บทที่ 776 บันไดดนตรี

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

———-

บทที่ 776 บันไดดนตรี

นักรบโครงกระดูกโบกแขนของมัน ทันใดนั้น โล่ที่ตกอยู่บนพื้นก่อนหน้านี้ก็คล้ายว่ามันกลับมามีชีวิตอีกครั้ง โล่พุ่งผ่านเทาเที่ยและกลับไปที่มือของเจ้าของ

เทาเที่ยซึ่งยังคงวิ่งต่อไปอีกสองสามก้าวก่อนที่หัวของมันจะเลื่อนหลุดหล่นลงไปที่พื้น

นักรบโครงกระดูกเดินไปหาเทาเที่ยตัวที่เสียบเข้ากับกำแพงเพื่อหยิบหอกของมันออกมา มันดึงหอกออกมาอย่างราบรื่นแล้วหันหลังกลับมามองทั้งสอง ดวงตาสีแดงของมันจ้องไปที่ซูอันและเพ่ยเหมียนหมานอย่างเย็นชา

ซูอันกลืนน้ำลาย แม้ว่าตอนนี้เขาจะรู้จุดอ่อนของนักรบโครงกระดูกแล้ว แต่นักรบโครงกระดูกตัวนี้ก็แข็งแกร่งอย่างน่าสะพรึงกลัว

ชายหนุ่มกำลังสงสัยว่าเขาควรทำอย่างไรเพื่อจัดการกับมัน แต่ขณะเดียวกันนั้น ปลายหางแหลมก็โผล่ทะลุออกมาจากหน้าผากของนักรบโครงกระดูกอย่างกะทันหัน!

นักรบโครงกระดูกต้องการจะหันกลับไปดูสิ่งที่โจมตีมัน แต่เพราะหัวของมันถูกตรึงเข้าไปเช่นนั้น มันจึงไม่สามารถหันหัวกลับไปได้สำเร็จ

ซูอันและเพ่ยเหมียนหมานเพิ่งสังเกตเห็นเทาเที่ยอีกตัวที่ซ่อนอยู่บนคานด้านหลัง พวกเขาไม่รู้ว่ามันซ่อนตัวอยู่ที่นั่นนานแค่ไหน แต่แน่ชัดว่ามันรอจนกระทั่งนักรบโครงกระดูกสังหารสหายของตนและปล่อยให้ตายใจก่อนที่จะโจมตีอย่างรุนแรง

นักรบโครงกระดูกพยายามยกหอกขึ้น แต่เทาเที่ยก็แลบลิ้นอันน่าสะพรึงกลัวของมันออกไปโจมตีแขนของนักรบโครงกระดูกจนแตกออกเป็นชิ้น ๆ

เทาเที่ยค่อย ๆ ยกหางของมันขึ้นไปบนอากาศส่งผลให้ร่างของนักรบโครงกระดูกถูกยกขึ้นมาด้วย แสงสีแดงที่เผาไหม้ภายในเบ้าตาของนักรบโครงกระดูกจางลงและเริ่มมอดดับ แขนอีกข้างของมันแกว่งไปมาอย่างไร้เรี่ยวแรง โล่ที่ถืออยู่ตกลงไปที่พื้น

ซูอันต้องการเอาโล่นั้นมา แต่เขาล้มเลิกความคิดเมื่อเทาเที่ยกระโดดลงจากคาน เทาเที่ยตัวนี้มีขนาดใหญ่กว่าตัวอื่นอย่างเห็นได้ชัด

“ข้าคิดว่าเราควรออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด!” เพ่ยเหมียนหมานกล่าว

“ข้าเห็นด้วย!” ทั้งสองคนหันหลังและวิ่งทันทีที่พูดจบ

การโจมตีของเทาเที่ยตัวก่อน ๆ ทำได้เพียงทิ้งรอยขูดขีดเอาไว้บนกระดูกของนักรบโครงกระดูกเท่านั้น แต่ไอ้เทาเที่ยตัวใหม่นี้ ลิ้นของมันกลับแข็งแกร่งจนสามารถทำลายกระดูกแขนของนักรบโครงกระดูกจนแตกเป็นชิ้น ๆ ได้อย่างง่ายดาย พวกเขารู้ได้ทันทีว่าเทาเที่ยตัวนี้ไม่เหมือนเทาเที่ยตัวอื่น ๆ และไม่มีทางที่พวกเขาจะสามารถชนะการต่อสู้ครั้งนี้ได้

เทาเที่ยยักษ์ส่งเสียงคำรามและไล่ตามพวกเขาด้วยฝีเท้าอันหนักหน่วงแต่รวดเร็ว

“ไอ้ยักษ์ ทำไมแกไม่กินศพเพื่อนแกก่อน!” ซูอันตะโกน น่าเสียดายที่ตอนนี้พวกเขาทำอะไรไม่ได้นอกจากวิ่งหนี

ชายหนุ่มต้องการหาทางแคบ ๆ เพื่อวิ่งเข้าไป ซึ่งหวังว่าจะทำให้สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างหลังช้าลง แต่วังแห่งนี้ใหญ่โตอย่างไม่น่าเชื่อ และไม่มีที่แคบให้พวกเขาวิ่งหนีเข้าไปซ่อนเลย

หลังจากนั้นไม่นานทั้งสองก็พบว่าตัวเองอยู่ที่หน้าบันไดซึ่งนำไปสู่ศาลาสูง พวกเขามองขึ้นไปข้างบนด้วยความสิ้นหวัง การวิ่งขึ้นไปบนศาลาสูงนี้มันช่างไร้ประโยชน์อย่างแท้จริง

จากนั้นพวกเขาจึงหันกลับไปเตรียมต่อสู้อย่างหลังชนฝา แต่จู่ ๆ เทาเที่ยยักษ์ก็หยุดลง มันอยู่ห่างออกไปหลายจั้ง จ้องมองไปที่ศาลาด้านบนอย่างระมัดระวังราวกับว่ามันกำลังเกรงกลัวบางอย่าง

“เกิดอะไรขึ้น?” ซูอันตกตะลึงกับความลังเลใจของเทาเที่ยยักษ์

เพ่ยเหมียนหมานเหลือบมองไปที่ศาลาสูง “ข้าคิดว่ามันกลัวศาลานี้ อาจมีบางสิ่งที่น่ากลัวกว่ามันซุกซ่อนอยู่”

“แต่มันดูเหมือนไม่มีอะไรเลย…” ซูอันกระโดดสูงเพื่อมองศาลาที่ตั้งอยู่ชั้นบนสุดของบันได แต่ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ

“รอดูไปก่อน” เพ่ยเหมียนหมานเสนอ สิ่งที่ทำให้แม้แต่เทาเที่ยตัวมหึมาหวาดกลัวย่อมไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถจัดการได้

“เอาอย่างนั้นก็ได้” แม้ว่าซูอันจะทำตัวราวกับไม่ได้กลัวอะไรมากมาย แต่ลึก ๆ เขาเป็นคนที่ระมัดระวังทุกย่างก้าว เขาเดาได้เช่นกันว่ามันน่าจะมีบางสิ่งที่อันตรายรออยู่ในศาลานั่น ดังนั้นไม่มีทางที่เขาจะเดินขึ้นไปอย่างเหลอหลา

“ข้าสงสัยว่าเทาเที่ยตัวนี้จะจากไปเมื่อไร?” เพ่ยเหมียนหมานตั้งข้อสังเกต ขมวดคิ้วมองสัตว์ร้ายยักษ์

“ข้าไม่สนใจหรอกถ้ามันจากไป ข้ากลัวแต่ว่ามันจะพุ่งเข้าใส่มากกว่า” ซูอันคาดว่าระยะห่างระหว่างพวกเขากับมันสั้นเพียงสามจั้งเท่านั้น สำหรับผู้บ่มเพาะ ระยะทางดังกล่าวนี้ แค่ก้าวกระโดดเพียงครั้งเดียวก็เกินพอ ซึ่งมันก็เป็นเช่นเดียวกันกับสัตว์ประหลาดตัวนี้

เห็นได้ชัดว่าเทาเที่ยยักษ์เริ่มหมดความอดทนในขณะที่พวกเขากำลังพูด มันดีดขาหลังอย่างแรงและพุ่งเข้าใส่พวกเขา

ซูอันไม่อยากจะเชื่อ…

ทำไมข้าพูดเป็นลางให้ตัวเองอีกแล้ว!

“ปากของเจ้านี่มันอัปมงคลจริง ๆ!” เพ่ยเหมียนหมานไม่อยากเชื่อที่เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นมากกว่าหนึ่งครั้ง

เมื่อไม่มีเส้นทางหลบหนีอื่น ทั้งสองจึงถูกบังคับให้วิ่งขึ้นบันไดไปอีก

แต่ทว่าเมื่อพวกเขาขึ้นไปได้เพียงไม่กี่ขั้น พวกเขาได้ยินเสียงดนตรีโบราณดังประโคมอยู่รอบตัว

เทาเที่ยยักษ์ลังเลเมื่อได้ยินเสียงดนตรีนี้และถอยหลังไปสองสามก้าวโดยไม่รู้ตัว

“เพลงมาจากไหน?” เพ่ยเหมียนหมานรู้สึกสับสน ไม่มีเครื่องดนตรีใด ๆ อยู่รอบตัวพวกเขาที่จะอธิบายที่มาของเสียงเพลงที่ดังขึ้นกะทันหัน

“ข้าคิดว่ามันมาจากบันได” ขณะที่เขาพูด ซูอันก็ย่ำก้าวที่เขายืนอยู่ และเสียงดนตรีก็ดังขึ้น

“ทำไมบันไดพวกนี้ถึงทำเสียงดนตรีได้?” เพ่ยเหมียนหมานย่ำเท้าด้วยความไม่เชื่อเช่นกัน แน่นอนว่ามีเสียงโน้ตดนตรีตามมาอีกมากมาย

“ข้าเคยฝันถึงบันไดดนตรี บทเพลงทุกประเภทสามารถเล่นได้แค่เพียงนักดนตรีย่ำเท้า…”

ซูอันไม่กล้าอ้างมุกบ้านเกิดของเขามาเป็นข้ออ้างอีกต่อไป ท้ายที่สุดทุกคนรู้ว่าตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยอาศัยอยู่ที่ไหนนอกจากเมืองจันทร์กระจ่าง เพ่ยเหมียนหมานคุ้นเคยกับเมืองจันทร์กระจ่างเป็นอย่างดี โกหกไปก็คงไม่ได้อะไร เขาจึงทำได้แต่เพียงบอกว่าเห็นมาจากความฝันเท่านั้น

เพ่ยเหมียนหมานรู้อยู่แล้วว่าเขามักจะฝันถึงสิ่งแปลก ๆ ดังนั้นนางจึงยอมรับที่เขาพูดอย่างง่ายดาย “ดนตรีนี้ฟังดูเหมือนลมตีระฆัง แต่ก็คล้ายกับเปียนจงซึ่งเป็นเครื่องดนตรีระฆังโบราณ แต่ท่วงทำนองนี้ต่างจากท่วงทำนองที่ไพเราะปกติของเครื่องดนตรีเหล่านี้ จริง ๆ แล้วมันฟังดูค่อนข้างน่ากลัว ข้าคิดว่ามันทำให้ข้าหนาวสั่น”

“ถ้าเจ้ารู้สึกไม่ดี อย่างนั้นเราก็อย่าขึ้นไปสูงกว่านี้อีกเลย!” ซูอันดึงเพ่ยเหมียนหมานกลับมา หากเดินขึ้นไปก็มีดนตรีที่น่าขนลุกดัง ด้านหลังพวกเขาก็มีเทาเที่ยยักษ์รอจะเขมือบ ทุกอย่างของที่นี่มันแปลกยิ่งนัก!

น่าเสียดายที่เทาเที่ยยักษ์ตัวนั้นไม่มีเจตนาจะปล่อยพวกเขาสองคนไปง่าย ๆ แม้ว่ามันจะไม่กล้าปีนขึ้นบันได แต่มันก็อ้าปากแลบลิ้นยาวยิงใส่พวกเขาทั้งสองคน

กระดูกของนักรบโครงกระดูกซึ่งแข็งเหมือนเหล็กกล้ายังถูกลิ้นของเทาเที่ยตัวนี้กระแทกจนแหลกกระจาย ทั้งสองไม่กล้าประเมินพลังทำลายล้างของลิ้นของเทาเที่ยตัวนี้ต่ำแน่นอน พวกเขารีบหลบเลี่ยงไปด้านข้างทันที

แต่เทาเที่ยตัวใหญ่ก็ได้ใช้ลิ้นของมันที่เหมือนหอกแทงเข้าไปหาพวกเขาทั้งสองคนอย่างต่อเนื่อง มันไม่มีที่ว่างมากพอที่จะหลบเลี่ยงเพราะพวกเขาอยู่บนบันไดและเกือบจะถูกลิ้นแทงหลายครั้ง

ซูอันรู้ว่าหากปล่อยให้สถานการณ์ดำเนินต่อไปเช่นนี้พวกเขาจะได้รับบาดเจ็บจากลิ้นของเทาเที่ยไม่ช้าก็เร็ว เขาคว้าแขนเพ่ยเหมียนหมานและเริ่มวิ่งขึ้นบันได

“ไม่มีทางเลือก! เราต้องขึ้นไป!”