ภาค 4 ตอนที่ 63 คนที่ขวางคือใครใครขวางได้

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

บุรุษวัยกลางคนโกรธแทบตาย แต่เขาก็ไม่อาจอ้าปากด่าเสียงดังตรงนี้ได้

เพราะหนิงอวิ๋นเจาปากพร่ำพูดบอกว่ากำลังปกป้องฮ่องเต้

แม้เขาชิงชังหนิงอวิ๋นเจาผู้ประจบอย่างไม่มีแก่นสารคนนี้ แต่ตอนนี้เขาไม่คิดจะเป็นขุนนางที่เคียดแค้นดั่งศัตรูรู้จักแต่เหตุผลไม่รู้จักเจ้าแผ่นดิน

เขาไม่คิดว่าคำพูดที่เอ่ยตอนนี้เวลานี้นาทีนี้จะปิดบังองครักษ์เสื้อแพรได้ ปิดบังองครักษ์เสื้อแพรไม่ได้ย่อมปิดบังฮ่องเต้ไม่ได้เช่นกัน

เขาอยากพูดอะไรก็ไม่รู้ควรพูดอย่างไร เห็นหนิงอวิ๋นเจายืนอยู่กลางผู้คนทั้งยังคุยจ้อแล้ว

นี่ใครพาหนิงอวิ๋นเจาเข้ามา? เรื่องดีงามถูกเขาทำยุ่งหมดแล้ว

เขาโกรธแค้นมองกวาดในห้อง

……………………………………….

“เช่นนี้ก็ไม่อาจโน้มน้าวได้เท่าไร”

หนิงสืออีถอนหายใจเอ่ย

“พวกเขาวางแผนมานานแล้ว หน้าของฮ่องเต้พวกเขาย่อมขบคิดมาแล้ว”

เขามองไปทางหนิงอวิ๋นเจา

หนิงอวิ๋นเจากับหนิงเหยียนนั่งประจันหน้าเดินหมากกันอยู่

“ข้ารู้” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย ยิ้มให้หนิงสืออี “เกลี้ยกล่อมได้เท่าไรก็เท่านั้น(”

อนาคตคนก่อเรื่องที่ประตูเมืองน้อยลงสักหลายคนก็ดี

น้อยลงสักหลายคนมีประโยชน์อะไรเล่า ที่สำคัญคือเรื่องนี้กดไม่ลงอีกแล้ว

“สถานการณ์ไม่ดีนะ” หนิงสืออีถอนหายใจเอ่ยต่อ

“เมืองหลวงวันนี้ภายใต้ลมสงบคลื่นใต้น้ำกำลังถาโถม”

“บริจาคเบี้ยหวัดให้รางวัลแม่ทัพ นี่สำหรับบรรดาขุนนางพลเรือนและบัณฑิตทั้งหลายแล้ว ไม่เคยมีมาก่อน ยากจะยอมรับจริงๆ”

“ที่สำคัญกว่าคือไม่ใช่เงินมากเงินน้อย แต่เรื่องนี้ไม่อาจเริ่มเป็นเยี่ยงอย่างได้”

“มีหนึ่งย่อมยากเลี่ยงมีสอง ทุกคนไม่มีทางให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ต้องก่อเรื่องขัดขวางแน่”

หนิงเหยียนวางเม็ดหมากในมือลง ถอนหายใจเบาๆ

“พูดให้ถึงที่สุดแล้ว เฉิงกั๋วกงขอความดีความชอบครั้งนี้ขอได้ไม่เหมาะกาละเทศะ” เขาเอ่ย

เฉิงกั๋วกงกลับมาหลังเจรจาสงบศึก นอกจากนี้ถึงกลับมาจากเขตแดนของชาวจินได้ทว่าไม่ได้ชนะครั้งใหญ่แต่ถูกคนช่วยหนีรอดจากความตายออกมา

พูดให้ชัดไม่ใช่ได้ชัยชนะครั้งใหญ่กลับมา ฮ่องเต้พระราชทานรางวัลมากเช่นนี้ยากจะกล่อมผู้คนได้จริงๆ

“ใช่แล้ว ไม่เช่นนั้นพวกใต้เท้าหวงก็คงไม่เห็นด้วยกับการพระราชทานรางวัลครั้งนี้อย่างเต็มที่เช่นนี้” หนิงอวิ๋นเจายิ้มเอ่ย

“นี่มันฆ่าคนด้วยการสรรเสริญ” หนิงสืออีเอ่ย “ผลักเขามาบนยอดคลื่นลม หลังจากนั้นดึงประชาชนและเหล่าขุนนางให้มองเฉิงกั๋วกงเป็นอริ”

เขาพูดพลางกระเถิบไปข้างหน้าอีกครั้ง แทบจะชนกระดานหมากคว่ำ

“เหล่าขุนนางเป็นอริ นี่คือล่วงเกินทั้งราชสำนัก ครั้งนี้เฉิงกั๋วกงเข้าเมืองหลวงอันตรายแล้ว”

พูดพลางก็ส่ายศีรษะยิ้มขมขื่น

“เข้าเมืองหลวง เกรงว่าเมืองหลวงนี่ก็เข้าไม่ได้แล้ว”

หนิงเหยียนสีหน้าบึ้งตึง

“ไม่มีวิธีแล้วรึ?” เขาเอ่ย “จะปล่อยให้ความชั่วร้ายดำเนินไป หลอกลวงเบื้องสูง หลอกลวงประชาชนหรือ?

“ไม่แน่” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย “ไม่แน่ว่าจะโชคร้ายปานนั้น”

“สถานการณ์เลวร้ายมาก พี่สิบในใจท่านย่อมรู้ชัด ทำไมยังเอ่ยวาจาเช่นนี้?” หนิงสืออีขมวดคิ้วเอ่ย

หนิงอวิ๋นเจาหัวเราะแล้ว คีบหมากเม็ดหนึ่งขึ้นมา

“เพราะพวกเขาเห็นเพียงเฉิงกั๋วกงจะเข้าเมืองหลวง แต่ลืมแล้วว่าที่จริงยังมีอีกคนหนึ่งจะเข้าเมืองหลวงด้วย” เขาเอ่ย

พูดพลางก็วางเม็ดหมากในมือลง ยิ้มเล็กน้อย

“ข้าชนะแล้ว”

หนิงเหยียนกับหนิงสืออีมองกระดานหมากโดยไม่ทันรู้ตัว เห็นหมากดำของหนิงอวิ๋นเจาชนะแน่นอนแล้วจริงๆ

“เอ๋! ก่อนหน้านี้ท่านพ่อยังครองความเหนือกว่าอยู่เลยนะ?” หนิงสืออีอดไม่ได้ร้องเอ๋ทีหนึ่ง

หนิงอวิ๋นเจายิ้มพลางมองกระดานหมาก

“ดังนั้น อย่าได้ดูแคลนหมากตัวใดตัวหนึ่ง” เขาเอ่ย “ก้าวไม่ระวังก้าวหนึ่งก็อาจทำให้เจ้าแพ้ทั้งกระดานได้”

ยื่นมือลูบหมากเม็ดน้อยเกลี้ยงวาวดำดั่งหมึกเบาๆ

“นอกจากนี้หมากเม็ดนี้มีแผนการอยู่ก่อนแล้ว แต่ะก้าวๆ ล้วนตั้งใจ”

……………………………………….

“รู้อยู่แล้วเชียวว่าพ่อค้าใหญ่เหล่านี้ชักใยอยู่เบี้องหลัง”

ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยเสียงเบากับเฉินชี

“แล้วยังออกเงินอีกไม่น้อยสนับสนุนคนกลุ่มหนึ่ง”

เฉินชีขมวดคิ้วแน่น

“ถ้าอย่างนั้นนี่นับดูแล้วจำนวนคนก็มีหลายร้อยคนแล้ว” เขาเอ่ย “ใช้ได้จริงๆ ถึงกับยุคนได้มากปานนี้”

ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วหัวเราะ ยกถ้วยชาดื่มคำหนึ่ง

“ใช้ได้อะไรเล่า ก็แค่หว่านเงินซื้อ” เขาเอ่ยขึ้น “ผู้ใหญ่กี่อีแปะ เด็กกี่อีแปะ ร้องไห้กี่อีแปะ ล้วนบอกชัดเจนแจ่มแจ้ง”

เฉินชีสบถทีหนึ่ง

“หน้าไม่อายจริงๆ” เขาเอ่ย

แต่คนหน้าไม่อายนี่มักจะจัดการยากที่สุดเสมอ เขาอยู่ในห้องเดินไปมา ยากปิดบังความร้อนรน

“นายน้อยทราบแล้วหรือ?” เขาเอ่ยถาม “คุณหนูจวินที่แท้ไปที่ใดแล้ว? เรื่องนี้นางสนใจหรือไม่?”

พูดถึงตรงนี้ก็หยุดเท้าอีกหน ปรบมือทีหนึ่ง

“หากนางไม่เข้าเมืองหลวงด้วยกัน ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ไม่ต้องสนใจด้วยสิ เฉิงกั๋วกงถูกกลั่นแกล้งไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา”

ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วหัวเราะแล้ว

“เสี่ยวชีเอ๋ย ตอนนี้ไม่ว่านางอยู่ด้วยหรือไม่อยู่ด้วยก็ผูกอยู่กับเฉิงกั๋วกงแล้ว เฉิงกั๋วกงผู้นี้เป็นนางช่วยกลับมา เฉิงกั๋วกงเสียหน้า ถ้าอย่างนั้นนางก็เสียหน้าด้วย” เขาเอ่ยแล้วครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง “เจ้าวางใจเถอะ นางมีแผนอยู่ก่อนแล้ว นายน้อยด้านนั้นก็มีแผนการอยู่เหมือนกัน”

“ถ้าให้ข้าออกความเห็นนะ ง่ายดายยิ่งนัก แสดงตัวตนออกมาเสีย คุณหนูจวินแห่งโรงหมอจิ่วหลิง ดูสิใครยังกล้าขวางทาง” เฉินชีเอ่ย

ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว

“นั่นไยไม่ใช่ขาดทุนแล้ว?” เขาเอ่ย “คุณหนูจวินไม่มีคนกล้าขวาง เฉิงกั๋วกงก็ไม่อาจถูกขวางเช่นกัน นี่เป็นเรื่องคนละเรื่อง ชื่อเสียงคุณงามความชอบคนละอย่าง”

เขาเอ่ยพลางกุมมือ สีหน้าจริงจังแน่วแน่

“สักอย่างก็ไม่อาจเสียไปได้”

……………………………………….

วันที่เก้าเดือนห้า ท้องฟ้าฤดูร้อนยังไม่ทันสว่าง ในจวนสกุลลู่ก็จุดโคมไฟสว่าง

“องค์หญิงมาแล้ว”

นอกประตูเสียงดังขึ้น ลู่อวิ๋นฉีที่กำลังรับชุดขุนนางที่บ่าวหญิงสองนางส่งมาพลันชะงัก มองดูองค์หญิงจิ่วหลีที่เดินเข้ามา

“วันนี้หรือ?” นางเอ่ยถาม “ใต้เท้าเช้าปานนี้?”

องค์หญิงกับใต้เท้าไม่ได้อยู่ด้วยกัน และเรื่องปรนนิบัติสวมชุดขุนนางให้ใต้เท้า องค์หญิงย่อมไม่มีทางทำเช่นกัน ถึงขั้นที่ผ่านมานานปานนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่นางมายังห้องพักผ่อนของลู่อวิ๋นฉี

บ่าวหญิงสองนางก้มศีรษะสวมชุดให้ลู่อวิ๋นฉี

ลู่อวิ๋นฉีกางแขนออกปล่อยให้พวกนางทำงาน เพียงส่งเสียงอืมตอบองค์หญิงจิ่วหลี

องค์หญิงจิ่วหลีก็ไม่ได้เอ่ยวาจาอีก เพียงยืนอยู่ด้านข้างคล้ายมองลู่อวิ๋นฉีสวมชุดขุนนางอย่างตั้งใจ

นางไม่ได้มองตนเอง ในใจลู่อวิ๋นฉีรู้ชัดยิ่งนัก เขาก็ไม่ได้เอ่ยวาจา สวมชุดสีแดงสด สวมหมวกขุนนางเสร็จ ออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็วยิ่ง

องค์หญิงจิ่วหลียืนอยู่ตรงประตูมองส่ง มองดูลู่อวิ๋นฉีถูกองครักษ์เสื้อแพรขบวนหนึ่งห้อมล้อมจากไปข้างนอก คลับคล้ายสามีภรรยาผูกพันลึกซึ้ง

นางก็จะกลับมาด้วยหรือ?

“ใต้เท้า พ่อค้ากับนักเรียนเหล่านั้นเริ่มเคลื่อนไหวแล้วขอรับ” หัวหน้ากองพันเจียงเข้ามาใกล้ลู่อวิ๋นฉีพลางเอ่ยเสียงเบา

ลู่อวิ๋นฉีสีหน้าไร้ความรู้สึก

“เฉิงกั๋วกงด้านนั้นยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร ยังคงตั้งค่ายอยู่นอกเมืองหลวง” หัวหน้ากองพันเจียงเอ่ยต่อ

ลู่อวิ๋นฉียังคงไม่พูดไม่จาไม่สนใจใยดี เดินมานอกประตูมองดูเหล่าทหารองครักษ์เสื้อแพรที่ห้อยดาบปักวสันต์ไว้ที่เอวยืนนิ่ง

“คุณหนูจวินยังไม่มีข่าวคราว” หัวหน้ากองพันเจียงในที่สุดก็เอ่ยขึ้น “หลังที่อำเภอจิ้นเซี่ยนข่าวคราวขาดไปก็ไม่ทราบร่องรอย”

ลู่อวิ๋นฉีพลิกกายขึ้นม้า

“วันนี้นางจะมา” เขาเอ่ยพลางมองไปยังถนนด้านหน้า บนถนนยังคงดำสนิทไปหมด “ดูซิว่าพวกเขาจะขวางนางได้หรือไม่”

……………………………………….

และเวลานี้ในค่ายใหญ่แห่งหนึ่งนอกเมืองหลวง โคมไฟก็จุดสว่างเช่นกัน กำลังพลแถวแล้วแถวเล่ากำลังรวมตัวกัน เห็นเพียงธงสีสันสดใส เสียงกีบเท้าม้าดังกระหึ่ม รวมตัวเป็นกระบวนทัพเป็นระเบียบกองหนึ่ง

ชุดเกราะวาววับ หอกยาวประหนึ่งป่า เพราะการเคลื่อนไหวเป็นระเบียบพร้อมเพรียงเกินไป ชั่วแวบหนึ่งดูคล้ายคนในกระบวนทัพทั้งหมดหยุดนิ่งไม่ขยับ แต่กระบวนทัพทั้งหมดก็เคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ ประหนึ่งป้อมปราการหลังหนึ่งกลิ้งบดขยี้มา

เห็นบรรยากาศเช่นนี้ ทหารองครักษ์ทั้งหลายที่ค่ายทหารนอกเมืองก็อดไม่ได้สีหน้าซีดขาวสูดลมหายใจเย็นเยือก

พวกเขารู้อยู่แล้วว่ากองทหารในสนามรบเหล่านี้ไม่เหมือนกับทหารองครักษ์ หลายวันก่อนดูไปแล้วไม่แตกต่างมากอะไรนัก เวลานี้รวมพลตั้งกระบวนทัพถึงรู้ว่าบรรยากาศกดดันคนมากเท่าใด

กำลังพลขบวนหนึ่งเคลื่อนไหวพร้อมเพรียงอีกครั้ง ที่แท้เป็นเฉิงกั๋วกงขี่ม้ามาท่ามกลางวงล้อมของแม่ทัพกลุ่มหนึ่ง ทั้งร่างยังคงเป็นชุดเกราะหมวกเกราะสีขาวทั้งร่างนั่น ในมือกำดาบยาวอยู่

เห็นเฉิงกั๋วกงมาถึงหน้ากระบวนทัพ กระบวนทัพก็หยุดลงจากนั้นเงียบกริบไร้เสียง ใต้ท้องฟ้าราตรีประดุจหมึกใกล้สว่างมีเพียงเสียงพรึบพรับของคบไฟกับธงหลากสีสัน

สายตาเฉิงกั๋วกงกวาดผ่านกระบวนทัพ

พวกเขาเข่นฆ่าศัตรูมาสิบปี อยู่ที่ชายแดนกวัดแกว่งดาบกระบี่ ห่มเลือดอาบเปลวเพลิง สิ่งที่ทำก็คือเฝ้ารักษาชายแดนเพื่อช่วงชิงความสงบสุขให้ประชาชนข้างหลังเหล่านี้เสพ

ตอนนี้มีโอกาสกลับมาดูคนเหล่านี้ที่พวกเขาปกป้อง มองดูแผ่นดินอันรุ่งเรืองแห่งนี้ที่มีความดีความชอบของพวกเขาอยู่ แล้วก็ให้ประชาชนที่ถูกปกป้องได้มองดูบรรดาทหารแม่ทัพที่มีตัวตนอยู่จริงๆ เหล่านี้แล้ว

เฉิงกั๋วกงชูดาบยาวในมือ

“เข้าเมือง” เขาเอ่ย

กระบวนทัพเคลื่อนพร้อมเพรียง หอกยาวชูสูง เสียงประหนึ่งอสนีบาตคำรน

“เข้าเมือง!”

“เข้าเมือง!”