มือของจิ่งหมิงฮ่องเต้ซึ่งจับหยกขาวที่ทับกระดาษเอาไว้ก็กุมแน่น
บัดนี้อากาศเริ่มอุ่นขึ้นแล้ว จิ่งหมิงฮ่องเต้เกรงว่าจะร้อนจึงได้สั่งให้คนนำเตาผิงออกไปจากห้องทรงพระอักษร บัดนี้เขาสัมผัสได้ถึงกระดาษอันเยือกเย็น เช่นเดียวกันกับความรู้สึกในใจบัดนี้
เขาฟังผิดไปหรือ ชุยอี้กล่าวว่าหมิงเย่ว์ถูกเจ้าแปดฆ่า?
จิ่งหมิงฮ่องเต้สูดลมหายใจเข้าลึก เขาฟังแล้วพยายามเอ่ยถามด้วยท่าทางใจเย็นว่า “อี้เอ๋อร์ เจ้าได้ยินข่าวนี้มาจากที่ใด”
เจ้าเด็กคนนี้หลังจากที่บิดามารดาตายจากไปก็แทบไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นอีก เขาถูกใครทำของใส่หรือได้ยินข่าวลือมา
ชุยอี้ดวงตาแดงเรื่อ น้ำเสียงสั่นคลอน “กระหม่อมไม่ได้ยินมาจากที่ใดหรอก แต่เพราะได้เห็นกระดูกของหมิงเย่ว์ที่จวนเซียงอ๋องด้วยตาของตนเองพ่ะย่ะค่ะ”
“ว่าอย่างไรนะ!” จิ่งหมิงฮ่องเต้คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำตอบเช่นนี้ ที่ทับกระดาษหยกขาวในมือแทบจะลอยออกไป
เขาหันไปมองทางเจินซื่อเฉิงแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เจินอ้ายชิง เจ้าเล่ารายละเอียดให้ข้าฟังบัดเดี๋ยวนี้”
เมื่อถึงตอนนี้ ต่อให้จิ่งหมิงฮ่องเต้ไม่อยากยอมรับ แต่เขาก็เชื่อคำพูดของชุยอี้ไปแล้ว
หากว่าชุยอี้เพียงแค่ได้ยินข่าวลือมา เจินซื่อเฉิงก็คงจะไม่เดินทางเข้าวังมาเช่นนี้ด้วย
เจินซื่อเฉิงยกมือขึ้นแล้วคารวะ “ทูลฝ่าบาท ก่อนหน้านี้ไม่นานกระหม่อมได้รับแจ้งจากคนจวนเซียงอ๋องมารายงานว่ ท่านอ๋องทั้งหลายได้พบโครงกระดูกโครงหนึ่งอยู่ในบ่อร้างของจวนเซียงอ๋อง…”
เมื่อได้ยินว่าองค์ชายทั้งหลายเป็นผู้ค้นพบ จิ่งหมิงฮ่องเต้ถึงกับขมวดคิ้ว เขาใช้ที่ทับกระดาษหยกขาวชี้ไปทางเจินซื่อเฉิง “ว่าต่อ”
เจินซื่อเฉิงลังเลแล้วถอยหลังออกไปอย่างเงียบๆ
ได้ยินมาว่าที่ทับกระดาษบนโต๊ะมังกรแห่งนั้นถูกเปลี่ยนไปมากมายหลายชิ้นแล้ว และบัดนี้ฮ่องเต้ได้ถือมันไว้ในมือ ช่างน่ากลัวเหลือเกิน
เจินซื่อเฉิงเล่าต่อไปพร้อมความกังวลที่ปิดซ่อนไว้ว่า “ในครานั้นเมื่อกระหม่อมได้ยินก็รีบส่งคนออกไปทันที”
“รีบพูดประเด็นสำคัญ!” ที่ทับกระดาษในมือของฮ่องเต้ดูเหมือนพร้อมจะบินลอยออกไปตลอดเวลา
เหล่าเจินตามปกติแล้วมักกล่าวอย่างตรงไปตรงมา เหตุใดวันนี้จึงกล่าวเรื่องไร้สาระมากมายนัก
เจินซื่อเฉิงจึงได้เล่าเรื่องหลังจากที่เขาเดินทางไปยังจวนเซียงอ๋องออกมาโดยละเอียด ขณะที่เขากล่าว หนวดเคราก็สั่นเทาด้วยความตื่นเต้น ทำให้พานไห่ที่ยืนอยู่ด้านหลังจิ่งหมิงฮ่องเต้ถึงกับก้มหน้าลงเงียบๆ
ใต้เท้าเจินรายงานสถานการณ์ตามตามจริงได้อย่างลืมตัวเสียเหลือเกิน เหตุใดจึงไม่คำนึงถึงความรู้สึกของฝ่าบาทบ้างเล่า
เมื่อพานไห่คิดถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกกังวล
ตายแล้ว จบเห่แน่! ผู้กระทำผิดคือโอรสของฮ่องเต้ ช่วงเวลาต่อจากนี้ยามที่เขาเข้ารับใช้ข้างกายจิ่งหมิงฮ่องเต้ คาดว่าคงจะต้องคอยระมัดระวัง และต้องพบกับเรื่องลำบากใจอย่างแน่นอน
แม้ว่าฮ่องเต้จะไม่ได้เป็นคนที่อารมณ์ร้อนเสียทำร้ายใครถึงแก่ชีวิต แต่ในฐานะฮ่องเต้แม้จะนิสัยดีเพียงไรยามโมโหก็คงรับมือไม่ง่ายเช่นกัน
อาทิเช่นกูกูที่คอยดูแลเรื่องบุคคลต่างๆ ปกติแล้วเมื่อเห็นว่าเขาก็ไม่ได้มีปัญหาใด ทว่าทุกเดือนก็จะมีอยู่หลายวันที่ผิดใจกับเขา
แต่เขามีจิตใจกว้างขวางจึงไม่อยากถือสาสตรี
หลังจากที่ฟังเจินซื่อเฉิงเอ่ยรายงานสถานการณ์ต่างๆ มาเป็นเวลาถึงครึ่งชั่วยามเต็ม จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็เอ่ยถามขึ้นด้วยความหนักอึ้งว่า “จบแล้วหรือ”
เจินซื่อเฉิงได้สติกลับคืนมาอย่างว่องไว แล้วนึกในใจว่า แย่แล้ว เมื่อครู่เขาเพียงต้องการที่จะเอ่ยเล่าถึงความข้อเท็จจริงในคดีและบทสรุป จนลืมนึกถึงความรู้สึกของฝ่าบาทไป…
เขารีบเข้าไปคารวะจิ่งหมิงฮ่องเต้แล้วใช้น้ำเสียงอันเรียบง่ายกล่าวขึ้นว่า “เรื่องราวเป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ เชิญฝ่าบาทตัดสินพระทัย”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้แต่ทำสีหน้าซีดเผือด
หากว่ากันด้วยเรื่องของการสืบคดีในราชวงศ์ต้าโจวแห่งนี้คนที่เขาเชื่อใจมากที่สุดก็คือเหล่าเจิน ณ เวลานี้หากจะให้เขาบอกว่าเจ้าแปดไม่ใช่ฆาตกรที่ฆ่าชุยหมิงเย่ว์เขาเองก็ไม่อาจกล่าวเช่นนั้นได้
บรรยากาศในบัดนั้นดูหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะมีข้าหลวงคนหนึ่งเข้ามารายงานว่า “ทูลฝ่าบาท เซียงอ๋องขอเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตบโต๊ะ “ไม่อนุญาต!”
ข้าหลวงที่เข้ามารายงานเมื่อครู่เดินออกไปได้ไม่นานก็กลับมาอีกครั้งแล้วรายงานว่า “ทูลฝ่าบาท ท่านอ๋องทั้งหลายก็เดินทางมาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เดิมทีจิ่งหมิงฮ่องเต้ตั้งใจจะบอกว่าเขาไม่ต้องการพบใครทั้งสิ้น แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าโอรสทั้งหลายของเขาอยู่ในสถานการณ์นั้นด้วย จึงกอดความหวังอันเล็กน้อยไว้แล้วเปลี่ยนแปลงความคิด “เรียกพวกเขาและแม่ทัพเซี่ยวเทียนเข้ามา”
ไม่นานหลังจากนั้น ข้าหลวงก็ได้ออกไปประกาศตามคำรับสั่งของจิ่งหมิงฮ่องเต้
เมื่อเซียงอ๋องเห็นว่าพวกเขาทั้งหลายได้เดินตามข้าหลวงเข้าไปด้านใน ทั้งยังมีสุนัขตามเข้าไปด้วย มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ถูกทิ้งเอาไว้ด้านนอกตามลำพัง เขาก็รู้สึกหมดหวังสีหน้าซีดเผือด
บัดนี้สีหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็ไม่ได้ดีกว่ากันเท่าไรนัก เมื่อทอดพระเนตรไปยังโอรสทั้งหลายที่พากันเดินตรงเข้ามา แล้วสายตาของเขาก็จับจ้องไปที่สุนัขตัวใหญ่
เมื่อมองไปเช่นนั้นเขาเกือบจะจำไม่ได้ ไม่ลืมที่หางตาจะเหลือบมองไปยังจี๋เสียงแมวขาวของตน เมื่อพบมันนอนอยู่ขดกลมจึงวางใจ
“โครงกระดูกนั้นเอ้อร์หนิวเป็นคนพบหรือ”
องค์ชายทั้งหลายพากันพยักหน้า
จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้เอ่ยถามรายละเอียดอีกครั้ง ท้ายที่สุดแล้วก็เอ่ยถามอวี้จิ่นว่า “เจ้าเจ็ด เจ้าเดินทางไปเยี่ยมเจ้าแปด เหตุใดต้องเอาเอ้อร์หนิวไปด้วย”
ในตอนนั้นเรื่องที่องค์รัชทายาทแกล้งทำเป็นความจำเสื่อมถูกเปิดโปงขึ้นก็เป็นผลงานของเอ้อร์หนิว ในตอนนั้นอวี้จิ่นพาเอ้อร์หนิวเข้าวังมาด้วย ครั้งนี้ผู้ที่โชคร้ายคือเซียงอ๋อง สถานการณ์ก็เป็นเช่นเดียวกัน ในใจของจิ่งหมิงฮ่องเต้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัย
ด้วยความรู้สึกสงสัยนี้ แม้ใบหน้าของจิ่งหมิงฮ่องเต้จะไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ออกมา แต่สายตาของเขานั้นช่างลึกล้ำต้องการค้นหาความจริง
ดูเหมือนหลู่อ๋องจะมองไม่ออกถึงสถานการณ์นี้ เขารีบตอบขึ้นทันทีว่า “เสด็จพ่อ ลูกพาเอ้อร์หนิวไปเองพ่ะย่ะค่ะ”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ชะงักลง ความคิดของเขาเฉื่อยชาไปชั่วขณะ
เขาจำผิดงั้นหรือ เอ้อร์หนิวเป็นสุนัขของเจ้าห้า?
ฉีอ๋องและสู่อ๋องก้มหน้าลงพร้อมกันแล้วคิดอยู่ในใจว่า หากมีโอกาสจะจัดการสั่งสอนเจ้าห้าสักหน่อย ที่ผ่านมานี้อวี้จิ่น เป็นตัวการให้ทั้งสองคนถูกสงสัย บัดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ฮ่องเต้จะรู้สึกสงสัยในตัวเขา แต่เจ้าหลู่อ๋องกลับเข้ามาแย่งบท ถ้าไม่โมโหคงจะแปลก
แต่หลู่อ๋องคิดไม่ถึงว่าความคิดอารมณ์ของฉีอ๋องและสู่อ๋องจะเป็นเช่นนี้ แน่นอนว่าต่อให้เขารู้ก็ไม่สนใจ จึงได้กล่าวด้วยความตื่นเต้นว่า “ในวันนี้ลูกตั้งใจจะเดินทางมาหาเจ้าแปด ดังนั้นจึงได้ไปเรียกน้องเจ็ดเดินทางมาด้วยกัน...”
“เจ้าไปหาเจ้าเจ็ดงั้นหรือ” จิ่งหมิงฮ่องเต้เอ่ยขัดคำพูดของหลู่อ๋อง
หลู่อ๋องพยักหน้าจากนั้นกล่าวต่อไปว่า “พ่ะย่ะค่ะ ลูกพบเข้ากับเอ้อร์หนิวแล้วรู้สึกว่าเอ้อร์หนิวไม่มีอะไรทำ จึงได้เอามันมาด้วย”
มีกระดูกมากมายมันไม่ไปกัดกิน กลับมากัดกางเกงของเขา ถ้าไม่ใช่เพราะมันไม่มีอะไรทำแล้วเพราะอะไรกันเล่า ประโยคนี้ของเขาก็ไม่ได้ผิด
เมื่อได้ยินประโยคนั้นของหลู่อ๋อง ความสงสัยในใจของจิ่งหมิงฮ่องเต้ก็จางหายไป แล้วหันกลับไปมองดูเอ้อร์หนิว
“ศพในบ่อร้างกลายเป็นโครงกระดูกไปแล้ว เอ้อร์หนิวพบมันได้อย่างไร”
เมื่อเขากล่าวจบก็ได้หันสายตาไปทางอวี้จิ่น
อวี้จิ่นยกมือขึ้นคารวะจิ่งหมิงฮ่องเต้ด้วยใบหน้าอันสงบนิ่ง “อาจเป็นเพราะว่าเอ้อร์หนิวมีความสามารถพิเศษกระมังพ่ะย่ะค่ะ ในตอนนั้นที่ลูกพาเอ้อร์หนิวไปยังอำเภอเฉียนเหอที่ประสบภัย เอ้อร์หนิวก็สามารถรู้ได้ล่วงหน้าว่าจะเกิดแผ่นดินไหว จึงทำให้ช่วยเหลือชาวบ้านเอาไว้ได้มากมาย...”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ส่งสายตาไปมองที่เอ้อร์หนิวอีกครั้ง
ดูเหมือนเอ้อร์หนิวจะสัมผัสได้ถึงความสงสัยที่จ้องมองมา มันจึงเดินส่ายหางไปทางโต๊ะมังกร
“หยุดเดี๋ยวนี้!” พานไห่เกรงว่าเอ้อร์หนิวจะทำให้จิ่งหมิงฮ่องเต้ได้รับบาดเจ็บ จึงได้เอ่ยตะโกนขึ้น
เอ้อร์หนิวหยุดฝีเท้าของมันลงแล้วหันไปเห่าทางจิ่งหมิงฮ่องเต้อยู่สองหน แสดงถึงความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
เดิมทีจิ่งหมิงฮ่องเต้ที่ดูตึงเครียด บัดนี้ได้ผ่อนคลายลงแล้ว ทรงโบกมือตรัสว่า “ดูเถิดว่าเอ้อร์หนิวจะทำสิ่งใด”
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ…”
จิ่งหมิงฮ่องเต้หันไปเหลือบมองดูอวี้จิ่นแล้วกล่าวขึ้นเบาๆ “ไม่เป็นไรหรอก มีเยี่ยนอ๋องอยู่ที่นี่”
หากว่าเขาถูกเอ้อร์หนิวกัดเข้าจริงๆ ก็คงจะไปคิดบัญชีกับเจ้าเจ็ดเอง
ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องมองของทุกคน เอ้อร์หนิวยกขาหน้าทั้งสองของมันขึ้นวางไว้บนโต๊ะ ใช้จมูกของมันสูดดมฟุดฟิดไปบริเวณหนังสือบนโต๊ะมากมาย
ผู้คนทั้งหลายต่างพากันงุนงง เอ้อร์หนิวกำลังจะทำอะไรกัน
เมื่อจิ่งหมิงฮ่องเต้ได้สติกลับคืนมาก็ตะโกนดุว่า “ออกไป!”
เจ้าสุนัขที่อยู่ท่ามกลางกองเอกสารนั้น เงยหน้าขึ้นมองจิ่งหมิงฮ่องเต้อย่างไร้เดียงสา
หนังสือเล่มเล็กเล่มหนึ่งที่อยู่ในปากของมันก็ได้ตกลงมาปรากฏต่อหน้าผู้คนทั้งหลาย