ตอนที่ 204-2 ฉีกหน้ากากคนงาม (2)

หลังจากข้ามผ่านอุปสรรคนานาประการ ในที่สุดนายท่านหกก็รวบรวมหลักฐานได้ครบ เขานำลูกศิษย์สมาคมกระบี่เดินทางไปยังเมืองเล็กๆ ที่นัดกันไว้ เพื่อพบหน้าคนสามคน คนหนึ่งคือศิษย์สมาคมกระบี่ที่ซุนสวินเคยคบหาด้วย เขาเป็นผู้โชคดีเพียงคนเดียวที่ไม่ติดโรคฝีดาษ ตอนนี้หวนนึกถึงเรื่องราวในปีนั้นก็ยังคงหวาดผวาอยู่เล็กน้อย ในมือเขามีจดหมายฉบับหนึ่งที่ซุนสวินเขียนให้สวินหลัน ด้านในบันทึกความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนเอาไว้ชัดเจน ที่แท้ซุนสวินก็เก็บกลั้นความคิดถึงไม่ไหวจึงไหว้วานเขาให้นำจดหมายไปมอบให้สวินหลัน แต่เขาดันลืม เมื่อนึกขึ้นมาได้ ก็ได้ยินว่าซุนสวินล้มป่วยแล้ว ไปมาๆ จดหมายฉบับนี้จึงยังไม่ถูกนำไปส่งเสียที จวบจนวันนี้จึงกลายมาเป็นหลักฐานแน่นหนาถึงความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคน

นอกจากศิษย์ของสมาคมกระบี่ บ่าวรับใช้ในตระกูลของคุณชายโจวกับแม่นางที่สนิทชิดเชื้อกับนางคณิกาอันดับหนึ่งแห่งหอคณิกาก็ถูกพามายังเมืองแห่งนี้ด้วย

นายท่านหกจะมาพบกับพวกเขาตอนกลางวันของวันนี้

ศิษย์สมาคมกระบี่มีนามว่าคังหมิ่น ยามนี้เขาเป็นศิษย์นอกของสมาคมกระบี่สาขาเมืองติ้งโจว ตอนนั้นหลังจากซุนสวินกับสหายจากยุทธภพทั้งหลายติดโรคฝีดาษ เขาเองก็ล้มป่วยเช่นกัน อาการสาหัสยิ่งนัก ตัวร้อนติดกันอยู่หลายวันไข้ไม่ลง แล้วยังมีตุ่มแดงขึ้นมาอีก เขาคิดว่าตนเองคงติดโรคฝีดาษเหมือนกัน จึงเตรียมตัวกลับบ้านเก่าหาโลงศพให้ตนเองสักใบ ทว่าระหว่างทางกลับหายดี

หลังจากเรื่องราวหนนั้นเขาลองคิดทบทวนก็รู้สึกว่าผิดปกติอย่างยิ่ง แต่ผิดปกติตรงที่ใด เขากลับบอกไม่ถูก เพียงแต่สัญชาตญาณบอกเขาว่า เขาจะย้อนกลับไปกูซูมิได้อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนตัวตนใหม่ เข้ามาในสมาคมกระบี่

คังหมิ่นเป็นนามใหม่ของเขา

ก่อนหน้านี้นามว่าอันใด นายท่านหกมิได้ถาม

บ่าวรับใช้จากตระกูลของคุณชายโจวเป็นบ่าวเฒ่าผู้รับผิดชอบเทกระโถน เรื่องเกิดขึ้นตอนกลางคืน เขาได้ยินเสียงกรีดร้องของคุณชายโจวเหมือนกับว่าตกใจกลัวอย่างถึงขีดสุด หลังจากนั้นก็ได้ยินข่าวคุณชายโจวตายอย่างกะทันหัน

ตระกูลโจวโกรธจัด ส่งบ่าวรับใช้ที่ดูแลคุณชายโจวทั้งหมดลงสุสานไปด้วย เพราะเขาเป็นใบ้ ในสายตาเจ้านาย เขาจึงเหมือนกับสุนัขตัวหนึ่ง ไม่ใช่แม้แต่บ่าวรับใช้ ด้วยเหตุนี้จึงลืมเขาไป

ส่วนแม่นางหอคณิกาผู้นั้น ตอนอายุน้อยก็เป็นคนรูปโฉมงดงามคนหนึ่ง ถูกเรียกขานเป็นพี่น้องแห่งหอคณิกาเทียบเคียบกับนางคณิกาอันดับหนึ่งคนนั้น แต่เพราะมีความสัมพันธ์เป็นคู่แข่ง ทั้งสองคนจึงมิลงรอยกันมาตลอด ต่อมานางแต่งงานออกมาจากหอคณิกา นางคณิกาอันดับหนึ่งเป็นเช่นไรนางก็มิทราบแล้ว แต่ตอนเกิดเรื่องคุณชายหยวน นางยังอยู่ในหอคณิกา เรื่องราวของพวกเขาสองคนนางจึงพอรู้มาอยู่บ้าง

ตอนที่ทั้งสามคนนึกย้อนถึงเรื่องราวในปีนั้น พวกเขาล้วนเอ่ยถึงคนผู้หนึ่ง

คังหมิ่น “มีอยู่หนหนึ่ง ซุนสวินดื่มสุรามากไป ใช้วิชาตัวเบาปีนกำแพงเข้าไปในจวนของตระกูลสวิน พวกเราล้วนคิดว่าข้าวสารคงกลายเป็นข้าวสุกแล้ว แต่ซุนสวินกลับถูกคนตีจนสลบแล้วโยนออกมา ข้างกายนางน่าจะมีองครักษ์ที่ร้ายกาจคนหนึ่งอยู่กระมัง”

องครักษ์หรือ

นายท่านหกหรี่ตาลง

บ่าวใบ้วาดมือวาดไม้ หลานชายของเขาอธิบายว่า “ท่านปู่ของข้าบอกว่าเขาเคยเห็นเงาผีเงาหนึ่งในเรือนของคุณชายโจว”

เงาผีหรือ

นายท่านหกลูบคาง

อดีตนางคณิกาผู้แต่งงานออกมาแล้วคนนั้นเปลี่ยนชื่อมาเป็นเย่ว์จิ่น

เย่ว์จิ่นบอกว่า “หมู่ตานเคยมีแขกร่วมราตรีไม่น้อย คุณชายหยวนนับเป็นคนหนึ่งในนั้น ทว่านับตั้งแต่ติดตามคุณชายหยวน นางก็ไม่เคยรับแขกคนอื่นอีก นอกเสียจาก คืนนั้นก่อนที่นางกับคุณชายหยวนจะหนีตามกันไป…”

นายท่านหกแน่ใจอย่างยิ่งว่าเบื้องหลังเรื่องทั้งหมดต้องมีผู้สมรู้ร่วมคิดที่ร้ายกาจอีกคนหนึ่ง เพื่อป้องกันมิให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้น นายท่านหกจึงพาทุกคนออกเดินทางกลับเมืองหลวงทันที เมื่อฟ้ามืดพวกเขาก็พักค้างคืนกันที่ศาลาพักม้าอันเรียบง่ายแห่งหนึ่ง

สิ้นปีใกล้มาถึงแล้ว กิจการของศาลาพักม้าดียิ่งกว่าปกติ ลูกค้าเดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศ ศาลาพักม้ามีคนเข้าพักเต็มแน่น ศาลาพักม้าไม่มีห้องพัก นายท่านหกจึงได้แต่พาพวกเขาออกไปตั้งกระโจมสองสามหลังด้านนอก เย่ว์จิ่นอยู่กระโจมหลังหนึ่ง นายท่านหก คังหมิ่นกับบ่าวใบ้ปู่หลานอยู่อีกกระโจมหนึ่ง ศิษย์สมาคมกระบี่อยู่อีกกระโจมหนึ่ง เหลือลูกศิษย์สองสามคนเฝ้าเวรยามตลอดคืน

รอบด้านมีคนเดินทางเข้ามาพักอย่างต่อเนื่อง ทุกคนล้วนต้องมาปักกระโจมด้านนอกอย่างไม่มีข้อยกเว้น

คนมากขึ้นเรื่อยๆ นายท่านหกสั่งให้ศิษย์สมาคมกระบี่เพิ่มการเฝ้าระวัง อย่าให้คนมากวนน้ำขุ่นจับปลาได้

ดึกดื่นยามสาม คนทั้งคณะก็พลันสะดุ้งตื่นเพราะเสียงร่ำไห้โหยหวนเสียงหนึ่ง

“พวกท่านทำบุญทำทาน ให้ภรรยาของข้าเข้าไปพักเถิด! ภรรยาของข้าใกล้คลอดแล้ว…”

นายท่านหกลุกขึ้น “ผู้ใดเอะอะโวยวายอยู่ตรงนั้น”

ศิษย์สมาคมกระบี่ที่เป็นหัวหน้าตอบ “ตอบนายท่านหก คนกลุ่มหนึ่งเดินทางผ่านมา ผู้หญิงคนนั้นเหมือนกำลังจะคลอดแล้ว สามีกับครอบครัวของนางจึงขอร้องขอเข้าพัก แต่ตอนนี้จะมีห้องที่ไหนให้พวกเขาเล่า”

“กรี๊ดดด” เสียงกรีดร้องของสตรีดังลอยมา

เย่ว์จิ่นเปิดผ้าม่านก้มตัวเดินออกมา แต่กลับถูกศิษย์สมาคมกระบี่คนหนึ่งขวางไว้ ศิษย์คนนั้นถาม “ไปที่ใด”

เย่ว์จิ่นตอบว่า “สตรีนางนั้นเหมือนจะใกล้คลอดแล้ว ข้าเคยคลอดลูกมาก่อน ข้าจะไปดูซิว่ามีสิ่งใดช่วยเหลือได้หรือไม่”

ศิษย์สมาคมกระบี่ตอบว่า “ห้ามไป หากเป็นกลลวงเล่า”

เย่ว์จิ่นมองหญิงท้องแก่ที่เจ็บปวดจนไม่อยากมีชีวิตคนนั้น “หากเจ้าไม่วางใจก็ไปดูด้วยกันกับข้าก็เท่านั้น! พวกเจ้าเป็นศิษย์สมาคมกระบี่ไม่ใช่หรือ ต่อให้เป็นกลลวง ก็คงสร้างความลำบากให้พวกเจ้าไม่ได้กระมัง”

“เจ้า…” ศิษย์สมาคมกระบี่สำลัก

นายท่านหกขมวดคิ้ว “เจ้าไปเรียกพวกเขามา บอกว่าข้ายกกระโจมให้พวกเขาพัก”

“ขอรับ”

ศิษย์สมาคมกระบี่เดินไปเจรจากับครอบครัวใหญ่อยู่สองสามประโยค ครอบครัวใหญ่ก็เดินเข้ามาหาอย่างซาบซึ้งใจ

นายท่านหกเปิดม่านกระโจม “พวกเจ้าเข้าไปเถิด” แล้วเอ่ยกับปู่หลานที่กรนดังสนั่นดั่งฟ้าร้องว่า “นี่ ลุกขึ้น ลุกขึ้น!”

ปู่หลานสองคนลุกขึ้นมาอย่างเชื่องช้า

เย่ว์จิ่นรีบเปิดม่านเข้ามาดู ถามหญิงตั้งครรภ์ว่า “เจ้าใกล้คลอดแล้วหรือ”

หญิงตั้งครรภ์ประคองท้องโตๆ แล้วตอบอย่างยากลำบาก “ช่วงก่อนหน้านี้ก็เริ่มเจ็บแล้ว แต่ไม่คลอดเสียที ดังนั้นจึงตั้งใจจะเดินทางเข้าไปหาหมอในเมือง”

เย่ว์จิ่นเอ่ยอย่างกังวล “เจ้าคลอดยากมานานเช่นนี้ นี่…นี่ดูท่าคงยากจะรอดแล้ว…”

หญิงตั้งครรภ์ร้องไห้โฮ

สามี น้องสามีกับพ่อแม่สามีของนางปลอบนางอย่างใส่ใจ

นายท่านหกบอกว่า “เมืองหลวงมีร้านยาชื่อหอหลิงจือ หมอที่นั่นวิชาแพทย์ไม่เลว ร้านที่อยู่ใกล้จวนอัครมหาเสนาบดีเฉียวปั๋วเป็นผู้รักษาด้วยตนเอง พวกเจ้าเดินทางไปหาเขา เขาจะต้องมีหนทางช่วยเหลือเจ้าแน่”

เย่ว์จิ่นล้วงเงินสองสามตำลึงออกมาจากอกเสื้อ วางลงบนมือหญิงตั้งครรภ์ “รับไว้ จ้างรถม้าสักคันจากศาลาพักม้า รีบเดินทางเถิด”

ครอบครัวของหญิงตั้งครรภ์คุกเข่า โขกศีรษะคำนับนายท่านหกกับเย่ว์จิ่น

นอกกระโจม ลูกศิษย์สมาคมกระบี่ทั้งหกคนกุมกระบี่ในมือไว้แน่น สายตาสังเกตความเคลื่อนไหวรอบด้านอย่างว่งอไว เสียงภายในกระโจมจะบอกว่าดังก็ไม่ใช่ จะว่าเบาก็ไม่เชิง แต่คนฝึกวรยุทธ์ แม้แต่ในห้องของโรงหมอก็ยังฟังได้ยิน

ศิษย์สมาคมกระบี่จงใจเมินเฉยต่อเสียงที่อาจรบกวนพวกเขาเหล่านั้น พยายามเพิ่มการเฝ้าระวัง บนถนนเส้นน้อยที่อยู่ไม่ไกลนักจู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าแผ่วเบาเลือนรางดังลอยมา เสียงแผ่วเบาจนยากจะแยกออก จำนวนมีมากถึงสิบคน

ศิษย์ที่เป็นหัวหน้าชักกระบี่ออกมา “นายท่านหก มีคนมา”

นายท่านหกเลิกผ้าม่านกระโจม “ขึ้นรถม้า!”

เย่ว์จิ่น คังหมิ่นกับบ่าวใบ้ปู่หลานขึ้นไปนั่งบนรถม้าทันที นายท่านหกนั่งอยู่นอกตัวรถ กำสายบังเหียนแน่น “ไป!”

ฟิ้ว! รถม้าพุ่งออกไปราวกับลูกธนู

ศิษย์สมาคมกระบี่สี่คนคอยสกัดท้าย ศิษย์สองคนควบอาชาคุ้มกันอยู่ฝั่งซ้ายขวาของพวกนายท่านหก

พวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นศิษย์ในของสมาคมกระบี่ วรยุทธ์ไม่เป็นรององครักษ์ชื่ออีเว่ยของจวนยิ่นอ๋อง ยามลงมือ หนึ่งคนต่อกรกับศัตรูได้นับร้อย ทว่าคนชุดดำที่ถือดาบโค้งกลุ่มนั้นมิทราบว่าร่ำเรียนกระบวนท่าอันใดมา ร่างกายเคลื่อนไหวดั่งภูตผี ศิษย์สมาคมกระบี่ขวางไม่อยู่แม้แต่น้อย

คนชุดดำไล่ตามนายท่านหกทันแล้ว ศิษย์สมาคมกระบี่สองคนกวัดแกว่งกระบี่บุกเข้าใส่ คังหมิ่นก็เคยร่ำเรียนวิชาจากสมาคมกระบี่มาบ้าง แต่วิชาที่ศิษย์นอกร่ำเรียนเป็นเพียงผิวเผิน เทียบกับนิ้วหนึ่งของศิษย์ในยังไม่ได้ เขาจึงไม่ออกไปอย่างไม่ประเมินกำลังตน

ศิษย์สมาคมกระบี่ทั้งสองต้านทานอย่างทรหดอยู่พักหนึ่ง

นายท่านหกเพิ่มความเร็วของรถม้าจนถึงที่สุด ทว่าวิ่งไปได้ไม่ไกล คนกลุ่มนั้นก็ตามติดมาราวกับเงาอีกหน

แสงสีเงินฉายวาบ นายท่านหกถูกแทงเข้าตรงหน้าอก ดวงตาเบิกถลน กระอักเลือดออกมาคำหนึ่งแล้วล้มคว่ำลงกับพื้น

อาชาตื่นตระหนก วิ่งเตลิดอย่างไร้จุดหมาย พาคนทั้งสี่ในตัวรถ คังหมิ่น เย่ว์จิ่น บ่าวใบ้ปู่หลานพุ่งลงไปในทะเลสาบ

พวกเขาตะกายอยู่ในน้ำสุดชีวิต

คนชุดดำยืนอยู่ริมฝั่งอย่างเย็นชา มองดูพวกเขาดิ้นรนประหนึ่งแมลงที่ใกล้ตาย สุดท้ายเรี่ยวแรงที่ดิ้นรนก็หมดลง ร่างกายแข็งทื่อจมดิ่งลงสู่ก้นทะเลสาบ

ผิวทะเลสาบฟื้นกลับมานิ่งสงบดุจห้วงมรณา

แสงแรกทอแสงผ่านขอบฟ้า ครอบครัวของหญิงตั้งครรภ์ใช้เงินที่เย่ว์จิ่นมอบให้เช่ารถม้าโทรมๆ คันหนึ่ง ออกเดินทางไปยังหอหลิงจือ

แสงตะวันส่องริมทาง โลหิตอาบย้อมทั่วพื้น แต่มิทราบว่าเป็นของผู้ใด

คนชุดดำหลายคนสวมหมวกปีกกว้างบดบังแสงสว่างเดินสวนทางกับครอบครัวนั้น

บางทีอาจเป็นเพราะได้กลิ่นคาวโลหิตจากบนร่างของพวกเขา หญิงตั้งครรภ์ในรถจึงรู้สึกคลื่นไส้

คนชุดดำเดินจากไปด้วยใบหน้าเฉยชา ดวงตาไม่แม้แต่จะกะพริบสักนิด

จีหว่านพักอยู่ที่ตระกูลจีมาหลายวัน ไม่ยอมกลับตระกูลหลินเสียที จีเหล่าฮูหยินร้อนใจแล้ว “”แม้ข้าจะชอบที่เจ้าอยู่เป็นเพื่อนข้า แต่เจ้าไม่ยอมกลับบ้านสามีเสียทีก็ไม่ใช่เรื่อง หากเล่าลือกันออกไปคงทำให้คนหัวเราะเยาะ”

จีหว่านส่องกระจกแล้วตอบว่า “ผู้ใดจะกล้าหัวเราะข้า”

จีเหล่าฮูหยินถลึงตาใส่นาง

จีหว่านวางกระจกลง “เจ้าค่ะๆ วันพรุ่งข้าจะไปแล้ว ดีหรือไม่เจ้าคะ จะได้มิอยู่ขวางหูขวางตาท่านแม่เฒ่า”

คืนสุดท้ายที่ค้างในตระกูลจี จีหว่านมาทานอาหารที่เรือนถง เมื่อกลับมาถึงเรือนลั่วเหมยก็รู้สึกผิดปกติเล็กน้อย จีเหล่าฮูหยินถามว่านางเป็นอะไร นางก็กุมท้องไม่พูดจา

จนกระทั่งเที่ยงคืน จู่ๆ นางก็คว้าแขนของจีเหล่าฮูหยิน “ท่านย่า…ข้า…ข้าปวดท้อง…น่าจะเกิดอะไรขึ้นกับลูก…”

จีเหล่าฮูหยินตกตะลึง “ลูก ลูกอะไร ในท้องเจ้ามีลูกอยู่หรือ”

จีหว่านกุมท้อง นอนอยู่บนเตียงลุกไม่ขึ้น “เรียกหมอ…เรียกหมอเร็ว!”

จีเหล่าฮูหยินตกใจจนหน้าซีด “ข้าเรียกเดี๋ยวนี้! ข้าจะไปเรียกเดี๋ยวนี้!”

“เดี๋ยวก่อน…” จีหว่านคว้ามือของท่านย่าเอาไว้ เหงื่อเย็นไหลพราก “ข้า…ข้าไม่อยากให้ผู้อื่นรู้…”

จีเหล่าฮูหยินรับปากอย่างหวาดหวั่น “ข้ารู้แล้ว เจ้ารีบนอนลง! ข้าจะเรียกเสี่ยวเวยมาเดี๋ยวนี้!”

จีเหล่าฮูหยินอ้างว่าตนเองปวดหัว ให้หรงมามาเรียกเฉียวเวยมา

หลายวันนี้จีหมิงซิวล้วนอยู่ในวังจึงไม่มีสิ่งใดไม่สะดวก เพียงแต่ว่าหลังจากจับชีพจรให้จีหว่านเสร็จ สีหน้าของเฉียวเวยก็แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดอย่างยิ่ง “นี่ ชีพจรนี่ซับซ้อนเกินไป ข้าไม่เคยพบมาก่อน รีบเรียกท่านพ่อข้ามาเถิด!”

ปี้เอ๋อร์รีบออกไปอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง แต่ไม่นานนักก็กลับมาพร้อมน้ำตาคลอ “นายท่านมาไม่ได้! หอหลิงจือมีหญิงท้องแก่คลอดไม่ออกสามวันมาคนหนึ่ง อันตรายยิ่งนัก นายท่านกลัวว่าหากตนผละออกมา หญิงท้องคนนั้นอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ตลอดเวลา! นายท่านบอกว่าหากไม่เร่งด่วนก็รออยู่ที่บ้านก่อน…หรือไม่ก็…เชิญท่านหมอคนอื่นเถิด…”

“โอ้ยยย” จีหว่านเจ็บปวดจนกลิ้งบนเตียง

เฉียวเวยสีหน้าเคร่งเครียด “รอไม่ได้แล้ว! พาคนไปที่ร้านของพ่อข้า!”

จีหว่านคว้ามือของท่านย่าเอาไว้ ร่างกายสั่นระริก น้ำตาร่วงพรูดุจสายฝน

จีเหล่าฮูหยินร่ำไห้ “ย่าอยู่นี่ ไม่ต้องกลัวนะ”

“ท่านย่า…” จีหว่านซุกเข้าไปในอ้อมแขนของจีเหล่าฮูหยิน ร้องไห้โฮเสียงดัง

หัวใจของจีเหล่าฮูหยินแทบแหลกสลาย “เจ้าไม่ต้องร้อง เจ้าจะไม่เป็นอะไร…เจ้ากับลูกล้วนจะไม่เป็นอะไร…”

เฉียวเวยบอกเสียงเบา “รถม้าเตรียมพร้อมแล้ว ท่านย่า ท่านพักอยู่ที่บ้าน ข้าจะไปส่งพี่ใหญ่ไปหอหลิงจือเอง”

จีหว่านร่ำไห้จนเป็นมนุษย์น้ำตาอยู่ในอ้อมแขนของจีเหล่าฮูหยิน

จีเหล่าฮูหยินสะอื้นเอ่ยว่า “ข้าจะไปกับพวกเจ้าด้วย!”

เฉียวเวยเกลี้ยกล่อมอย่างอดทน “นั่นจะได้อย่างไรเล่า น้ำค้างดึกแรงนัก…”

จีเหล่าฮูหยินโต้อย่างเจ็บปวด “หวานหว่านเป็นเช่นนี้แล้ว ย่าคนนี้ยังจะวางใจปล่อยนางไว้ไม่สนใจได้หรือ!”

ผลสุดท้ายเฉียวเวยก็ดื้อสู้จีเหล่าฮูหยินไม่ได้ จึงพาจีเหล่าฮูหยินขึ้นเกี้ยวไปด้วยกัน

เสียงกรีดร้องของจีหว่านดังขึ้นแทบจะตลอดทาง แม้แต่เรือนถงก็ถูกปลุกให้ตื่นด้วย

จีซั่งชิงเปิดผ้าห่มออก มุ่นคิ้วถามว่า “หวานหว่านเกิดเรื่องอะไรขึ้น

สวินหลันสวมอาภรณ์เดินเข้ามา “ดูเหมือนว่าจะปวดท้อง เฉียวปั๋วมีคนไข้ติดพันอยู่ มิอาจมารักษาได้ นางจึงเดินทางไปเอง”

จีซั่งชิงส่งเสียงตอบคำหนึ่งแล้วสั่งว่า “เจ้าส่งคนไปดูสักหน่อย”

“เจ้าค่ะ”

หอหลิงจืออยู่ใกล้กับจวนอัครมหาเสนาบดี หวดแส้เร่งม้าเพียงหนึ่งเค่อก็มาถึง

จีหว่านได้เฉียวเวยประคองลงจากรถม้า ปี้เอ๋อร์กับหรงมามาพยุงเหล่าฮูหยินลงจากรถม้า

จีเหล่าฮูหยินเข้ามาในหอหลิงจืออย่างร้อนรน

เฉียวเจิงนั่งอยู่กับโต๊ะในสภาพเรียบร้อย ข้างกายเขามีหญิงท้องกลมผู้อุ้มท้องได้หกเดือนแล้วคนหนึ่ง บุรุษรูปร่างปานกลางอีกคนหนึ่ง พ่อแม่สามีคู่หนึ่งกับน้องชายอายุน้อยของสามีอีกคนหนึ่ง

พวกเขาสีหน้าสุขุม ไม่เหมือนจะอยู่ในสถานการณ์คลอดยากสักนิด

จีเหล่าฮูหยินตกตะลึง ไม่รอให้นางได้สติ จีหว่านผู้เจ็บปวดจนลุกไม่ขึ้นก็ผุดลุกขึ้นมา เช็ดเหงื่อด้วยท่าทางสบายๆ “ฮูหยินคนนี้เหนื่อยจะตายแล้ว!”

คิ้วขาวโพลนของจีเหล่าฮูหยินขมวดแน่น “นี่มันเรื่องอะไรกัน”

จีหว่านเสมองฟ้า

หญิงตั้งครรภ์ที่อยู่ด้านข้างยกมือขึ้นถอดหน้ากากหนังมนุษย์บนใบหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้าอวบอ้วนที่ดูหล่อเหลา

ไม่ใช่นายท่านหก แล้วยังจะเป็นผู้ใดอีก

นายท่านหกฉีกยิ้ม

เฉียวเวยก็ยิ้ม

สามี พ่อแม่สามีกับน้องชายอายุน้อยของสามีที่นั่งอยู่ต่างพากันถอดหน้ากากบนใบหน้าออก พวกเขาก็คือคังหมิ่น เย่ว์จิ่นกับบ่าวใบ้และหลานชายคู่นั้น