ตอนที่ 204-1 ฉีกหน้ากากคนงาม (2)

เมื่อเฉียวเวยกลับมาถึงบ้านชิงเหลียน เด็กน้อยสองคนก็ตื่นแล้ว พวกเขาขนม้านั่งตัวน้อยตัวหนึ่งออกมานั่งหน้ามึนอยู่หน้าประตู

เฉียวเวยเหมือนย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่อาศัยอยู่บนเขา ทุกครั้งที่นางออกไปข้างนอก เจ้าตัวจ้อยทั้งสองก็จะนั่งอยู่บนม้านั่งตัวน้อยหน้าประตู มองไปทางตีนเขาตาปริบๆ ทำให้คนปวดใจและซาบซึ้งยิ่งนัก

เฉียวเวยก้าวเข้าไปอุ้มเจ้าตัวน้อยทั้งสองขึ้นมา

ไม่นานนางก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติเล็กน้อย

เจ้าตัวน้อยทั้งสองเหมือนจะยังมองไปทางประตูอยู่

“ท่านพี่ ท่านว่าเสี่ยวไป๋จะกลับมาเมื่อใด”

“จับต้าไป๋ได้มันก็คงกลับมา”

เฉียวเวย “…”

ที่แท้ก็ไม่ได้รอนางอยู่ แต่รอเจ้าสองไป๋นั่นหรือ

เสี่ยวไป๋จับต้าไป๋ได้หรือไม่ เฉียวเวยไม่ทราบ แต่สิ่งที่แน่ใจได้ก็คือ หงซิ่งที่ถูกต้าไป๋กัดจนบาดเจ็บถูกปี้เอ๋อร์ประคองกลับมา

ต้าไป๋งับเข้าตรงน่องของหงซิ่ง มันถูกให้อาหารจนอิ่มมากแล้ว จึงไม่ได้ขย้ำหงซิ่งเหมือนเห็นเป็นอาหาร มันเพียงจะแสดงพลังของเพียงพอนเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ได้กัดเนื้อจนหลุดมาเป็นก้อน แต่ก็ยังมีเลือดออกมาไม่น้อย

เฉียวเวยฆ่าเชื้อบนบาดแผลให้หงซิ่งแล้วทายาให้ แผลไม่ฉีกขาด ไม่จำเป็นต้องเย็บ พันแผลรอบหนึ่งก็เสร็จ

ปี้เอ๋อร์หาเสื้อผ้าสะอาดของตนมาให้หงซิ่งผลัดเปลี่ยน

หงซิ่งมิยอมสวม “นี่จะได้อย่างไรเล่า ข้าตัวสกปรก เดี๋ยวจะทำเสื้อผ้าของแม่นางปี้เอ๋อร์สกปรก”

ปี้เอ๋อร์รีบบอกว่า “ข้าไม่ดีเอง ไม่คอยดูต้าไป๋ให้ดีจนทำให้ท่านบาดเจ็บ พี่สาวคนดี ท่านสวมเถอะนะ สวมแล้วข้าจะได้สบายใจขึ้นหน่อย”

หงซิ่งดื้อสู้ไม่ได้จึงต้องสวม

ความจริงเพียงถูกสุนัข (หงซิ่งคิดว่าทั้งสองตัวเป็นสุนัข) กัดคำเดียวเท่านั้น ชีวิตสาวใช้แต่เดิมก็ไร้ราคา ถูกกัดตายก็เป็นโชคร้ายของนางเอง ไม่จำเป็นต้องใส่ใจดูแลนางเช่นนี้

เฉียวเวยพาหงซิ่งกลับมาส่งที่จวนตะวันออกด้วยตนเอง หงซิ่งเจ็บขา เดินเหินไม่สะดวก เฉียวเวยจึงเรียกเสลี่ยงมาให้

หงซิ่งนั่งอยู่บนเสลี่ยงแล้วรู้สึกเหมือนตัวจะลอย ถูกสุนัขกัดคำเดียว นางก็ได้นั่งเสลี่ยงของเจ้านายเชียวหรือ!

หลังจากมาถึงจวนตะวันออก เฉียวเวยก็ขออภัยหลี่ซื่อ เรื่องนี้แต่เดิมมินับว่าเป็นเรื่องใหญ่ เฉียวเวยอุตส่าห์พาคนกลับมาส่งเช่นนี้ หลี่ซื่อนับว่าได้รับการไว้หน้าเพียงพอแล้วจึงไม่คิดเล็กคิดน้อยสักนิด ตรงกันข้ามกลับมองสาวใช้ที่ถูกกัดคนนั้นเพิ่มสองสามหน แล้วบอกว่า “คงเป็นโชคชะตา หลังจากนี้ก็มาทำงานในเรือนก็แล้วกัน”

หงซิ่งอดทนอยู่ในจวนมาสองปี แม้แต่นางมีนามว่าอันใด ฮูหยินรองก็ไม่รู้ แต่วันนี้กลับเรียกนางให้ขึ้นมาทำงานบนเรือน นับจากวันนี้เป็นต้นไป นางจะไม่ใช่สาวใช้ทำงานแรงงานหนักตำแหน่งปลายแถวอีกต่อไปแล้ว นางจะเป็นสาวใช้บนเรือน นี่มันช่าง นี่มันช่างเป็นเรื่องดียิ่งนัก!

จวบจนถึงตอนนี้ หงซิ่งไม่เสียใจสักนิดที่ถูกสุนัขกัด นางอยากจะหากระดูกติดเนื้อสักท่อนไปมอบให้เจ้าตัวน้อยสีขาวตัวนั้นยิ่งนัก!

หงซิ่งโขกศีรษะสามหนให้หลี่ซื่อด้วยความขอบคุณ แต่หงซิ่งรู้ดีว่าตนเองรู้สึกขอบคุณผู้ใดมากที่สุด ตกกลางคืน ตอนที่นางแอบไปกราบไหว้บรรพบุรุษ นางก็พูดถึงบ้านชิงเหลียนขึ้นมาด้วย ขอให้บรรพบุรุษไปเยือนบ้านชิงเหลียนบ่อยๆ ช่วยปกป้องคุ้มครองฮูหยินน้อย

คืนนั้น ระหว่างที่เฉียวเวยหลับใหล นางรู้สึกว่าหน้าผากเย็นวาบคล้ายกับว่ามีดวงตาประหลาดคู่หนึ่งจับจ้องตนเองอยู่…

ในที่สุดต้าไป๋ก็ยังถูกจับกลับมา

เนื่องจากมันกัดหงซิ่งผู้บริสุทธิ์จนบาดเจ็บ เฉียวเวยจึงตัดสินใจลงโทษมันด้วยกันจับเข้ากรงแล้วงดอาหาร!

จะว่าไปแล้วบ้านของเฉียวเวยไม่มีกรง ตอนแรกที่เสี่ยวไป๋ตามเฉียวเวยกลับมา เฉียวเวยไม่ต้องการมัน อยากจะไล่มันให้หนีไปยิ่งนัก ไหนเลยจะเคยคิดหากรงสักกรงมาขังมัน กรงนี่เป็นของที่อู๋มามากังวลว่า ‘สุนัขน้อย’ ของเจ้านายน้อยจะไม่มีที่นอน จึงให้สามีของตนทำขึ้นมา

ภายในกรงปูผ้าฝ้ายนุ่มนิ่มเอาไว้ ตอกชามไม้ใบเล็กติดไว้สองใบ ใบหนึ่งใส่ข้าว ใบหนึ่งใส่น้ำ เรียกได้ว่าพร้อมสรรพและสะดวกสบายอย่างยิ่ง

แต่เสี่ยวไป๋นอนบนเตียงป๋าปู้จนชินแล้ว ไหนเลยจะยอมเข้ากรง

กรงนี้จึงตั้งอยู่เฉยๆ มาตลอด

ต่อมาแม้จะมีต้าไป๋แล้วแต่ต้าไป๋ก็เป็นสัตว์เลี้ยงตัวน้อยของจิ่งอวิ๋น สัตว์เลี้ยงตัวน้อยของน้องสาวยังนอนบนเตียงได้ สัตว์เลี้ยงของเขาย่อมทำได้เหมือนกัน ต้าไป๋จึงนอนบนเตียงด้วย

นับตั้งแต่ต้าไป๋ได้นอนบนเตียง จิ่งอวิ๋นก็รู้สึกว่าลมหายใจของตนไหลคล่องขึ้น คุณภาพการนอนยกระดับขึ้นมามาก (นั่นเป็นเพราะขาอ้วนๆ ของวั่งซูไม่ได้พาดบนตัวพี่ชายอีกแล้วแต่เปลี่ยนไปพาดอยู่บนตัวต้าไป๋แทน)

ทุกคืนต้าไป๋ถูกทับจนอนาถยิ่งนัก จู่ๆ ไม่ต้องถูกทับแล้ว ต้าไป๋จึงโล่งอก เข้าไปนั่งในกรงสุนัขแต่โดยดี เสพสุขกับชีวิตเพียงพอนอันสุขสบายของตนเอง

ทว่าไม่นานนัก มันก็ค้นพบว่าชีวิตเพียงพอนไม่ได้สุขสบายเช่นนั้นเหมือนที่ตนเองคิดเอาไว้ แม้ไม่ต้องถูกมนุษย์ประหลาดตัวน้อยคนนั้นทับอีกต่อไปแล้ว แต่มันไม่มีของกิน!

มันหิวนัก!

อยากออกไปหาของกินสักหน่อย แต่กรงขัดกลอนอยู่!

ต้าไป๋เขย่ากรงอย่างโกรธเกรี้ยว!

วั่งซูกับเสี่ยวไป๋กอดกันกลม หลับอย่างสบายอุรา

จิ่งอวิ๋นลืมตาขึ้นมา

ภายในห้องเหลือมุกราตรีทอแสงนวลไว้ลูกหนึ่ง จิ่งอวิ๋นอาศัยแสงเรืองๆ ของมุกราตรี มองเห็นต้าไป๋ในกรงทำท่าอยากจะออกมาข้างนอกสุดชีวิต เขาเลิกผ้าห่ม สวมรองเท้าเสร็จก็เดินเข้ามาหา ร่างกายเล็กจ้อยบอบบางนั่งยองๆ ลงมาเอ่ยกับต้าไป๋ว่า “ต้าไป๋เจ้ากัดคน ท่านแม่บอกว่าห้ามปล่อยเจ้าออกมา ดังนั้นเจ้าต้องอยู่ในนี้เป็นเด็กดีเข้าใจหรือไม่”

ต้าไป๋เขย่ากรงต่อ!

“เจ้าหิวหรือ” จิ่งอวิ๋นถามเสียงเบา

ต้าไป๋ยังคงเขย่ากรง! มันเขย่าไม่ขยับจึงเปลี่ยนเป็นกัดแทน ภาพนี้ตกอยู่ในสายตาของจิ่งอวิ๋น เขาจึงคิดว่าต้าไป๋หิวโหยจนไม่เลือกอาหาร วิ่งไปกินกรงแล้ว

จิ่งอวิ๋นปวดใจยิ่งนัก จึงหยิบขนมอู๋เหรินที่น้องสาวแอบเก็บไว้ในกระเป๋าใบเล็กของนาง ส่งเข้าไปลอดผ่านซี่กรง

ต้าไป๋เห็นอาหารเนื้อนุ่มรสโอชาแล้ว นิ้วมือของมนุษย์เด็ก!

มันอ้าปากสีแดงสด พุ่งเข้าไปขย้ำมือของจิ่งอวิ๋นเต็มแรง!

จิ่งอวิ๋นไม่ทราบอย่างสิ้นเชิงว่าต้าไป๋จะทำสิ่งใดกับตน เขาวางขนมอู๋เหรินไว้ในชามไม้เสร็จก็ชักมือกลับ ต้าไป๋จึงงับถูกกรงเข้าอย่างจัง

กึก!

เขี้ยวน้อยๆ หักแล้ว…

หนนี้เป็นซี่ที่ยังดีอยู่ด้วย!

ชีวิตเพียงพอนสิ้นหวังเกินไปแล้ว!

เฉียวเวยนอนอยู่บนเตียง นางพลิกไปพลิกมานอนไม่หลับ

ในวังเกิดเรื่องแล้ว เจาอ๋องกับแม่ทัพน้อยมู่แห่งหนานฉู่ทะเลาะกันเพราะเพียงพอนตัวหนึ่ง สาเหตุเริ่มต้นมาจากเจาอ๋องล่าเพียงพอนในป่าไม่ได้ จึงไหว้วานคนให้ซื้อตัวที่เหมือนกันทุกประการมาตัวหนึ่ง แม่ทัพน้อยมู่คิดว่าเพียงพอนตัวนั้นเป็นของเขา จึงเรียกร้องจะเอาเพียงพอนจากเจาอ๋อง แต่เจาอ๋องไม่ให้ ทั้งสองคนจึงวิวาทกัน

แต่จะว่าไปแล้วแม่ทัพน้อยมู่จะตีเจาอ๋องก็สมควร ระหว่างการล่าสัตว์เจาอ๋องยิงพลาดไปถูกทูตหนานฉู่มากมายปานนั้น ผู้อื่นไม่ลากเขากลับแคว้นไปซ้อมให้น่วมสักยกก็ถือว่ามีคุณธรรมอย่างที่สุดแล้ว ไม่ใช่แค่เพียงพอนตัวหนึ่งหรือ ก็น่าจะชดเชยให้ผู้อื่นไปสิ แต่เจาอ๋องดันมิยอม

แม่ทัพน้อยมู่ผู้นี้ความจริงแล้วก็มิได้ใจกว้างนัก เพียงพอนของเขาถวายให้ผู้อื่นไปแล้ว ต่อให้ตัวที่อยู่ในมือเจาอ๋องตัวนี้เป็นตัวเดิมของเขาตัวนั้น เขาก็ไม่มีเหตุผลให้ทวงกลับมาอีก

ทั้งสองฝ่ายต่างไร้เหตุผล แล้วทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่พูดกันด้วยเหตุผล ฮ่องเต้ปวดพระเศียรนัก จึงโยนภาระให้จีหมิงซิว พูดถึงวรยุทธ์ เจาอ๋องสู้แม่ทัพน้อยมู่ไม่ได้ ดังนั้นเจาอ๋องจึงถูกอัดจนอนาถยิ่งนัก

ทว่าหากพูดถึงอำนาจ มังกรเก่งกล้าก็ยังต้องพ่ายงูเจ้าถิ่น ราชทูตที่มาจากต่างแดนจะเป็นคู่ต่อกรของจวนเจาอ๋องทั้งหมดได้เช่นไร ดังนั้นแม่ทัพน้อยมู่เองก็ไม่ได้สภาพดีนัก

ทั้งสองคนต่างจมูกเขียวหน้าบวม คนหนึ่งซี่โครงหักไปสองซี่ อีกคนหนึ่งแขนหักไปหนึ่งข้าง บนหัวก็มีแต่ผ้าพันแผล เหลือแต่ดวงตา จมูกกับปาก นั่งประจันหน้ากัน จับจ้องอีกฝ่ายอย่างมาดร้าย

จีหมิงซิวไม่พูดไม่จา เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ จิบชาอย่างเงียบๆ

ภายในห้องเกิดบรรยากาศประหลาดคล้ายกับว่า ‘ทั้งรักทั้งอยากจะฆ่าอีกฝ่าย’ แต่ติดที่อำนาจของอัครมหาเสนาบดีจึงไม่มีผู้ใดกล้าผลีผลาม พวกเขาถลึงตาอย่างดุร้ายเช่นนั้นตลอดทั้งคืนไม่หลับไม่นอน

โคมไฟในเรือนลั่วเหมยก็สว่างอยู่ทั้งคืนเช่นกัน

จีหว่านไม่ได้กลับจวนกั๋วกงกับหลินซูเยี่ยน นางอ้างว่าต้องการดูแลจีซั่งชิงที่บาดเจ็บจึงอยู่ต่อที่ตระกูลจี

หลานสาวอยากจะอยู่บ้านนานขึ้นอีกหลายวัน จีเหล่าฮูหยินย่อมยินดีจากหัวใจ นางกลัวว่าตระกูลหลินจะไม่พอใจ จึงให้หรงมามานำข้อความไปแจ้ง บอกว่าตนเองคิดถึงหลานสาว อยากให้นางอยู่ที่บ้านสักสองสามวัน

ย่ากับหลานรักกัน ตระกูลหลินย่อมไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ

จีหว่านจึงมาอยู่ที่เรือนลั่วเหมย

ตกกลางคืน จีหว่านนอนอยู่บนเตียงของจีเหล่าฮูหยิน

ในใจจีเหล่าฮูหยินยินดีปรีดาเสียยิ่งกว่าตีไก่มาทั้งวันเสียอีก จีเหล่าฮูหยินจับมือหลานสาว ถามอย่างเมตตา “เหตุใดจึงอยากนอนกับย่าขึ้นมาเล่า ไม่รังเกียจกลิ่นของข้าหรือ”

จีหว่านขยับเข้ามาหาจีเหล่าฮูหยิน “บนตัวท่านย่ามีแต่กลิ่นหอม มีกลิ่นที่ไหนกัน”

ย่อมไม่มีอยู่แล้ว แต่เมื่อคนอายุมากขึ้นจะมากจะน้อยก็กลัวเด็กน้อยทั้งหลายรังเกียจตนเอง

จีหว่านแต่งงานกับผู้อื่นไปแล้ว แต่ในสายตาเหล่าฮูหยิน นางยังเป็นสาวน้อยรักสวยรักงามคนนั้นตลอดไป

จีเหล่าฮูหยินเอ่ยขึ้นว่า “พูดมาเถอะ มีเรื่องอะไรกันแน่ หรือว่าหลานเขยไม่ดีกับเจ้าหรือ”

จีหว่านแค่นเสียงดังเหอะ “เขากล้าไม่ดีต่อข้าหรือ ข้าเป็นท่านอาของเขานะ!”

จีเหล่าฮูหยินตีหลังมือของจีหว่านหนึ่งเพียะ “พูดเหลวไหล!”

จีหว่านกลั้นเสียงหัวเราะไม่ไหว คิดในใจว่านับตามลำดับรุ่นแล้ว เขาก็สมควรเรียกนางว่าท่านอา

จีเหล่าฮูหยินได้ยินน้ำเสียงของหลานสาวก็ทราบว่าหลานสาวคงพอใจกับหลานเขยของนางมากที่สุด จึงไล่ถามต่อว่า “แม่สามีทำเจ้าโมโหอีกแล้วหรือ”

ไม่แปลกที่จีเหล่าฮูหยินจะเป็นห่วง ความจริงแล้วการแต่งงานครั้งนี้ัตั้งแต่แรกก็ไม่ค่อยเหมาะนัก ลำดับรุ่นของทั้งสองคนก็วางอยู่ตรงนั้น แล้วจีหว่านยังอายุมากกว่าหลินซูเยี่ยนอีก ไม่ต้องพูดถึงว่าตระกูลหลินไม่เห็นด้วย ตระกูลจีเองก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม

หลินซูเยี่ยนตามจีบจีหว่าน ทุ่มเทความพยายามยิ่งนัก ยิ่งเขาพยายาม ตระกูลหลินยิ่งไม่พอใจ จีหว่านแต่งเข้าไปทั้งที่เป็นเช่นนี้ จะไม่ถูกบ้านฝั่งสามีโมโหได้หรือ แล้วเก้าปีผ่านมายังไม่มีวี่แววว่าจะท้องอีก

แต่โชคดีที่จีหว่านเป็นคุณหนูตระกูลจี หากเป็นผู้อื่นก็ไม่รู้ว่าจะถูกบ้านสามีหย่าส่งกลับมากี่หนแล้ว

จีหว่านตอบว่า “นางไม่ได้ทำให้ข้าโมโห แม่สามีดีต่อข้ามากทีเดียว”

หลินฮูหยินกล้าไม่ดีต่อนางหรือ บุตรชายของนางฟังไม่เข้าหูคำหนึ่งก็ ‘ใช้ความรุนแรงในครอบครัว’ หลินฮูหยินกลัวแทบตาย ไหนเลยจะกล้าไม่ดีต่อจีหว่าน

จีเหล่าฮูหยินฟังออกว่าหลานสาวไม่ได้โกหกจึงเอ่ยต่อว่า “ในเมื่อไม่ใช่อยู่ที่บ้านสามีแล้วไม่สบาย เหตุใดจึงจะกลับมาอยู่บ้านมารดาเล่า”

จีหว่านจึงตอบว่า “บ้านมารดาก็คือบ้านของข้านี่นา ข้ากลับมาแล้วเป็นอะไร รังเกียจว่าข้าขวางหูขวางตา ไม่อยากให้ข้าวข้ากินหรือ”

“พูดเหลวไหลอะไรกัน” จีเหล่าฮูหยินมองค้อนนาง

จีหว่านหัวเราะ กอดแขนจีเหล่าฮูหยินแล้วถามว่า “ท่านย่า ท่านมีเรื่องอะไรปิดบังข้าหรือไม่”

จีเหล่าฮูหยินตอบ “ข้ามีเรื่องอะไรปิดบังเจ้า”

จีหว่านหยั่งเชิงถาม “เรื่องสวินซื่อ ก่อนที่นางจะแต่งงานกับบิดาของข้า เคยหมั้นหมายกับผู้อื่นมาก่อนหรือเปล่า”

จีเหล่าฮูหยินชะงักเล็กน้อย ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเหมือนปกติ “เจ้าก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ คุณชายตระกูลโจวที่ตายกะทันหันคนนั้น”

ท่านย่ายังไม่คิดจะบอกนางอีก! จีหว่านเอ่ยขึ้นว่า “ตอนนางอายุสิบสาม เหตุใดจู่ๆ ก็กลับกูซู”

“นาง…” จีเหล่าฮูหยินยังเอ่ยไม่ทันจบ ก็ฉุกคิดอะไรได้ ท่ามกลางความมืดจีเหล่าฮูหยินหันไปมองนาง “เจ้าได้ยินผู้ใดพูดอะไรมา”

จีหว่านย่อมไม่เปิดโปงเฉียวเวย จึงตอบว่า “วันนี้ข้าไปเยี่ยมท่านพ่อ ไม่ระวังจึงได้ยินเขากับสวินซื่อคุยกัน”

“พวกเขาคุยอะไรกัน” จีเหล่าฮูหยินถาม

จีหว่านตอบว่า “ก็เรื่องก่อนหน้านี้ เหมือนว่าสวินซื่อจะไม่ได้เคยมีคู่หมั้นแค่คุณชายโจวคนเดียว”

บทสนทนาระหว่างสามีภรรยาเช่นนี้ จีเหล่าฮูหยินย่อมไม่สะดวกจะไปถามหาข้อพิสูจน์จากบุตรชาย จีหว่านจึงไม่กลัวถูกเปิดโปง

จีเหล่าฮูหยินถอนหายใจ “ความจริงยังมีอีกสองคน คนหนึ่งเป็นคู่หมั้นที่หมั้นกันตั้งแต่อยู่ในท้อง อีกคนหนึ่งตระกูลจีเป็นคนหาให้นาง คู่หมั้นที่หมั้นตั้งแต่ในท้องคนนั้นป่วยเป็นฝีดาษตาย ส่วนคนที่ตระกูลจีหาให้นางคนนั้นหนีไปกับแม่นางจากหอคณิกา ชะตาของนางอาภัพนัก”

คำพูดเหล่านี้ จีหว่านก็เคยพูดกับเฉียวเวย ตอนพูดในใจนางเชื่อมั่นไม่สงสัยสักนิด แต่พอฟังคนอื่นพูดออกมาจากปากกลับฟังดูแล้วประหลาดอยู่บ้าง

จีหว่านแววตาไหววูบ เอ่ยขึ้นว่า “นางล่วงเกินผู้ใดมาหรือไม่ จึงมีคนจงใจทำให้นางไม่มีความสุข”

จีเหล่าฮูหยินตอบเสียงเคร่งขรึม “พูดเหลวไหล มีเรื่องพรรค์นั้นที่ไหน นางเติบใหญ่มาที่ตระกูลจี จะไปล่วงเกินผู้ใดได้”

จีหว่านถามด้วยน้ำเสียงพิกล “บางทีอาจเป็นคู่แค้นของบิดามารดาของนาง”

จีเหล่าฮูหยินตอบว่า “ยิ่งไม่เข้าท่าเข้าไปใหญ่ บิดามารดาของนางล้วนเป็นคนซื่อตรงที่สุดแล้ว”

“ท่านย่าเคยพบบิดามารดาของนางหรือ”

“ตอนท่านปู่ของเจ้ายังอยู่ มักจะชมบิดาของนางอยู่เสมอ”

จีหว่านพึมพำเบาๆ “ตอนท่านปู่ยังอยู่ก็มักจะชมมั่วอี๋เหนียงกับจ้าวอี๋เหนียงอยู่บ่อยๆ เหมือนกัน”

จีเหล่าฮูหยินไม่ได้หูตึง ได้ยินทุกคำไม่มีตกหล่น “เจ้าเด็กคนนี้ ไม่รู้จักควรไม่ควรมากขึ้นทุกที!”

ในที่สุดจีหว่านก็เข้าใจความรู้สึกของเฉียวเวยแล้ว อยากจะควักหัวใจออกมาแสดง แต่อีกฝ่ายกลับไม่เชื่อ รสชาติเช่นนี้ย่ำแย่เหลือเกินจริงๆ

จีหว่านนึกขึ้นได้ว่าตนเองตั้งครรภ์อยู่ ไม่สมควรโมโห จึงสงบอารมณ์แล้วเอ่ยต่อว่า “นางเกิดใต้ดาวมารจิ้งจอกหรืออย่างไร เหตุใดจึงแต่งออกยากเย็นนัก”

จีเหล่าฮูหยินไม่ทันฉุกคิดอะไรก็ตอบว่า “ล้วนเป็นคนพวกนั้นไม่มีบุญ เจ้าดูสินางแต่งมาอยู่ในบ้านของเรา ก็อยู่ดีไม่ใช่หรือ”

แต่เดิมจีหว่านเพียงโมโหสวินหลันเท่านั้น แต่ตอนนี้ได้ยินท่านย่าพูดก็เริ่มสงสัยขึ้นมาบ้างแล้วจริงๆ เหตุใดผู้อื่นจึงแต่งไม่สำเร็จ แต่บิดาของนางกลับทำสำเร็จ หรือว่าบิดาของนางจะมีชะตาแข็งแกร่งมากจนกดชะตาของนางได้

“นางเคยหมั้นหมายมามากมายถึงเพียงนั้น ท่านพ่อเหตุใดจึงยังแต่งกับนางอีก”

“ท่านพ่อของเจ้าน่ะ…” จีเหล่าฮูหยินชะงัก “ข้าว่าเจ้าตั้งใจจะมาหลอกถามข้าใช่หรือไม่ เสี่ยวเวยบอกอะไรกับเจ้าใช่หรือไม่”

“เสี่ยวเวยก็รู้หรือ” จีหว่านโมโหทันที “ท่านย่าท่านจะลำเอียงเกินไปหรือไม่ ข้าต่างหากที่เป็นหลานสาวแท้ๆ ของท่าน ท่านมีอะไรกลับบอกหลานสะใภ้ แต่ไม่บอกข้า! ท่านบอกอะไรนางบ้าง!”

จีเหล่าฮูหยินอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วตอบอย่างกระอักกระอ่วน “ไม่มีอะไร…”

“ก็ได้ท่านย่า ถึงตอนนี้ท่านยังบอกว่าไม่มีอะไร ผู้หญิงที่แต่งออกไปแล้วก็เหมือนน้ำที่สาดออกจากบ้านจริงๆ ตอนนี้ข้าไม่ใช่คนตระกูลจีแล้ว ในใจท่านข้ายังสู้หลานสะใภ้จากข้างนอกคนหนึ่งไม่ได้ ข้าไปแล้ว! ข้าจะไม่กลับมาอีกแล้ว! วันตรุษก็ไม่กลับมาแล้ว! พวกท่านถือว่าข้าตายไปแล้วก็แล้วกัน!”

จีหว่านว่าอย่างเกรี้ยวกราด เลิกผ้าห่มทำท่าจะลงจากเตียง

จีเหล่าฮูหยินผวา รีบดึงนางไว้ “หวานหว่านเจ้าอย่าโกรธสิ ย่าบอกเจ้าแล้ว ย่าบอกเจ้าแล้วดีหรือไม่”

จีหว่านกลับมานอนบนเตียงใหม่อีกหน

จีเหล่าฮูหยินจึงเล่าถึงวาสนามงคลสามหนของสวินหลันทุกรายละเอียดไม่ตกหล่นให้จีหว่านฟัง ทุกอย่างเหมือนกับที่เฉียวเวยบอก เห็นได้ว่าเฉียวเวยไม่ได้หลอกลวงนาง

“ท่านย่า ท่านไม่รู้สึกว่าแปลกจริงๆ หรือ” จีหว่านถาม

จีเหล่าฮูหยินตบเบาๆ บนหลังมือของนาง “เจ้าเด็กคนนี้นี่ เสียทีเจ้ากับหลันเอ๋อร์เติบใหญ่มาด้วยกัน ยังเชื่อใจหลันเอ๋อร์สู้เสี่ยวเวยไม่ได้เลย”

สาวน้อยคนนั้นเชื่อใจที่ไหนกัน นางตลบตะแลงอยู่ต่างหากเล่า!

จีเหล่าฮูหยินเอ่ยจากใจจริง “ข้ารู้ว่าหลันเอ๋อร์แย่งบิดาไปจากพวกเจ้า เจ้าจึงไม่พอใจอย่างมากมาตลอด แต่หลายปีนี้หลันเอ๋อร์ปฏิบัติต่อเจ้าเช่นไร แล้วปฏิบัติต่อหมิงซิวกับบิดาของเจ้าเช่นไร เจ้าก็เห็นอยู่ทั้งหมดแล้ว อย่าสงสัยนางอีกเลย หัวใจของนางไม่ได้ทำมาจากหิน เจ้าแทงนางหนึ่งหนสองหนยังไม่เป็นไร แต่แทงมากเข้า นางก็เจ็บปวดเป็นเช่นกัน”

จีหว่านกำผ้าห่มแน่น สาวน้อยคนนั้นเมื่อตอนกลางวันจะต้องอยากตีนางให้ตายอย่างยิ่งเป็นแน่! เพราะตอนนี้นาง…ก็อยากตีท่านย่าของนางให้ตายยิ่งนักเหมือนกัน!