เซียงอ๋องเอามือจับไปบริเวณที่ถูกชุยอี้ต่อยเมื่อครู่แล้วพูดด้วยความโมโหว่า “ชุยอี้ เจ้ากล้าดีอย่างไรมาทำร้ายร่างกายข้าซึ่งเป็นองค์ชาย!”
ชุยอี้ดวงตาแดงเรื่อ เขายังคงกำหมัดแน่นแล้วกล่าวว่า “เป็นองค์ชายก็สามารถฆ่าผู้ใดได้ตามอำเภอใจหรือ ข้าจะเดินทางเข้าวังร้องขอเข้าพบเสด็จลุง ให้เขาคืนความยุติธรรมกับหมิงเย่ว์!”
เมื่อกล่าวประโยคนี้จบ ชุยอี้ก็หันหลังเดินจากไป
เซียงอ๋องได้ยินดังนั้นก็รีบตะโกนเรียกว่า “ชุยอี้ เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
เขาวิ่งตามไปแต่กลับพบว่าฝีเท้าของตนนั้นห่างไกลจากชุยอี้เรื่อยๆ จึงได้ตะโกนด้วยน้ำเสียงดังว่า “จับมันเอาไว้”
ทิศทางที่ชุยอี้วิ่งไปนั้นดูเหมือนจะอยู่ตรงอวี้จิ่นพอดิบพอดี
เมื่อได้ยินคำนั้นของเซียงอ๋อง อวี้จิ่นก็ขยับกายไปด้านข้างเล็กน้อย ชั่วพริบตาเดียวก็มองไม่เห็นร่างของชุยอี้อยู่ตรงนั้น
เซียงอ๋องตกตะลึง เขาวิ่งตามชุยอี้ไม่ทัน ดวงตาแดงเรื่อคู่นั้นหันไปมองหาเรื่องอวี้จิ่น “พี่เจ็ดตั้งใจปล่อยให้เขาไปฟ้องเสด็จพ่อใช่หรือไม่”
คนที่อยู่ตรงข้ามกับเผยอริมฝีปากยิ้มขึ้นบางเบา “น้องแปด ทางที่ดีเจ้าควรจะตื่นเสีย อย่าได้บ้าคลั่งเช่นนี้ เจ้าคิดจริงหรือว่าเรื่องราวดำเนินมาถึงเพียงนี้แล้วเจ้าจะยังปิดบังเสด็จพ่อได้”
ทันใดนั้นเองก็มีน้ำเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาว่า “แน่นอนว่าไม่อาจปิดบังฮ่องเต้ได้ เนื่องจากคดีนี้ฝ่าบาทกำชับให้ข้าน้อยสืบด้วยตนเอง บัดนี้เมื่อได้ความแล้วต่อให้คุณชายชุยไม่ไปร้องขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท ข้าน้อยก็ต้องเดินทางเข้าวังเพื่อทูลแก่ฝ่าบาท”
เซียงอ๋องมองไปทางเจินซื่อเฉิงที่ทำท่าดูเฉยเมย จากนั้นหันไปมองดูอวี้จิ่นซึ่งก็ทำท่าทีเฉยเมยเช่นกัน ความหวาดกลัวแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย “พวกเจ้า…”
เนื่องจากบัดนี้ดูไร้หนทางแล้ว เขาจึงหันไปมองทางฉีอ๋อง
ฉีอ๋องได้แต่คร่ำครวญอยู่ในใจ
บัดนี้เจ้าแปดไร้สิ้นหนทาง หากว่าเสียสติไปล่ะก็คงจะไม่เอาตนเข้าไปเกี่ยวโยงด้วยใช่หรือไม่
เมื่อคิดได้ดังนั้น ฉีอ๋องที่เดิมทีตั้งใจจะปลีกตัวออกห่าง ก็ได้เอ่ยปลอบเบาๆ ว่า “น้องแปด เจ้ายอมรับความผิดต่อเสด็จพ่อเถิด เสด็จพ่อมีความเมตตากรุณา คาดว่าคงจะไม่ลงโทษเจ้าหนักนัก…”
คงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เหลือโอกาสอันเล็กน้อยไว้ให้เจ้าแปดเลย
“จริงหรือ!” เมื่อได้ยินฉีอ๋องกล่าวดังนั้นอารมณ์ที่แทบจะบ้าคลั่งพลุ่งพล่านเมื่อครู่ของเซียงอ๋องก็ราวกับคนที่ใกล้จมน้ำแล้วคว้าฟางเส้นสุดท้ายเอาไว้ได้ เขาจึงรีบเอ่ยถาม
ฉีอ๋องพยักหน้าด้วยความมั่นใจ
แม้จะเป็นคำปลอบที่ดูผิวเผินไปบ้าง แต่ก็ไม่ทำให้ถึงชีวิต เพียงแค่บัดนี้เจ้าแปดไม่คลุ้มคลั่งขึ้นมาก็พอ
หลู่อ๋องมองไปแล้วเบ้ริมฝีปากคิดอยู่ในใจว่า ตามปกติแล้วเจ้าแปดดูไม่ได้โง่เง่าเช่นนี้ เหตุใดจึงเชื่อคำของเจ้าสี่ง่ายๆ เล่า
เขาเพียงแค่ลงไม้ลงมือต่อยองค์รัชทายาทที่ถูกปลดไปเท่านั้น จากชินอ๋องก็ลดตำแหน่งลงถึงจวิ้นอ๋อง ทว่าเจ้าแปดได้สังหารหลานสาวของเสด็จพ่อ หากเสด็จพ่อจะปล่อยไปง่ายๆ ก็คงแปลก
ในวันนี้เขาเดินทางออกจากจวนก็ได้ยินเสียงนกร้อง พอจะเดาได้ว่ามีเรื่องดีๆ เกิดขึ้น คิดไม่ถึงว่าเรื่องจะมาตกลงที่เจ้าแปด
รอให้เสด็จพ่อลงโทษเจ้าแปดเสียก่อน เขาก็จะได้ไม่ต้องเป็นรองใครอีกต่อไป
วินาทีนี้หลู่อ๋องถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก คิ้วของเขาแสดงออกถึงความผ่อนคลาย
“พวกเจ้าทั้งหลายไปจัดการสถานที่เกิดเหตุให้ดี” เจินซื่อเฉิงกำชับลงไปยังผู้ใต้บังคับบัญชา จากนั้นหันมายกมือขึ้นคารวะทางอวี้จิ่นและคนอื่นๆ “ในเมื่อคดีคลี่คลายแล้วข้าน้อยขอเดินทางกลับก่อน”
เขาจะต้องรีบเดินทางไปรายงานให้ฝ่าบาทรู้ ส่วนเรื่องฆาตกร ถึงอย่างไรก็เป็นองค์ชาย จะจัดการเช่นไรนั้นฮ่องเต้คงจะมีวิธีของตนเองอยู่ ไม่จำเป็นต้องให้เขาคุมตัวไป
เมื่อพบว่าเจินซื่อเฉิงกำลังเดินทางจากไป เซียงอ๋องก็ได้วิ่งไปด้านนอกอย่างบ้าคลั่ง
เขาจะไม่นั่งรอความตาย เขาต้องไปรายงานต่อเสด็จพ่อ
ในไม่ช้าเซียงอ๋องก็วิ่งไกลออกไปเหลือไว้เพียงท่านอ๋องคนอื่นๆ ที่พากันมองหน้าด้วยความงุนงง
หลู่อ๋องยกริมฝีปากของตนเองแล้วกล่าวขึ้นก่อนว่า “พวกเราตามไปดูกันดีหรือไม่”
ฉินอ๋องยิ้มขึ้นด้วยความขมขื่น “ในวันนี้พวกเราล้วนอยู่ที่เกิดเหตุ เมื่อใต้เท้าเจินทูลต่อเสด็จพ่อแล้วคาดว่าพวกเราคงจะต้องถูกเรียกตัวเข้าวัง…”
ด้วยเหตุฉะนี้แม้ไม่อยากไปก็ต้องไป
อวี้จิ่นทำท่าทางสงบไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา
ผู้ที่นิ่งเงียบนั้นยังมีสู่อ๋องและฉีอ๋องด้วย
สายตาของสู่อ๋องมองไปทางเจ้าสุนัขตัวใหญ่ข้างกายอวี้จิ่นแล้วมองไปทางฉีอ๋องอย่างเงียบๆ ในใจของเขาทั้งรู้สึกกลัวและรู้สึกยินดี
โครงกระดูกของชุยหมิงเย่ว์ถูกพบเข้าโดยเอ้อร์หนิว
แม้ว่าจะเน่าเฟะผุกร่อนเรือเพียงแค่กระดูกก็ยังสามารถถูกเอ้อร์หนิวตามหาจนพบได้
หากจะบอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าเจ็ดเขาคงไม่เชื่อ
โชคดีเหลือเกินที่เขาเชื่อฟังมารดา เอ่ยเตือนเขาให้ถอยออกมาก่อน ให้เจ้าสี่และเจ้าเจ็ดต่อสู้กันเอง เมื่อมองดูแล้วบัดนี้เจ้าเจ็ดช่างดุเดือดยิ่งนัก เพียงแค่ลงมือก็สามารถตัดแขนของเจ้าสี่ทิ้งไปได้
วินาทีนี้สู่อ๋องได้แต่ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่า บัดนี้เป็นต้นไปเขาจะต้องเจียมตัวเจียมตนกว่าเดิม หากไม่ได้มั่นใจเพียงพอก็จะเผชิญหน้ากับเจ้าเจ็ดโดยตรงไม่ได้เด็ดขาด หากเทียบกับเจ้าสี่ที่มักจะคำนึงถึงเรื่องการป้องกันตัวอยู่เสมอ เจ้าเจ็ดที่มักกระทำการใดโดยไร้แบบแผนช่างน่ากลัวกว่ามากนัก
ในใจของฉีอ๋องเกิดคลื่นถาโถมเข้ามา เขาเองก็ตกอยู่ในความหวาดกลัว
เรื่องราวในวันนี้จะต้องเกี่ยวข้องกับเจ้าเจ็ดอย่างแน่นอน ว่าแต่เจ้าเจ็ดรู้ได้อย่างไรว่าชุยหมิงเย่ว์ถูกเจ้าแปดสังหารแล้วนำศพมาทิ้งไว้ในบ่อร้างแห่งนี้
หากว่าเจ้าเจ็ดรู้เรื่องนี้ตั้งแต่ตอนที่ชุยหมิงเย่ว์หายตัวไป แต่กลับรอมาจนบัดนี้เพื่อที่จะเปิดโปงเขา แผนการและความอดทนเช่นนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก
เมื่อมองไปยังใบหน้าที่ดูคล้ายคลึงกับตน แต่ไร้อารมณ์ความรู้สึกดูอ่อนเยาว์กว่า ฉีอ๋องสัมผัสได้ถึงความกลัวอย่างลึกซึ้ง
……
ณ ห้องทรงพระอักษร
จิ่งหมิงฮ่องเต้วางหนังสือลงแล้วยกมือขึ้นรูปหัวคิ้ว
พานไห่เห็นท่าทางเช่นนั้นของจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตึงเครียดขึ้นมา
ต่อจากนี้ฮ่องเต้คงจะไม่เอ่ยถามคำถามเดิมๆ เหล่านั้นใช่หรือไม่ ‘ตาซ้ายหรือตาขวากระตุกจึงจะเกิดเรื่องไม่ดี’
โชคดีที่ครั้งนี้ฮ่องเต้จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่ได้ทำให้ขันทีคนสนิทต้องลำบากใจ เขาเพียงเอ่ยถามขึ้นว่า “พวกเขาเดินทางไปจวนเซียงอ๋องกันหมดงั้นหรือ”
พานไห่รีบตอบขึ้นว่า “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ท่านอ๋องทุกคนเสด็จไปที่นั่นกันหมดแล้ว”
จิ่งหมิงฮ่องเต้พยักหน้าด้วยความรู้สึกพึงพอใจ
เจ้าเด็กพวกนี้ไม่เลวเลย พวกเขาไม่ได้พยายามหลบหนีไปให้ห่างเพียงเพราะเจ้าแปดทำเรื่องน่าอับอายขายหน้าเช่นนั้นขึ้น นับว่ามีความรักใคร่กลมเกลียวระหว่างพี่น้องกันดี
ในสายตาของจิ่งหมิงฮ่องเต้ แม้ว่าเซียงอ๋องจะทำเรื่องราวอันน่าเกลียดเช่นนั้นออกมาในงานเลี้ยงวันเกิดของไทเฮา อีกทั้งยังโกรธแค้นเนื่องจากไม่ได้เป็นโอรสใต้นามของไทเฮา แต่ชายหนุ่มที่ดื่มสุราเข้าไปจนขาดสติเนื่องจากในใจมีความทุกข์อยู่ ก็เป็นเรื่องปกติที่มีให้เห็นทั่วไป
ถึงอย่างไรก็เป็นบุตรชายของตน จะให้รังเกียจเดียดฉันท์แล้วโยนทิ้งไปได้อย่างไร
หลังจากที่กระทำผิดแล้วอยู่สำนึกเงียบๆ ก็พอ เมื่อไรที่เจ้าเด็กนี่ปรับปรุงแก้ไขตนเองได้ค่อยแต่งตั้งยศให้ใหม่ก็ใช่ว่าทำไม่ได้
บัดนี้การที่ขุนนางบู๊บุ๋นต่างพากันออกห่างจากเซียงอ๋องก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้เช่นกัน แต่หากเป็นบุตรชายคนอื่น ในใจของเขาก็คงจะรู้สึกเย็นชาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และพฤติกรรมขององค์ชายทั้งหลายในบัดนี้ก็ทำให้ฮ่องเต้ยอมรับโดยไม่ลังเล
ทันใดนั้นเองก็มีข้าหลวงคนหนึ่งวิ่งเข้ามารายงานว่า “ทูลฝ่าบาท ผู้ตรวจการศาลาว่าการพระนครและคุณชายชุยขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินว่าผู้ตรวจการศาลาว่าการพระนครจะขอเข้าเฝ้า จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“เหล่าเจินงั้นรึ”
ช่วงนี้ไม่ได้มีคดีร้ายแรงอะไร แล้วเหล่าเจินเดินทางมาหาเขาเพื่อสิ่งใด
ส่วนคุณชายชุย…เป็นเพราะชื่อของเจินซื่อเฉิงดึงดูดความคิดของจิ่งหมิงฮ่องเต้ไปจนสิ้น ทำให้เขาไม่รู้ว่าคือคนไหน
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็กล่าวว่า “เชิญเข้ามา”
หากเป็นคนอื่นที่ขอเข้าเฝ้าคงไม่อนุญาต แต่ว่าเหล่าเจินผู้คลี่คลายคดีได้ทุกเรื่องอย่างบ้าคลั่งนี้ เขาจะต้องพบสักหน่อย
ในไม่ช้าจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็พบกับเจินซื่อเฉิงซึ่งเดินหนวดเคราพลิ้วไหวตรงเข้ามา และมีชุยอี้ดวงตาแดงเรื่อเดินตาม
“ชุยอี้ เหตุใดจึงเป็นเจ้า” เมื่อพบเข้ากับชุยอี้ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็รู้สึกตกตะลึง
ชุยอี้คุกเข่าลงสู่พื้นแล้วเปล่งเสียงออกมาว่า “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ได้โปรดคืนความยุติธรรมให้หมิงเย่ว์ด้วย”
คุณชายที่เอาแต่ใจตนเองเที่ยวเตร่เร่ร่อนบัดนี้คุกเข่าอยู่บนพื้น เขารู้แล้วว่าโลกนี้เป็นเช่นไร บัดนี้แม้แต่คำว่าลุงยังไม่อาจกล่าวออกมาได้
เขาเป็นหลานชายของฮ่องเต้ เป็นหลานชายของไทเฮาที่นางสามารถจำชื่อได้ ก่อนหน้านี้เขาสามารถเข้าออกพระราชวังได้โดยไม่มีผู้ใดขวาง ทว่าเมื่อสักครู่เมื่อเขาเดินทางเข้ามากลับถูกคนเฝ้าประตูรั้งไว้ที่ด้านนอก และต้องติดตามใต้เท้าเจินจึงได้เข้ามาด้านใน
จิ่งหมิงฮ่องเต้รู้สึกประหลาดใจ เขาโน้มกายไปข้างหน้าแล้วเอ่ยถามว่า “อี้เอ๋อร์ เจ้าลุกขึ้นมาก่อน มีอะไรค่อยพูดค่อยจา ที่เจ้าว่าให้คืนความยุติธรรมแก่หมิงเย่ว์คือสิ่งใด”
ชุยอี้เงยหน้าขึ้นน้ำตานองหน้า “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ หมิงเย่ว์ไม่ได้หายตัวไป แต่นางถูกเซียงอ๋องฆ่า!”