ตอนที่ 203-2 ฉีกหน้ากากคนงาม (1)

สวินหลันใช้ผ้าเช็ดหน้าซับมุมปาก “เรือนของเจ้าไม่มีหรือ กลับไปข้าจะสั่งห้องครัวให้ส่งขนมทานคู่กับชาชุดหนึ่งไปให้ทุกวัน”

เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “ขอบคุณฮูหยิน” มีของกินให้ ไม่เอาก็เสียของสิ “สายแล้ว เรือนของข้ายังมีธุระ ขอตัวกลับก่อน”

สวินหลันบอกเสียงอ่อนโยน “ทานอาหารกลางวันแล้วค่อยไปสิ”

เฉียวเวยยิ้ม บอกว่า “หมิงซิวอาจกลับมาตอนกลางวันก็ได้”

สวินหลันดื่มชาหนึ่งคำ มุมปากยิ้มบาง “ถ้าช่นนั้นข้าไม่รั้งเจ้าไว้แล้ว”

เฉียวเวยพาเด็กๆ กลับบ้านชิงเหลียน

หลังจากผ่านไปราวครึ่งชั่วยาม จีหว่านก็เดินเข้ามา บังเอิญมาทันอาหารกลางวันพอดี จีหว่านล้างมือ แล้วนั่งลงบนโต๊ะอาหารอย่างไม่เกรงใจสักนิด เด็กน้อยสองคนไปล้างมืออย่างเชื่อฟัง ปี้เอ๋อร์รีบยกอาหารขึ้นโต๊ะ เฉียวเวยนั่งลงติดกับนางแล้วถามเสียงเบา “เป็นเช่นไร เตือนท่านมิให้กินขนมซิ่งเหรินหรือไม่”

จีหว่านตอบ “ไม่”

เฉียวเวยตักข้าวให้นางหนึ่งถ้วย “ตอนนี้ท่านเชื่อข้าแล้วหรือยัง”

จีหว่านถือตะเกียบขึ้นมา “บางทีชิวผิงอาจไม่ได้บอกเรื่องที่ข้าตั้งครรภ์กับนางก็ได้”

เฉียวเวยตักข้าวให้จิ่วอวิ๋นกับวั่งซูอีกสองถ้วย “ข้าใช้ศีรษะเป็นประกัน ชิวผิงบอกนางแล้ว!” ชิวผิงดูปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนซื่อ นางจะปิดบังเรื่องสำคัญเช่นนี้กับสวินหลันหรือ ไม่มีเหตุผล

“ต่อให้นางรู้ ก็พิสูจน์อะไรไม่ได้ ข้าเองยังไม่รู้ว่าเลยว่าตั้งครรภ์แล้วกินซิ่งเหรินไม่ได้ ปี้เอ๋อร์เจ้ารู้หรือไม่” จีหว่านถามปี้เอ๋อร์ที่กำลังยกอาหารมา

ปี้เอ๋อร์งุนงงก่อนจะส่ายศีรษะ

จีหว่านยิ้มจางๆ “ปี้เอ๋อร์เป็นถึงสาวใช้ของหมอเทวดาน้อยอย่างเจ้าเชียวนะ”

ปี้เอ๋อร์วางปูทะเลที่นึ่งเรียบร้อยแล้วบนโต๊ะ

จีหว่านมองเฉียวเวยแล้วว่า “เจ้าก็เอาปูมาต้อนรับข้าเหมือนกันไม่ใช่หรือ เจ้ามีเจตนาร้ายต่อข้าหรืออย่างไร”

เฉียวเวยถลึงตาใส่นาง “ผู้ใดจะรู้ว่าท่านจแวะมากินอาหารเล่า นี่ของวั่งซูต่างหาก!”

แผนการแรกล้มเหลวแล้ว แต่เฉียวเวยไม่ท้อ

ความรู้สึกที่จีหว่านมีต่อสวินหลัน จะบอกว่าซับซ้อนก็ซับซ้อน จะบอกว่าเรียบง่ายก็เรียบง่าย

จีหว่านเกลียดชังสวินหลัน จุดนี้ไม่ต้องสงสัย

สวินหลันแต่งงานกับจีซั่งชิง มาแทนที่ตำแหน่งขององค์หญิง กลายเป็นนายหญิงแห่งตระกูลจี จีซั่งชิงไม่ใช่บิดาของสองพี่น้องอีกต่อไป แต่กลายเป็นสามีของสตรีคนอื่น บิดาแท้ๆ ของเด็กคนอื่น ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ล้วนทำให้จีหว่านเกลียดชังอย่างลึกล้ำ แต่สวินหลันกับจีหว่านเติบโตมาด้วยกัน สวินหลันมิเคยทำเรื่องเลวทรามแม้สักเรื่อง แม้แต่การแต่งเข้ามาในตระกูลจีล้วนเป็นจีซั่งชิงที่ยืนกราน ตั้งแต่ต้นจนจบสวินหลันล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์

ดังนั้นในใจของจีหว่าน แม้สวินหลันจะเป็นสตรีที่นางเกลียดชัง แต่ก็เป็นคนดีที่หาข้อติไม่ได้ด้วย

สวินหลันดีต่อนางไปจนถึงกระดูก

สมองส่วนเหตุผลบอกจีหว่านว่านางสมควรยอมรับสวินหลัน แต่นางทำไม่ได้ ดังนั้นในใจนางจึงรู้สึกละอาย ยามสวินหลันทำผิด ความจริงนางอภัยให้ความผิดของสวินหลันง่ายดายกว่าของผู้อื่น

เรื่องนี้ฟังดูแล้วบ้าบออย่างยิ่ง แต่เมื่อเป็นเรื่องที่เกิดกับคุณหนูสูงศักดิ์ผู้ดูเหมือนมิเห็นใจผู้คน แต่ความจริงแล้วใจอ่อนกว่าผู้ใดคนนี้อย่างจีหว่าน ก็ไม่มีอะไรให้น่าแปลกใจแล้ว

ทานอาหารเสร็จ เด็กน้อยก็ไปนอนกลางวัน เฉียวเวยเรียกจีหว่านเข้าไปในห้อง “ข้าทุ่มหมดหน้าตักเพื่อท่านแล้วจริงๆ”

จีหว่านมองนางอย่างประหลาดใจ “อะไรอีกเล่า”

“เรื่องเหล่านี้ แม้แต่หมิงซิวข้ายังไม่เคยบอก หากไม่ใช่เพราะก้อนเนื้อก้อนนี้ในท้องของท่าน ข้าก็คร้านจะสนใจท่านจริงๆ!”

จีหว่านหยิบพุทราแดงลูกหนึ่งขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน

เฉียวเวยเล่าว่า “เดือนก่อน สาวใช้สองคนในจวนตระกูลจีเกิดเรื่อง คนหนึ่งคือชุ่ยผิงสาวใช้ประจำห้องบุปผา คนหนึ่งนามว่าสือหลิวเป็นสาวใช้ประจำจวนตะวันออก ก่อนเกิดเรื่อง พวกนางทั้งสองคนล้วนเคยแวะมาบ้านชิงเหลียนให้ข้าตรวจรักษาให้ หลังจากตรวจแล้วก็ไปพบกับคนของเรือนถง ไม่นานก็เกิดอุบัติเหตุ”

จีหว่านกัดพุทราเบาๆ “คนในเรือนถงที่เจ้าพูดหมายถึงผู้ใด”

เฉียวเวยตอบตามความจริง “ชุ่ยผิงพบโจวหมามากับสวินซื่อ สือหลิวพบกับโจวมามา โจวมามาเป็นคนสนิทของสวินซื่อ คิดว่าท่านคงรู้ดี”

จีหว่านวางพุทราที่กินไปแล้วครึ่งหนึ่งลง แล้วหันไปมองเฉียวเวยอย่างจนปัญญา “เจ้าคิดว่าพวกนางเกิดเรื่องเพราะสวินซื่อส่งคนไปจัดการหรือ สวินซื่อเหตุใดจึงต้องทำเช่นนี้”

เฉียวเวยเห็นสีหน้านี้ของนางก็ทราบแล้วว่านางไม่เชื่อ จึงอธิบายอย่างตั้งใจ “ข้าได้ยินมาว่าก่อนข้าเข้าจวนมา ทุกคนหากมีผู้ใดปวดหัวตัวร้อนก็จะไปหาสวินซื่อ แต่หลังจากข้าเข้ามาก็ไม่มีผู้ใดไปรบกวนสวินซื่อแล้ว”

“เจ้าแย่งความดีเด่นของสวินซื่อมา สวินชินซื่อจึงเอาโทสะไประบายใส่สาวใช้ตัวน้อยสองคนหรือ” จีหว่านกลั้นเสียงหัวเราะไม่อยู่ ตบหลังมือของเฉียวเวยเบาๆ แล้วบอกด้วยความจริงใจ “ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้า แต่เจ้าคิดมากเกินไปแล้วจริงๆ แม้นางกับหมิงซิวจะเติบโตมาด้วยกัน แต่พวกเขาไม่มีสิ่งใดกันจริงๆ แล้วอีกอย่างวันนี้นางเป็นภรรยาของบิดาข้าแล้ว พูดอีกแง่หนึ่งก็คือหากทั้งสองคนเคยมีความรู้สึกอันใดต่อกันจริง ก็มิมีวันเป็นไปได้อีกต่อไปแล้ว เจ้าไยต้องกลัดกลุ้มเรื่องนางมิยอมปล่อยวางด้วยเล่า”

ในใจเฉียวเวยรู้สึกราวกับถูกกล่าวหา นางแทบจะร้องบทละครเรื่องโต้วเอ๋อถูกใส่ร้ายออกมาได้แล้ว นางไม่มีทางทำอะไรกับใครคนหนึ่งเพราะเกลียดชังคนผู้นั้น หากนางเป็นคนเช่นนี้ ตอนนั้นก็คงซ้อมศิษย์น้องเล็กของสำนักซู่ซินจงไปนานแล้ว “ข้าจะพิสูจน์กับท่านเป็นหนสุดท้าย หนนี้หากท่านยังไม่เชื่อ ข้ารับประกันกับท่านว่านับจากวันนี้เป็นต้นไป จะไม่ต่อว่านางต่อหน้าท่านอีกแม้แต่คำเดียว!”

หลังจากอาการธาตุเย็นสะสมของหลี่ซื่อได้เฉียวเวยรักษาให้ก็ดีขึ้นพอสมควรแล้ว อาการปวดท้องยามช่วงระดูมากำลังอยู่ระหว่างบำรุง เฉียวเวยมอบตำรับอาหารบำรุงธาตุร้อนให้นาง ทุกวันห้องครัวเล็กจะสรรหาวิธีมาปรุงโจ๊กบำรุงสุขภาพ ผ่านมาระยะเวลาหนึ่งสีหน้าของหลี่ซื่อก็เริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมาก

เรือนบ่าวรับใช้มีสาวใช้นางหนึ่งนามว่าหงซิ่ง ตั้งนามได้ดี แต่น่าเสียดายหน้าตาธรรมดา ทำงานก็เงอะงะ แต่ไหนแต่ไรมิเคยได้รับความไว้วางใจ เข้าจวนมาสองปีแล้วก็ยังคงเป็นสาวใช้ทำงานใช้แรงงานที่ไร้ขั้นไร้ตำแหน่งที่สุด

วันก่อนหงซิ่งผ่าฟืนแล้วข้อมือเคล็ด วันนี้ก็ยังไม่ดีขึ้น จึงมาขอร้องฮูหยินให้ดูให้หน่อย ได้ยินว่าวิชาแพทย์ของเฉียวเวยยอดเยี่ยม แต่นางเกรงว่าฐานะของตนเองต้อยต่ำ เฉียวเวยจะไม่ชายตาแลจึงตัดสินใจไปเรือนถง

เดินมาได้ครึ่งทางก็ถูกปี้เอ๋อร์ขวางไว้

ปี้เอ๋อร์ยิ้มแย้มถามว่า “ท่านคือพี่หงซิ่งใช่หรือไม่”

หงซิ่งเคยเห็นปี้เอ๋อร์ในเรือนของหลี่ซื่อหลายหน ทราบว่านางเป็นสาวใช้คนสำคัญของฮูหยินน้อย แต่ไม่เคยพูดจากับนาง คิดไม่ถึงว่านางจะรู้จักตนเอง หงซิ่งตกใจเพราะคิดไม่ถึง “แม่นางปี้เอ๋อร์”

ปี้เอ๋อร์ทำเหมือนมองไม่เห็นแขนที่แข็งทื่อของนาง แล้วเอื้อมมือไปคล้องแขน “วันนี้อากาศดี ฮูหยินน้อยให้ข้าไปเก็บดอกเหมยสักสองสามดอกในสวน พี่หงซิ่งไปเป็นเพื่อนข้าเถอะ”

หงซิ่งมิทราบว่าเหตุใดปี้เอ๋อร์จึงมาเรียกตน แต่ปี้เอ๋อร์มาทำตัวสนิทสนมด้วย นางรู้สึกดีใจมากจึงตอบรับ

ปี้เอ๋อร์ลากหงซิ่งไปทางสวนดอกไม้

หงซิ่งช่วยปี้เอ๋อร์เก็บดอกเหมยเดือนสิบสองดอกหนึ่ง “ดอกนี้ได้หรือไม่”

ปี้เอ๋อร์มองข้อมือที่บวมเป่งของนางแล้วถามขึ้นว่า “พี่หงซิ่ง มือของท่านเป็นอะไรหรือ”

หงซิ่งตอบอย่างลำบากใจ “ตอนผ่าฟืนข้อมือเคล็ด”

ปี้เอ๋อร์ถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย “เหตุใดท่านจึงไม่ระวังเช่นนี้ บวมจนเป็นเช่นนี้แล้ว เหตุใดจึงไม่ไปให้ฮูหยินดูสักหน่อย”

หงซิ่งเกาศีรษะอย่างเซ่อๆ “ข้า…เมื่อครู่ข้ากำลังจะไป”

ปี้เอ๋อร์ทักว่า “ประตูใหญ่ไม่ได้อยู่ฝั่งนั้นเสียหน่อย”

หงซิ่งอึกอัก “ข้าไม่ได้จะออกนอกจวน ว่าจะ…ว่าจะไปหาฮูหยินใหญ่ ฮูหยินใหญ่เชิญท่านหมอมาได้”

ปี้เอ๋อร์มองนางด้วยแววตาตำหนิ “โธ่ ท่านโง่หรือไร เหตุใดไม่มาหาฮูหยินน้อยเล่า บิดามารดาของฮูหยินน้อยล้วนเป็นหมอเทวดา วิชาแพทย์ของนางดีกว่าท่านหมอหลูมากนัก! แล้วท่านหมอหลูก็เป็นบุรุษ ท่านเป็นแม่นางคนหนึ่ง อยากจะให้บุรุษเห็นเรือนร่างของท่านหรือ!”

หงซิ่งหวาดกลัวจนยกสองแขนขึ้นกอดตนเอง

ปี้เอ๋อร์เอ่ยต่อ “วันนี้ท่านพบข้า นับเป็นโชคดีของท่านแล้ว มา ตามข้าไปหาฮูหยินน้อย!”

หงซิ่งถามอย่างเป็นกังวล “ฮูหยินน้อย…จะ…จะรักษาให้ข้าหรือ”

ปี้เอ๋อร์ตอบทันควัน “แน่นอนๆ ฮูหยินของข้าจิตใจดีงามที่สุด แน่นอนว่าหากท่านไม่เชื่อถือฮูหยินน้อย จะไปหาฮูหยินใหญ่ก็ได้”

หงซิ่งกอดแขนนาง แล้วรีบร้อนตอบว่า “แม่นางปี้เอ๋อร์ ข้าจะไม่เชื่อถือฮูหยินน้อยได้เช่นไรเล่า เริ่มแรกข้าก็อยากไปให้ฮูหยินน้อยดูอาการบาดเจ็บให้ เพียงแต่กลัวว่าสาวใช้ทำงานใช้แรงงานหนักอย่างข้า ฮูหยินน้อยจะไม่สนใจ ข้าจึงตัดสินใจไปเรือนถง”

ปี้เอ๋อร์หัวเราะ “ฮูหยินของข้าเพิ่งเข้าตระกูลมา ท่านคงไม่รู้นิสัยของนาง ในสายตาของนางไม่มีแบ่งแยกเจ้านายกับคนใช้ มีเพียงเรื่องเดียว ยามนางตรวจรักษามีกฎอยู่ข้อหนึ่ง คนป่วยหนักต้องมาก่อน อาการบาดเจ็บของท่านไม่เร่งด่วน หากเป็นยามปกติอาจผลัดถึงท่านเป็นคนสุดท้าย แต่วันนี้บ้านชิงเหลียนไม่มีคนมารักษาสักเท่าใด ท่านไปก็คงได้ตรวจเลย”

หงซิ่งตอบอย่างซาบซึ้ง “เช่นนั้นดียิ่งนัก แม่นางปี้เอ๋อร์ รบกวนท่านนำทางให้ข้าทีเถิด!”

ปี้เอ๋อร์นำหงซิ่งมาถึงบ้านชิงเหลียน อาการบาดเจ็บของหงซิ่งไม่หนักหนา แต่ไม่ได้พักผ่อนเพียงพอ แบกอาการบาดเจ็บมาทำงาน ดังนั้นจึงไม่ดีขึ้น

เฉียวเวยมอบยารักษาอาการเคล็ดขัดยอดที่เฉียวเจิงปรุงให้กล่องหนึ่ง แล้วกำชับหงซิ่งว่าให้มาตรวจซ้ำสามวันให้หลัง ระหว่างรักษาห้ามทำงาน

หงซิ่งขอบคุณแล้วขอบคุณอีกก่อนจะจากไป

เฉียวเวยเปิดม่านเดินเข้ามาในห้อง จีหว่านกำลังยกกระจกไม้บานน้อยที่พกติดตัวตลอดเวลาขึ้นมาส่องอย่างคนหลงรูปโฉมของตนเอง “นี่คือหลักฐานพิสูจน์เจตนาร้ายของสวินซื่อที่เจ้าพูดถึงหรือ การรักษาอาการบาดเจ็บให้สาวใช้คนหนึ่งเนี่ยนะ”

เฉียวเวยมองหน้าตายียวนของนาง แล้วสาบานว่าหากไม่ใช่เพราะนางเป็นท่านป้าของเจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองและเป็นพี่สาวของหมิงซิว ตอนนี้นางจะจับอีกฝ่ายกดบนพื้นตุ้บตั้บให้หนำใจสักยก เฉียวเวยละสายตาออก ทำมือส่งสัญญาณให้ปี้เอ๋อร์

ปี้เอ๋อร์พาสองไป๋สะกดรอยตามออกไปอย่างเงียบเชียบ

สองไป๋ล้วนเป็นยอดฝีมือในการทะเลาะวิวาท เก่งกาจกว่าคนคุ้มกันมากนัก อีกทั้งขนาดตัวก็เล็ก ซุกซ่อนง่ายดายยิ่ง

ก่อนหน้านี้ปี้เอ๋อร์ลากหงซิ่งไปที่สวน ย่อมไม่ใช่เพราะจะหาสถานที่พูดคุยเพียงอย่างเดียว ทุกคืนสวินหลันล้วนต้องใช้กลีบดอกไม้โรยบ่ออาบน้ำ ตอนบ่ายของทุกวันจะให้สาวใช้ไปเด็ดกลีบดอกไม้สดจากในสวน คำพูดนั้น ฉากหน้าปี้เอ๋อร์พูดกับหงซิ่ง แต่ความจริงหวังว่าสาวใช้ของเรือนถงจะได้ยิน

ดูจากประสบการณ์สองครั้งก่อน หากหงซิ่งมีชีวิตรอดกลับไปจวนตะวันออกได้ถือว่าโชคดีเหมือนมีเมล็ดถั่วตกจากฟ้า

หนึ่งเค่อหลังจากนั้น ปี้เอ๋อร์ก็กลับมาอย่างลนลาน วิ่งจนหอบหายใจไม่ทัน “ฮู…ฮูหยิน…หงซิ่ง…หงซิ่งเกิดเรื่องแล้ว…”

จีหว่านหันมามองอย่างตกตะลึง

เฉียวเวยลุกพรวด “รู้อยู่แล้วเชียวว่านางต้องนั่งไม่ติด! เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

ปี้เอ๋อร์ยันมือบนโต๊ะ ค้ำร่างกายที่จวนเจียนจะล้มเอาไว้ “หงซ่ง…หงซิ่ง …บาดเจ็บ”

เฉียวเวยกำลังจะถามว่าพวกเจ้าทั้งสามสะกดรอยตามอยู่ เหตุไฉนยังจะให้แม่เลี้ยงลงมือสำเร็จอีก แต่แล้วก็ได้ยินปี้เอ๋อร์หอบแฮ่กเอ่ยต่อว่า “ถูก…ถูกต้าไป๋กัดบาดเจ็บ…”

ต้าไป๋ผู้ดุร้าย หลังจากถูกจอมพลังน้อยทั้งสี่รวมถึงเผ่าพันธุ์เดียวกับตนเองข่มเหงรังแกจนไม่เหลือสภาพเพียงพอน ในที่สุดก็สบโอกาสสำแดงพลังของเพียงพอนแล้ว!

ผลลัพธ์ก็คือหงซิ่งถูกกัดบาดเจ็บ

เสี่ยวไป๋เดือดดาล วิ่งไล่กัดต้าไป๋อย่างบ้าคลั่ง ต้าไป๋ถูกไล่กัดก็วิ่งพล่านไปทั่วสวน ไม่รู้ว่ามุดไปอยู่ที่ใด…

จีหว่านเก็บกระจกแล้วปรบมือหัวเราะฮ่าๆ “หงซิ่งมาเสียเที่ยวแล้ว ข้าได้พิสูจน์หลายอย่างจริงๆ ในจวนแห่งนี้น่ะ อันตราย! ระหว่างที่ข้าอุ้มท้องอยู่คงไม่มาที่บ้านชิงเหลียนแห่งนี้ของเจ้าแล้ว หากมีหนใดถูกเพียงพอนของเจ้ากัดจนบาดเจ็บเข้า ข้าคงสำนึกเสียใจอย่างแท้จริง”

เฉียวเวยหน้าทะมึน ต้าไป๋ เจ้าตายแน่! เจ้าตายจริงๆ แน่!

ต้าไป๋ที่กำลังถูกเสี่ยวไป๋ไล่ล่าอย่างบ้าคลั่งจู่ๆ ก็ตัวสั่นสะท้าน…

เฉียวเวยเดินไปส่งจีหว่านออกจากจวน

เหตุผลของจีหว่านก็คือ ‘ข้ากลัวถูกเพียงพอนกัด!’

เฉียวเวยตวัดสายตาคมกริบใส่อย่างฉุนเฉียว จีหว่านกลับหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง “อยากพิสูจน์ว่าผู้อื่นเป็นคนร้าย ปรากฏว่าตนเองต่างหากเป็นคนที่อันตรายที่สุด แต่เจ้าวางใจเถิด ข้าจะไม่บอกผู้อื่น ไม่ว่าจะว่าอย่างไรเจ้าก็เป็นน้องสะใภ้ของข้า เป็นอาของเด็กในท้องข้า”

ทั้งสองคนเดินไปเรือนถงเพื่อลาจีซั่งชิง ระหว่างที่เดินผ่านประตูหลังก็เห็นหญิงรับใช้หลายนางหอบผ้ากองโตออกมาวางลงบนรถเข็นหน้าตาธรรมดาๆ คันหนึ่ง ผ้าเหล่านั้นมองปราดเดียวก็ทราบว่าเป็นผ้าชั้นดีราคาแพงอย่างที่สุด เหตุไฉนจึงดูเหมือนจะโยนทิ้ง

เฉียวเวยเดินเข้าไป

พวกนางคำนับนางหนหนึ่ง จากนั้นคำนับจีหว่านที่อยู่ด้านหลังนางอีกหน

เฉียวเวยมองผ้าราคาแพงจนกระอักเลือดเต็มคันรถ แล้วถามอย่างฉงน “พวกเจ้ากำลังทำอะไร ผ้าพวกนี้ไม่เอาแล้วหรือ”

หญิงรับใช้ที่สวมเสื้อคลุมสีน้ำตาลแก่ รูปร่างอ้วนเตี้ยตอบว่า “เรียนฮูหยินน้อย พวกนี้ฮูหยินใหญ่บริจาคให้หอฉือเอินเจ้าค่ะ”

หอฉือเอินเป็นสถานสงเคราะห์ในเมืองหลวง ให้เด็กกำพร้าที่บ้านแตกสาแหรกขาดกับคนชราคนพิการได้อาศัย ได้ยินมานานแล้วว่าสวินหลักมักจะบริจาคอยู่เป็นประจำ เสื้อผ้าหรือผ้าที่ไม่ได้ใช้ล้วนบริจาคให้หอฉือเอิน คิดว่าจะบริจาคเพียงเสื้อผ้าฝ้ายผ้าป่านเล็กน้อย ผู้ใดจะคิดว่าจะเป็นผ้าไหมผ้าต่วนราคาแพงเช่นนี้

เฉียวเวยปวดใจ ผ้าดีๆ เช่นนี้ เอาไปขายได้เงินตั้งเท่าไร คนจนสวมใส่ก็ใส่ได้เพียงไม่กี่วันเท่านั้น มิสู้เอาไปแลกเป็นเงินมาให้พวกเขา แล้วค่อยใช้เงินเหล่านั้นซื้อผ้าธรรมดา ย่อมเพียงพอให้คนหลายคนใส่ได้เป็นปี

จีหว่านเดินเข้าไป มองรถเข็นอย่างรังเกียจเดียดฉันท์ ผ้าดีอีกเท่าใดวางลงบนรถเช่นนี้ นางก็ไม่มีทางแตะอีกเด็ขาด

เฉียวเวยรื้อดู ยิ่งรื้อก็ยิ่งปวดหัวใจ

ทันใดนั้นจีหว่านก็จับมือของเฉียวเวยไว้

เฉียวเวยงุนงง “ทำไมหรือ”

จีหว่านรื้อผ้าที่นางจับอยู่ออกมา นี่เป็นผ้าต่วนสีแดงสดผืนหนึ่ง ปักลายเหมยสีขาวไว้งดงามประหนึ่งมีชีวิต สีสันดูสง่าภูมิฐาน เพียงแต่สีเด่นเกินไปอยู่บ้าง คนปกติใส่ไม่ขึ้น ทว่าสวินหลันรูปโฉมงดงามย่อมมิต้องกลัว

เฉียวเวยลูบเนื้อผ้า สัมผัสนุ่มนิ่มทำให้หัวใจนางเกือบจะไร้เรี่ยวแรง “นี่เป็นผ้าที่กำลังเป็นที่นิยม หนึ่งชุ่นหนึ่งตำลึง ฮูหยินของพวกเจ้าให้พวกเจ้านำไปที่หอฉือเอินด้วยหรือ” จะสิ้นเปลืองของล้ำค่าเกินไปหรือไม่

หญิงรับใช้ร่างอวบตอบว่า “ผ้าชนิดนี้ดูแก่เกินไป ฮูหยินของพวกเราใส่แล้วไม่เหมาะ”

หญิงรับใช้ตัวผอมบอกบ้าง “ใช่เจ้าค่ะๆ มีแต่ฮูหยินที่มีอายุแล้วถึงจะสวมใส่กัน ฮูหยินเยาว์วัยรูปโฉมงดงาม สมควรสวมอาภรณ์ที่ดูอ่อนเยาว์กว่านี้”

สีหน้าของจีหว่านแปรเปลี่ยนเป็นถมึงทึงอย่างยิ่งโดยไม่ทราบสาเหตุ

“ผู้ใดมอบให้หรือ” เฉียวเวยถามอีก

หญิงรับใช้ร่างอวบตอบว่า “ไม่ทราบเจ้าค่ะ โจวมามาให้พวกเราจัดการ พวกเราจึงจัดการ ยามนี้แม้โจวมามาไม่อยู่ที่เรือนถงแล้ว แต่ผ้าเหล่านี้ ชิ้นที่ควรบริจาคก็ต้องบริจาค กูหน่ายนาย ฮูหยินน้อย พวกเราจะรีบออกจากจวน ขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”

เฉียวเวยพยักหน้า “ไปเถิด”

ทั้งสองคนเข็นผ้าเต็มคันรถจากไป

เฉียวเวยหันไปมองจีหว่านก็เห็นใบหน้าของจีหว่านดำเป็นถ่านไปเสียแล้ว

“รังเกียจว่าผ้าที่ข้ามอบให้ดูแก่อย่างนั้นหรือ นั่นเป็นผ้าที่ข้าชอบที่สุด! นางจะแดกดันว่าข้าแก่แล้วหรืออย่างไร เอาผ้าที่ข้ามอบให้ไปจัดการให้พวกคนชั้นต่ำใส่เสื้อผ้าแบบเดียวกับข้า!” จีหว่านผู้มิเยาว์วัยแล้วจริงๆ โกรธจนขนพองในพริบตา “คนต่ำช้า!”

เฉียวเวยนิ่งอึ้ง “หากข้าฟังไม่ผิด เหมือนว่าโจวมามาจะเป็นคนให้เอาไปบริจาค”

จีหว่านกำหมัดแน่น “โจวมามาให้บริจาค หากนางไม่พยักหน้า โจวมามาจะกล้าเอาผ้าที่ข้ามอบให้ไปมอบให้ผู้อื่นหรือ!”

เฉียวเวยมั่นใจอย่างยิ่งว่าเรื่องนี้โจวมามาต้องทำเองโดยพลการ คนชาญฉลาดอย่างแม่เลี้ยงสาวคงทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้ไม่ได้ แล้วยังเลือกวันที่จีหว่านกลับจวนมาวันนี้อีก นางตั้งใจจะสร้างความลำบากให้ตนเองหรือไร

จีหว่านเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าคนต่ำช้าผู้นั้นทำอะไรนะ นางทำคู่หมั้นตายไปสามคน แล้วนางยังคิดจะทำร้ายลูกข้าด้วยใช่หรือไม่!”