บทที่ 789 เว่ยฉิงช่วยกู้หวนอวี้ไล่ตามความรัก
วันนี้เกาจิงหยวนแต่งตัวราวกับนกยูงกำลังจะรำแพน
เมื่อเผชิญกับศัตรูหัวใจที่แข็งแกร่งเช่นกู้หวนอวี้ เขาจึงมีแรงบันดาลใจในการแต่งกายเป็นอันมาก เขาแต่งตัวเน้นความหล่อเหลาของตนเองออกมาอย่างเต็มที่ พยายามที่จะเอาชนะกู้หวนอวี้ให้ได้
ในขณะที่เขากำลังจะเดินออกไปก็ถูกใครบางคนเข้ามาขวางทางเข้าเสียก่อน คนผู้นั้นมีท่าทางคุกคาม มีอำนาจ เหมือนได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
“คุณชายเกา ท่านผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อยากจะพบท่าน”
ท่านผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หรือ? คนผู้นี้ไม่ธรรมดา เขาเป็นคนใกล้ชิดของฮ่องเต้ ถึงเกาจิงหยวนจะอยู่ไกลถึงเมืองหลันซี แต่เขาก็เคยได้ยินวีรกรรมของท่านผู้สำเร็จราชการมาก่อน ว่าเป็นพระโอรสองค์โตของอดีตฮ่องเต้ อาศัยอยู่ในชนบทตั้งแต่ยังเล็ก เข้ามาในราชสำนักด้วยตัวตนของบุตรชายชนชั้นสูง ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจากอดีตฮ่องเต้จนได้ยืนอยู่ในตำแหน่งที่สูงที่สุด เขายังรื้อคดีของสกุลเซียวขึ้นมาใหม่อีกด้วย
ประสบการณ์ในชีวิตของท่านผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ก็เพียงพอแล้วที่จะให้นักเล่านิทานได้พูดถึงไปอีกนาน
ผู้คนในแคว้นต้าโจวต่างพากันเคารพและกลัวเกรงท่านผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นอันมาก ไม่เว้นแม้แต่เกาจิงหยวน
เกาจิงหยวนจึงได้ขึ้นรถม้าตามเขาไปอย่างไม่รู้ตัว
ภายในรถม้า เกาจิงหยวนขบคิดว่าเหตุใดท่านผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ถึงได้อยากเจอเขา? บิดาเขามีชื่อเสียงในเมืองหลันซีไม่น้อย แต่นี่เป็นเมืองหลวง สถานะของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ย่อมสูงส่งไกลเกินเอื้อม หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นระคนไปด้วยความไม่สบายใจ
…..
ชายที่อยู่ตรงหน้าเกาจิงหยวน มีรูปร่างสูงหน้าตาหล่อเหลา ใบหน้าคมสัน สีหน้าเขาเรียบนิ่ง ไม่มีโทสะหรือการคุกคามแต่อย่างใด
“เจ้าเป็นบุตรของท่านเกาหวังหรือ?” เว่ยฉิงถาม
“พะย่ะค่ะ” เกาจิงหยวนรู้สึกภูมิใจไม่น้อย “ท่านรู้จักบิดาของกระหม่อมด้วยหรือพะย่ะค่ะ?”
“เป่ยเหยียนเคยเป็นองครักษ์ของข้า เขาเคยพูดถึงบิดาของเจ้าให้ข้าฟัง” เว่ยฉิงและถังหลี่ได้เคยพบเป่ยเหยียนในเมืองหลันซี ที่เหลียงโจว เป่ยเหยียนเป็นเจ้าของบ่อนการพนันใต้ดิน และอีกสถานะหนึ่งของเขา เขาเป็นผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองหลันซี เป่ยเหยียนจึงได้รู้จักกับเกาหวังเป็นอย่างดี
“เป่ยเหยียน!” เกาจิงหยวนตกใจยิ่งกว่าเดิม เป่ยเหยียนอายุมากกว่าเขา บิดาเขาชื่นชมยกย่องคนผู้นี้มากจนถึงกับเอ่ยปากอยากให้เขาได้รับการเรียนรู้จากเป่ยเหยียนมาตลอด ความรู้สึกของเกาจิงหยวนที่มีต่อเป่ยเหยียนจึงซับซ้อน ดูภายนอกแล้วเหมือนเขาจะดูถูกเป่ยเหยียน แต่แท้จริงกลับแอบนิยมชมชอบเป่ยเหยียนอยู่ในใจมาตลอด
“เป่ยเหยียนได้เอ่ยถึงกระหม่อมว่าอย่างไรบ้างพะย่ะค่ะ” เกาจิงหยวนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่แยแสแต่แท้จริงแล้วเขาเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
“เขาพูดว่าเจ้าเป็นคนฉลาด มีไหวพริบดี”
เป่ยเหยียนยกย่องเขาถึงเพียงนี้เชียวหรือ
“เขาเป็นคนแนะนำเจ้าให้ข้า” เว่ยฉิงยังคงพูดต่อ
เกาจิงหยวนภาคภูมิใจ “พี่เป่ยยกยอข้ามากเกินไปแล้ว..เหตุใดเขาถึงได้แนะนำกระหม่อมหรือพะย่ะค่ะ”
“สำนักฮั่นหลินกำลังรวบรวมตำราโบราณ ตอนนี้ขาดกำลังคน หากได้เจ้าไปช่วยเหลือน่าจะดี”
“สำนักฮั่นหลิน?” เขาประหลาดใจ นั่นคือสำนักฮั่นหลินที่ผู้คนมากมายอยากเข้าไปรับราชการ แต่ความรู้สึกของเขายังอดระแวงไม่ได้
“แต่กระหม่อมไม่ได้มีชื่อเสียง…” เขาแย้ง
“เจ้ามีหน้าที่ไปทำงานร่วมกับท่านอาลักษณ์ของสำนักฮั่นหลินโดยไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่ง”
นี่เป็นความฝันที่เป็นจริงของของเกาจิงหยวน เขาอดไม่ได้ที่จะตอบรับทันที ไม่ว่าจะด้วยเพราะเหตุผลกลใดก็ตามที แต่นี้เป็นความภาคภูมิใจที่เขาจะได้ยืดอกโม้โอ้อวดไปตลอดชีวิตที่เหลือของเขา!
“ขอบพระทัยฝ่าบาท กระหม่อมจะไม่ทำให้พระองค์ผิดหวังอย่างแน่นอน” เกาจิงหยวนทรุดตัวลงนั่งคุกเข่า พร้อมกับกล่าวขอบคุณ
“นี่เป็นคำสั่งของข้าที่ให้เจ้าได้เข้าร่วมทำงานในสำนักฮั่นหลิน เจ้าต้องทำงานให้หนัก ทำงานให้ดี อย่าให้ข้าต้องผิดหวัง ไม่เช่นนั้น ข้าจะไม่ผ่อนปรนให้เจ้า”
ประโยคสุดท้านของเว่ยฉิงทำให้เกาจิงหยวนหนาวสั่น เขารีบสัญญาว่าจะทำงานให้หนักมากขึ้น
หลังจากเกาจิงหยวนได้งานทำ เขากระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ หากบิดาเขาได้รับรู้เรื่องนี้ ท่านคงเซ่นไหว้ขอบคุณบรรพบุรุษเป็นการใหญ่แน่ ที่ได้อวยพรให้เขาประสบกับความสำเร็จเช่นนี้ พอคิดแล้วก็อยากรีบเขียนจดหมายไปหาบิดาในทันที
เกาจิงหยวนมัวแต่ดีอกดีใจ เขาจำได้รางๆว่าเขาลืมบางอย่างไปหรือเปล่า?
หากเขาไปทำงานที่สำนักฮั่นหลินแล้ว เรื่องที่เขาต้องตามเกี้ยวแม่นางหยูจะทำอย่างไร? แต่แล้วก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า เขาไม่ได้มีตำแหน่งเป็นทางการ เป็นเพียงแค่ผู้ช่วยเท่านั้น เขาน่าจะหาเวลาว่างตามไล่ล่านางต่อไปได้
นอกจากนี้แล้วผู้ชายที่มีหน้าที่การงานก็น่าจะมีเสน่ห์มากกว่าทำตัวเสเพลไปวันๆ เขาอาจจะได้ซึมซับกลิ่นไอของบัณฑิตบ้างเพื่อที่จะมีความรู้ไปสนทนากับแม่นางหยูได้ เพราะยามที่กู้หวนอวี้พูดคุยกับแม่นางหยูเขาไม่มีภูมิหรือปัญญาใดๆ ที่จะเข้าไปขัดการสนทนาได้เลย
เกาจิงหยวนยังคงมองโลกในแง่ดี แต่ไม่นานนักเขาจึงได้รู้ว่าตนเองคิดผิดไปมากเหลือเกิน…
ตำแหน่งผู้ช่วยอาลักษณ์ของสำนักฮั่นหลินที่เขาเข้าไปทำงานด้วยนั้นมีความเข้มงวดกวดขันเป็นอย่างมาก ถ้าหากเขาเกียจคร้านแม้แต่นิดก็จะถูกดุ หรือถ้าเขาขู่ว่าจะลาออก คนผู้นั้นก็พูดว่าจะไปฟ้องท่านผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
เกาจิงหยวนออกจากบ้านแต่เช้าและกลับดึกแทบทุกวันจนเขาหมดแรงที่จะไปตามเกี้ยวแม่นางหยู
เขาเคยคิดที่จะหนีจากสำนักฮั่นหลินเช่นกัน แต่เมื่อคิดถึงน้ำเสียงข่มขู่ของท่านผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และสายตาที่เข้มงวดของท่านอาลักษณ์แล้ว ก็ได้แต่ก้มหัวเชื่อฟังโดยดุษณีเท่านั้น
หลังจากเวลาผ่านไปไม่นานนัก เกาจิงหยวนมีเรื่องสำคัญต้องทำมากมายทุกวัน จนวันหนึ่งจึงได้พบว่าเขาไม่ได้คิดถึงแม่นางหยูอีกต่อไปแล้ว
เว่ยฉิงช่วยพี่ชายของภรรยาสังหารศัตรูหัวใจโดยไม่ต้องโจมตีให้เลือดตกยางออกเลยสักนิด
เขาไม่ใช่คนทำความดีแล้วไม่เผยตัว เว่ยฉิงจึงเล่าให้ภรรยาฟังเผื่อเอาความดีความชอบใส่ตน
ต่อหน้าเกาจิงหยวนเขาเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ที่เฉยชาห่างเหิน แต่ยามอยู่ต่อหน้าภรรยา เขาเป็นสุนัขตัวใหญ่ที่นั่งกะพริบตาปริบ ๆ ขอคำชมจากภรรยา
ถังหลี่ได้ฟังแล้วนางก็อดหัวเราะไม่ได้ เกาจิงหยวนยังเด็กมากนัก เขาจึงได้โดนสามีของนางหลอกล่อจนหัวหมุน เมื่อเห็นสีหน้าที่รอรับคำชมของสามี นางจึงเอื้อมมือไปลูบผมเขา ชายผู้นั้นไม่พอใจ ถังหลี่จึงโน้มตัวลงมาจูบที่ริมฝีปากของสามี
ฝ่ามือกว้างของเว่ยฉิงเอื้อมไปจับศีรษะทางด้านหลังของภรรยา เขาจูบตอบนางอย่างลึกซึ้ง
……….
ช่วงนี้กู้หวนอวี้ไม่ได้ยืดยาดทำตัวเกียจคร้านอีกต่อไป เขาชวนตู้ชิงหยูออกไปข้างนอกเกือบทุกวัน แต่เขาไม่ได้ใช้วิธีโง่เขลาเช่นเดียวกับเกาจิงหยวนที่เอาแต่สะกดรอยตาม ชายหนุ่มสรรหาหมากกระดานที่แก้ไขได้ยากลำบาก บทกวี หรือแม้แต่ภาพเขียนที่หาได้ยาก แล้วเชิญชวนตู้ชิงหยูไปดูและแก้ปริศนาด้วยกัน ตู้ชิงหยูตอบรับคำเชิญจากเขาทุกครั้ง ไม่นานนักพวกเขาพบว่าต่างเข้ากันได้ดีจึงได้คบหากันเป็นมิตรสหาย
วันนี้กู้หวนอวี้พบภาพวาดหายากชิ้นหนึ่ง เขาจึงได้เชิญชวนนางมาดูด้วยกัน ตู้ชิงหยูสนใจภาพวาดหายากชิ้นนี้มาก นางตามหามานานแต่ยังไม่มีโอกาสได้พบเจอของจริงสักที หลังจากได้รับคำเชิญนางจึงรุดไปดูอย่างมีความสุข
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางมาจวนสกุลกู้ จึงค่อนข้างที่จะคุ้นเคยเป็นอันดี แต่โดยส่วนใหญ่แล้วนางจะมาพร้อมกับถังหลี่หรือไม่ก็มาพบถังหลี่เท่านั้น แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้มาเยือนตามคำเชิญของกู้หวนอวี้
บ่าวรับใช้พาตู้ชิงหยูไปยังห้องหนังสือของกู้หวนอวี้ นางเห็นร่างๆ หนึ่งมาแต่ไกล เขาใส่ชุดขาว เมื่อเข้าไปใกล้จึงได้เห็นว่าเป็นชายหนุ่มที่สง่างาม
กู้หวนอวี้ยิ้มแย้ม เชิญหญิงสาวเข้ายังห้องทำงานของเขา
บนโต๊ะทำงานขนาดใหญ่ภายในห้องหนังสือ มีชิ้นส่วนประมาณหนึ่งในสี่ของภาพวาดวางอยู่บนโต๊ะ
ตู้ชิงหยูก้มลงพิจารณาดูอย่างใกล้ชิด รอยยิ้มของนางผุดขึ้นอย่างยินดี
“ภาพวาดนี้น่าจะเป็นของจริง” หลังจากดูสักพักนางจึงได้ข้อสรุป
เมื่อหันกลับมามองผู้ที่อยู่เบื้องหลังหญิงสาวจึงได้พบว่ากู้หวนอวี้อยู่ใกล้จนทำให้นางแทบจะอยู่ในอ้อมแขนของเขา