาย่อมไม่ต้องการขัดพระบัญชาฮ่องเต้ ดังนั้นถึงเล็งหัวหอกไปที่เฉิงกั๋วกง

“ฝ่าบาทถูกเฉิงกั๋วกงบีบบังคับปิดบังถึงออกคำสั่งเช่นนี้” บุรุษที่เป็นหัวหน้าเอ่ยอย่างอดทน “ดังนั้นพวกเราถึงต้องให้เฉิงกั๋วกงฟังเสียงจากหัวใจหมื่นประชา หันกลับพบฝั่ง”

หนิงอวิ๋นเจาส่ายศีรษะ

“แต่เรื่องนี้จังหวะไม่เหมาะ” เขาก็เอ่ยอย่างอดทนเช่นกัน สีหน้านิ่งสงบ น้ำเสียงสงบนิ่ง ทำให้คนรู้สึกว่าจริงใจอย่างยิ่ง “ต้องการสรรเสริญความชอบต้อนรับเฉิงกั๋วกงเป็นพระบัญชาของฝ่าบาท ถึงเวลาเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นจะให้องค์ชายที่เสด็จมาต้อนรับทำอย่างไร? จะให้ฮ่องเต้ที่ทรงรออยู่ที่ประตูวังทำอย่างไร? หมื่นประชาล้วนรอดูอยู่ สิ่งที่ต้องการดูไม่ใช่แค่เฉิงกั๋วกง ยังมีพระบารมีของฝ่าบาทด้วย เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ตบหน้าเฉิงกั๋วกงได้ทีหนึ่ง แต่ในเวลาเดียวกันก็ตบพระพักตร์ฮ่องเต้ด้วย”

ตั้งใจคิดดูก็เหมือนจะเป็นเช่นนี้จริงๆ ที่พวกเขาคิดจะทำเช่นนี้ก็เพราะมีฮ่องเต้อยู่ ถึงเวลาจุดโทสะของฮ่องเต้ จะได้ลงโทษเฉิงกั๋วกงได้ง่ายๆ

แต่นี่ก็เป็นการตบพระพักตร์ฮ่องเต้จริงๆ ถึงเวลาลงโทษเฉิงกั๋วกงแล้ว คนที่ก่อเรื่องเหล่านี้ก็เกรงว่าคงไม่รอด…

ในห้องเสียงถกเถียงแผ่วเบาดังขึ้น

“เจตจำนงของปวงชนเป็นใหญ่ ฝ่าบาทไม่มีทางบันดาลโทสะเพราะเจตจำนงของปวงชน…” บุรุษรีบยกมือส่งสัญญาณเอ่ยเสียงดัง

หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยต่อคำเขา

“ฝ่าบาทเข้าอกเข้าใจประชาชน พวกเราก็ต้องเข้าอกเข้าใจฝ่าบาทสิ” เขาเอ่ย “ดังนั้นข้าคิดว่าขอชีวิตแน่นอนย่อมต้องขอ แต่วิญญูชนมีสิ่งที่กระทำกับสิ่งที่ไม่กระทำ เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของฝ่าบาท ไม่ควรให้ฝ่าบาทอับอายเช่นนี้”

เขาพูดพลางลุกขึ้นยืน เดินหลายก้าวมาถึงตรงกลาง

เทียบกับบุรุษอายุสี่สิบกว่าปีคนนั้น เสียงของหนิงอวิ๋นเจาใสกังวาน ท่วงท่างามสง่า ดึงความสนใจของคนทั้งหมดทันที

“พวกเราผู้กินเงินหลวงภักดีต่อเจ้าแผ่นดินสมควรเลือกจังหวะที่เหมาะสมกว่านี้ทำเรื่องนี้ ใช้คำชาวบ้านประโยคหนึ่งพูดก็คืออย่าฉีกหน้าฮ่องเต้ยามพระองค์ปรีดา”

“เจรจาสงบศึกสำเร็จ บ้านเมืองสงบสุขประชาชนร่มเย็น ความกังวลพระทัยเพราะสงครามในที่สุดก็สลายไป เป็นวาระหายากยิ่งที่ทั้งประเทศเฉลิมฉลอง ฝ่าบาทก็ทรงดีพระทัย ขอทุกท่านใคร่ครวญด้วย”

หนิงอวิ๋นเจาพูดจบก็คำนับรอบด้านให้ทุกคนในห้อง

เสียงถกเถียงในห้องยิ่งดัง สีหน้าคนไม่น้อยปรากฏความลังเล ยังมีคนพยักหน้าอย่างขัดๆ อีก

บุรุษที่เป็นหัวหน้ามองเห็นสถานการณ์นี้ในใจโกรธจนแทบคลั่ง

ไม่ผิด ที่หนิงอวิ๋นเจาพูดมาล้วนถูกต้อง แต่มีเพียงจุดเดียวไม่ถูก ฮ่องเต้หาได้กลัวถูกฉีกหน้าไม่ ฮ่องเต้หาได้ต้องการหน้าครานี้ ฮ่องเต้อยากเห็นทุกคนตบหน้าพระองค์มากยิ่งกว่า

ทว่าเรื่องนี้ดันพูดไม่ได้ เพราะฉากหน้านี่ของฮ่องเต้ทำไว้พร้อมเกินไป ดีงามเกินไปแล้ว

เขาจ้องหนิงอวิ๋นเจาอย่างดุร้าย

น่าโมโหจริงๆ ขุนนางใหญ่ผู้ตรงไปตรงมาคัดค้านโดยไม่สนความพอพระทัยของฮ่องเต้พรรค์นั้นอย่างหนิงเหยียน ทำไมเลี้ยงหลานช่างประจบเช่นนี้คนหนึ่งออกมาได้?

อยากจะเอาพระพักตร์ฮ่องเต้เทินไว้เหนือศีรษะตลอดเวลายิ่งนัก

ไม่เอาไหนจริงๆ !