เมื่อหนังสือเล่มนั้นตกลงบนพื้น ด้วยตัวอักษรตัวใหญ่สามตัวนั้นจึงดึงดูดสายตาของทุกคน ‘จิ่นผิงฉวน’
จิ่นผิงฉวนเป็นหนังสือนิยายที่ได้รับความนิยมสูงในช่วงนี้ เป็นผลงานจากร้านหนังสือโบราณนับร้อยปีแห่งเมืองหลวงที่มีชื่อว่าบุปผาขาว เล่าถึงหญิงสาวที่มั่งคั่งผู้หนึ่งต้องมาพานพบกับเหตุการณ์ในชีวิตมากมายจนต้องเปลี่ยนไป ชีวิตของนางตกต่ำ นางใช้ทักษะการปักเย็บในการหาเลี้ยงครอบครัวด้วยภาระอันหนักอึ้ง ต่อมาการปักลายฉากกั้นอันประณีตจึงทำให้ตระกูลของนางกลับคืนสู่เส้นทางความรุ่งโรจน์อีกครั้ง ทั้งยังได้แต่งงานกับคุณชายผู้สูงศักดิ์คนหนึ่ง
ด้วยความพลิกผันของโครงเรื่องและแนวคิดใหม่ๆ ที่มีความรู้สึกเข้มข้น…จุดเด่นเหล่านี้ทำให้ผู้คนจำนวนมากมายติดหนังสือนิยายเล่มนี้ในเวลาอันรวดเร็ว ได้ยินมาว่าบัดนี้บุปผาขาวได้ขายหนังสือจนสิ้นแล้ว
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตกตะลึง คนอื่นๆ ก็เช่นกัน มีเพียงพานไห่ที่ได้สติคืนมาอย่างรวดเร็วแล้วรีบพุ่งกายตะครุบดุจดั่งเสือเห็นเหยื่อ จากนั้นนำหนังสือนิยายซุกซ่อนเอาไว้ที่ใต้ร่างตน
วินาทีนี้ บรรยากาศภายในห้องก็เงียบสงัดแม้แต่เข็มร่วงหล่นลงสู่พื้นก็คงจะได้ยิน แม้แต่เอ้อร์หนิวที่เป็นผู้คาบหนังสือออกมาจากกองหนังสือกองโต และเจ้าจี๋เสียงที่ไม่มีอะไรทำก็ตกตะลึงกับการกระทำของพานไห่ด้วย มันหยุดตอบสนองทุกสิ่งอย่างชั่วคราว
ทุกคนรวมถึงสุนัขและแมวอย่างละตัวจ้องมองไปที่พานไห่
พานไห่สมควรแล้วที่เป็นหัวหน้าขันทีและสายตรวจลับในหน่วยงานบูรพา ทั้งยังเป็นขันทีคนสนิทของฮ่องเต้ สายตรวจผู้สง่างามในตาของเสี่ยวเล่อจื่อและข้าหลวงคนอื่นๆ ขันทีผู้ใจดีในสายตาของนางในทั้งหลาย เขาช่างรอบคอบ เฉียบแหลม เข้มงวด ใจกว้าง…ข้อดีของเขามีมากกว่าบุปผาขาวหนังสือนิยายเล่มนั้นที่เพิ่งออกใหม่เสียอีก
วินาทีนี้ข้อดีและข้อโดดเด่นของเขาปรากฏให้ทุกคนได้เห็นชัดเจน
จากนั้นก็พบว่าพานไห่รีบปีนขึ้นมา ไม่รู้ว่าเขานำหนังสือนิยายใส่ไปในแขนเสื้อตั้งแต่เมื่อไร จากนั้นเขาก็กล่าวด้วยความตื่นตระหนกว่า “ฝ่าบาทอย่าได้กังวลใจไปพ่ะย่ะค่ะ รายงานจากเป่ยติ้งโหวที่ส่งมานั้นไม่ได้รับความเสียหาย กระหม่อมได้ทำการเก็บไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้แม่ทัพเซี่ยวเทียนที่ไม่รู้จักกาลเทศะกระทำให้เกิดความเสียหาย”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้พานไห่ก็เหลือบมองไปทางอวี้จิ่นและเอ่ยเตือนว่า “ต้องขอรบกวนเยี่ยนอ๋องช่วยอบรมสั่งสอนแม่ทัพเซี่ยวเทียนสักหน่อย แม้ว่าแม่ทัพเซี่ยวเทียนจะเป็นสุนัขอัจฉริยะ แต่ถึงอย่างไรก็แตกต่างกับพวกเรา เขาไม่รู้ว่ารายงานเหล่านี้สำคัญเพียงใด…”
เขาสงสัยเหลือเกินว่าสุนัขตัวนี้เป็นอัจฉริยะหรือไม่ หนังสือรายงานกองโตมากมายเช่นนี้เหตุใดจึงสามารถค้นหาหนังสือนิยายที่อยู่ใต้ล่างออกมาได้
หลังจากที่ทุกครั้งฮ่องเต้ทำการอ่านและเก็บมัน เขายังไม่มีความสามารถในการหามันออกมาได้เร็วเพียงนี้…
อวี้จิ่นเองก็คิดไม่ถึงว่าเอ้อร์หนิวจะมีความสามารถและกล้าหาญเพียงนี้ ดังนั้นจึงได้ยอมรับตอบกลับว่า “เอ้อร์หนิว เจ้ายังไม่รีบกลับมาอีก หากทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง ข้าจะโยนเจ้าทิ้งเสีย”
หัวใจของจิ่งหมิงฮ่องเต้ตุ้มๆ ต่อมๆ ใบหน้าของเขาดูตึงเครียดแล้วมองไปที่พานไห่อย่างสงบ “เก็บให้ให้ดีก็พอ”
หากว่าเมื่อครู่เขาสงสัยว่าเหตุใดเอ้อร์หนิวจึงรู้ได้เรื่องบ่อร้างของเจ้าแปดมีโครงกระดูกซ่อนอยู่ บัดนี้เขาคงทำได้เพียงแค่เชื่อ
สุนัขอัจฉริยะตัวนี้สามารถค้นหาหนังสือนิยายที่เขาซ่อนไว้อย่างดีออกมาได้โดยไม่มีใครบอก และมีเรื่องใดอีกเล่าที่ทำไม่ได้
จิ่งหมิงฮ่องเต้คิดเช่นนี้แล้วมองไปยังผู้คนทั้งหลาย
องค์ชายทุกคนที่ถูกสายตาของบิดาตนเองกวาดมองมาล้วนพากันก้มหน้า ส่วนเจินซื่อเฉิงพยายามระงับตนเองไม่ให้อ้าปากกล่าววาจาใดออกไป
นิสัยของเขาไม่ค่อยดีนัก เมื่อได้ยินคนอื่นพูดโกหกก็มักอยากจะเปิดเผย…
จิ่งหมิงฮ่องเต้เกือบจะต้องอับอายขายหน้าต่อหน้าโอรสทั้งหลายของตน เมื่อนึกถึงเรื่องที่เซียงอ๋องก่ออาชญากรรมขึ้น อารมณ์ของเขาก็แย่ย่ำแย่โดยไม่ต้องสงสัย
ไอ้ลูกเหล่านี้แต่ละคนหาเรื่องให้ได้ทุกวันทุกวี่ เดิมทีเขาคิดว่าเจ้าแปดยังเป็นเด็กคงไม่สร้างเรื่องใดที่ทำให้เขาปวดหัวได้ คาดไม่ถึงเลยจริงๆ แม้ว่าเจ้าแปดจะไม่มีอำนาจในการเข้าแย่งชิงตำแหน่งนั้น แต่เจ้าลูกเนรคุณนี้กลับกล้าฆ่าคนได้ลงคอ อีกทั้งยังฆ่าบุตรสาวของป้าตนเอง!
แม้ว่าชุยหมิงเย่ว์จะไม่ได้รับความเอ็นดูและความสำคัญจากฮ่องเต้กับฮองเฮามาตั้งนานแล้วก่อนหน้า แต่การที่เขาไม่อยากพบหลานสาวคนนี้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง และการที่บุตรชายของตนฆ่าหลานสาวคนนี้ทิ้งไปก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อีกอย่าง องค์หญิงใหญ่หรงหยางก็ไม่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้แล้ว
หากว่าเสด็จแม่รู้เข้าละก็…จิ่งหมิงฮ่องเต้นึกถึงเรื่องราวเหล่านี้แล้วก็ปวดหัว
สิ่งที่เกรงกลัวนั้นมักจะมาถึง ความคิดนี้เพิ่งจะผ่านเข้ามาในศีรษะของเขา ก็พบคนจากตำหนักฉือหนิงเดินทางมาเชิญตัวเขาไป
ดวงพระทัยของจิ่งหมิงฮ่องเต้หนักอึ้ง เขาทิ้งคนที่อยู่ในห้องทรงพระอักษรเอาไว้ตรงนั้นแล้วรีบเดินทางไปยังตำหนักฉือหนิงทันที
เมื่อพบว่าจิ่งหมิงฮ่องเต้จากไปแล้ว หลู่อ๋องจึงกระซิบขึ้นว่า “พวกเราควรที่จะรออยู่ที่นี่หรือ”
ฉีอ๋องไม่อยากสนทนากับหลู่อ๋อง ส่วนสู่อ๋องก็ไม่อยากสนทนากับหลู่อ๋องเช่นกัน
ฉินอ๋องที่ทำตัวเรียบง่ายเสมอมา เมื่อพบว่าไม่มีใครเอ่ยขึ้น เขาเองก็ไม่กล้าเอ่ยเช่นกัน
แต่หลู่อ๋องกลับไม่คิดแม้แต่น้อยว่าเหล่าพี่น้องของเขาพากันผลักไส จึงหันไปยิ้มให้กับอวี้จิ่นกล่าวว่า “น้องเจ็ด เออร์นิ้วของเจ้าช่างวิเศษแท้ มันสามารถค้นหา…”
แค่กๆๆ เสียงกระแอมดังขึ้นหลายครั้งติดต่อกัน
หลู่อ๋องมองไปทางฉีอ๋องที่กระแอมดังที่สุดด้วยความไม่พึงพอใจ
เมื่อครู่แสร้งทำเป็นใบ้ บัดนี้มากระแอมอะไรกัน มีอะไรติดคอหรืออย่างไร!
ฉีอ๋องเป็นกังวลว่าหลู่อ๋องจะทำให้ทุกคนต้องลำบากไปด้วยจึงกระซิบว่า “น้องห้า ที่นี่คือห้องทรงพระอักษร พวกเราอย่าเอ่ยให้มากความจะดีกว่า”
สู่อ๋องจึงกล่าวสมทบว่า “นั่นสิ บัดนี้เสด็จพ่อทรงอารมณ์ไม่ดี และน้องแปดก็ยังคงรออยู่ที่ด้านนอก”
พวกเขาไม่ได้ตาบอดสักหน่อย มีใครบ้างที่ไม่เห็นตัวอักษรจิ่นผิงฉวนสามตัวใหญ่นั่น แต่หากกล่าวออกมาจะให้เสด็จพ่อเอาหน้าไว้ที่ไหน เมื่อเสด็จพ่อทรงโมโหขึ้นล่ะก็อย่าว่าแต่เจ้าแปดเลย แม้แต่พวกเขาก็คงไม่อาจรอดพ้นได้
เมื่อเห็นท่าทางหลู่อ๋องที่ดูเฉยเมยเช่นนั้น จู่ๆ สู่อ๋องก็มีความคิดหนึ่งขึ้นมาว่า เจ้าห้าคงไม่ได้อยากที่จะทำให้ทุกคนโชคร้ายไปด้วยใช่หรือไม่ จากนั้นให้ทุกคนลดฐานันดรมาเป็นจวิ้นอ๋องเหมือนกับเขา
ต่ำช้า ต่ำช้าสิ้นดี!
โอ้…ดีไม่ดีการที่เจ้าห้าพาเอ้อร์หนิวมาที่จวนเจ้าแปดด้วย จุดประสงค์ก็เพื่อสร้างปัญหาแน่นอน ไม่เช่นนั้นเอ้อร์หนิวไม่ใช่สุนัขที่เขาเลี้ยงสักหน่อย เขาจะเอาเอ้อร์หนิวออกมาเดินเล่นแทนเจ้าเจ็ดหรือ
เมื่อคิดดังนี้ สู่อ๋องก็มีความระแวดระวังหลู่อ๋องมากขึ้นกว่าเดิม
เขาต้องป้องกันตัวจากเจ้าเจ็ด และยังต้องป้องกันตัวจากเจ้าห้าด้วย ทั้งยังมีเจ้าสี่ผู้หน้าซื่อใจคด จะทำสับสนมึนงงไม่ได้อีกแล้ว เมื่อคิดได้ดังนี้ก็รู้สึกว่าการที่ตนเป็นอ๋องช่างเหนื่อยเหลือเกิน หากเป็นองค์รัชทายาทคงจะลำบากกว่านั้น ไม่แปลกใจเลยที่องค์รัชทายาทนั่งอยู่บนบัลลังก์นั้นมาถึงสามสิบปี ท้ายที่สุดแล้วก็ยังตกลงมาจากที่นั่ง ทำเอาเสียแทบแหลกเป็นผุยผง
เมื่อคิดได้ดังนี้ สู่อ๋องก็มั่นใจกับความคิดของตนว่าจะต้องทำตัวถ่อมตนที่สุดเท่าที่จะทำได้ หากมีโอกาสอันดีค่อยเข้าสู้ แต่หากไม่มีโอกาสอันดีพอ ก็จงทำตัวอย่างสงบเสงี่ยมดีกว่า…
ภายในห้องทรงพระอักษร ความคิดของแต่ละคนบัดนี้แตกต่างกันไป จากนั้นก็ได้ยินเสียงแมวร้องและสุนัขร้องจึงได้พบว่าเอ้อร์หนิวกับจี๋เสียงทะเลาะกันขึ้นเมื่อไรก็ไม่รู้
เจ้าแมวขาวตัวอ้วนกำลังรีบวิ่งขึ้นไปด้านบน แต่เจ้าสุนัขตัวใหญ่ก็กางกรงเล็บของมันออกแล้วเอื้อมมือไปตบให้มันลอยขึ้น
เจ้าแมวขาวพยายามจะตะเกียกตะกายอีกครั้ง แต่ก็ถูกเจ้าสุนัขตัวโตตบเสียจนกระเด็นกระดอนลอยขึ้นอีก
เหตุการณ์นี้ดำเนินไปซ้ำๆ ในที่สุดเอ้อร์หนิวก็หมดความอดทน มันใช้ขาหน้าจับจี๋เสียงเอาไว้ ไม่ให้อีกฝ่ายหลอกล่อได้อีก
เสี่ยวเล่อจื่อที่อยู่ในห้องทรงพระอักษรมองไปแล้วอยากจะร่ำไห้ เขาตะโกนด้วยน้ำเสียงอันสั่นเทาว่า “ท่านแม่ทัพเซี่ยวเทียน โปรดไว้ชีวิตเจ้าแมวเถิด อย่าได้ทำร้าย อย่าได้ทำร้ายมันเลย!”
เจ้าแมวขาวได้ยินเสียงร่ำไห้ของเสี่ยวเล่อจื่อดังนั้น มันก็รู้สึกได้ถึงการถูกดูหมิ่น จึงได้ขีดข่วนไปที่เอ้อร์หนิวทันใด
เอ้อร์หนิวเคยอยู่ในสนามรบมาก่อน มันจะให้เจ้าแมวอ้วนตัวนี้ทำอันตรายได้อย่างไรเล่า ดังนั้นจึงสะบัดอุ้งเท้าออกไปและพบร่างสีขาวแวววาวแสบตาลอยผ่านหน้า เจ้าแมวตัวอ้วนตกลงไปอยู่ในกองหนังสือ
“โฮ่ง!” เอ้อร์หนิวเห่าไปทางอวี้จิ่นด้วยความรู้สึกเหยียดหยามอย่างมาก
ทำไมมันจะทำร้ายเจ้าแมวไม่ได้ ตัวมันก็มีเจ้าของเช่นกัน!
เจ้าแมวขาวที่อยู่ในกองหนังสือร้องเหมียวๆ ครั้งนี้มันรู้สึกคิดถึงเจ้าของที่เดินทางจากไปจริงๆ
บัดนี้จิ่งหมิงฮ่องเต้เดินทางมาถึงตำหนักฉือหนิงแล้ว เขาเอ่ยถามไทเฮาด้วยน้ำเสียงอันอบอุ่นว่า “เสด็จแม่เรียกลูกมาที่นี่มีเรื่องอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮาหมุนสายประคำในมือ ใบหน้าของนางไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ “ข้าได้ยินมาว่าเซียงอ๋องรออยู่ที่ด้านนอก ฝ่าบาทคงไม่ได้ยังโกรธเขาเพราะเรื่องในงานเลี้ยงวันนั้นใช่หรือไม่”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ตกตะลึง
เสด็จแม่รู้ได้อย่างไรว่าเจ้าแปดรออยู่ที่ด้านนอก!