———-
บทที่ 777 ฝูงวิญญาณร้าย
เพ่ยเหมียนหมานตอบตกลง
จากสถานการณ์ปัจจุบัน นางค่อนข้างเต็มใจจะเสี่ยงกับสิ่งที่อยู่บนนั้นมากกว่าเผชิญหน้ากับเทาเที่ยยักษ์
ทั้งสองคนขึ้นบันไดไป และราวกับว่ากำลังเหยียบบนเปียโน ทุกย่างก้าวของพวกเขาสร้างเสียงดนตรีที่สะท้อนก้องไปมาซึ่งฟังดูแล้วน่าขนลุกขนพอง
“เจ้ารู้สึกว่าอากาศเริ่มเย็นลงไหม?” เพ่ยเหมียนหมานกอดอกตัวเองและถามด้วยความงุนงง
ซูอันกางแขนออก “มานี่ ข้าจะกอดเจ้าให้อุ่นเอง”
เพ่ยเหมียนหมานพ่นลมหายใจ “อย่าเพิ่งทำตัวทะลึ่งตอนนี้สิ ข้าถามจริงจังนะ!”
ซูอันหุบยิ้ม “เจ้าพูดถูก อาจมีสิ่งเลวร้ายอยู่ใกล้ ๆ เราต้องระวัง”
“ข้าคิดว่ามีแผ่นศิลาอยู่ที่นั่น และดูเหมือนจะมีอักษรถูกสลักอยู่ด้วย” เพ่ยเหมียนหมานกล่าวพร้อมชี้ไปยังจุดสูงสุดของขั้นบันไดซึ่งไกลออกไป
ดวงตาของซูอันหรี่ลง “ข้าเห็นไม่ชัดเลยว่าเป็นตัวอักษรอะไรที่สลักอยู่บนมัน”
จากระดับการบ่มเพาะของเขา มันไม่ควรจะเป็นเรื่องยากที่จะมองเห็นตัวอักษรจากระยะไกลนี้ แต่อากาศรอบ ๆ ศิลานั้นดูค่อนข้างแปลก และทำให้อักษรพร่ามัว
เมื่อทั้งสองเดินขึ้นไปใกล้ ตัวอักษรที่สลักไว้ก็ค่อย ๆ เลือนลางน้อยลง และเมื่อพวกเขาไปถึงปลายบันได ในที่สุดพวกเขาก็สามารถมองเห็นได้ชัดเจน
น่าเสียดายที่มันยังคงเป็นอักษรลึกลับโบราณซึ่งซูอันไม่สามารถเดาหัวหรือก้อยออกมาส่ง ๆ ได้ เขาเรียกพี่หญิงใหญ่ของเขา แต่หมี่ลี่ไม่ตอบอะไรกลับมา
“หันหลังกลับเดี๋ยวนี้ หันหลังกลับเดี๋ยวนี้ สี่สิบสี่ก้าว จะไม่มีผู้ใดจากไปได้!” เพ่ยเหมียนหมานมองไปที่แผ่นศิลานั้นและท่องคำช้า ๆ
ซูอันมองนางด้วยความตกใจ นางพูดบ้าอะไรกัน…?
“เจ้าเข้าใจตัวอักษรเหล่านี้ด้วยเหรอ?”
เพ่ยเหมียนหมานส่ายหัว “ข้าไม่เข้าใจ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ข้าอ่านมันออกมาได้โดยไม่รู้ตัวเมื่อมองดูมัน”
“สี่สิบสี่ก้าว…ข้าคิดว่าเราเพิ่งเดินขึ้นมาสี่สิบสี่ขั้น” ใบหน้าของซูอันซีด ใครก็ตามที่สร้างศิลานี้น่าจะมีเจตนาเตือนภัย!
พวกเขามองไม่เห็นศิลาก้อนนี้อย่างชัดเจนก่อนหน้านี้และเพิ่งมาเห็นมันชัดเจนก็เมื่อพวกเขาอยู่ใกล้มันแล้ว
แน่นอนว่าเมื่อถึงเวลาที่พวกเขาใกล้พอที่จะอ่านออก ทุกอย่างมันก็สายเกินจะแก้!
มันช่างเป็นหลุมพรางที่แสบสันต์!
ดนตรีเริ่มน่ากลัวและน่าขนลุกมากขึ้นเรื่อย ๆ ฟังราวกับว่าวิญญาณนับไม่ถ้วนกำลังคร่ำครวญ
ทั้งสองคนรู้สึกว่าขั้นบันไดที่ตัวเองเหยียบสั่นสะเทือน เมื่อพวกเขามองลงไปที่ขั้นบันไดซึ่งพวกเขากำลังเหยียบอยู่ พวกเขากลับไม่เห็นว่ามันเป็นขั้นบันไดธรรมดาอีกแล้ว ทั้งสองตาของพวกเขาในตอนนี้เบิกกว้างจนแทบถลนออกจากเบ้าเมื่อเห็นว่าขณะนี้พวกเขากำลังเหยียบอยู่บนหัวกระโหลกจำนวนนับไม่ถ้วนที่เรียงรายหนาแน่นจนมองไม่เห็นพื้นผิวของขั้นบันได!
มีคบไฟอยู่หนึ่งแถวที่ด้านข้างของบันได ซึ่งเพ่ยเหมียนหมานได้จุดไฟเรียบร้อยแล้วด้วยเปลวไฟสีดำของนางก่อนหน้านี้ เปลวไฟบนคบไฟที่เคยดูธรรมดาจู่ ๆ เปลี่ยนเป็นสีเขียวที่น่าสยดสยอง
ซูอันกลืนน้ำลาย “นี่มันบ้าอะไรกัน…นี่มันบ้าอะไรกัน?!”
ทันทีที่คำพูดออกจากปาก วิญญาณโปร่งใสจำนวนมากปรากฏขึ้นจากหมอกที่อยู่รอบด้านพวกเขา วิญญาณแต่ละตัวมีลักษณะที่แตกต่างกันแต่ยังคงน่ากลัว และทุกตัวก็ส่งเสียงกรีดร้องคร่ำครวญ
“ผี?” ภาพนี้ตกตะลึงมากสำหรับคนอย่างเขาที่ได้รับการศึกษาในโลกแห่งวิทยาศาสตร์มาก่อน
เพ่ยเหมียนหมานรีบอธิบายให้เขาฟัง “ในสถานการณ์พิเศษบางอย่าง หากวิญญาณของผู้ตายไม่ดับสิ้นไป พวกเขาจะกลายร่างเป็นวิญญาณที่ชั่วร้าย บางตำราเรียกวิญญาณเหล่านี้ว่าเป็นเผ่าพันธุ์ใต้พิภพ แต่พวกมันค่อนข้างพบเห็นได้ยาก…”
ขณะที่นางกำลังอธิบายเรื่องนี้ กลุ่มวิญญาณซึ่งเดี๋ยวริบหรี่เดี๋ยวส่องสว่าง จู่ ๆ ก็ตื่นตัวราวกับได้กลิ่นเลือด กลุ่มของพวกมันบินมาหาพวกเขาทั้งสอง แต่ส่วนใหญ่มุ่งหน้าไปยังเทาเที่ยยักษ์ที่ดูน่าดึงดูดยิ่งกว่า
เทาเที่ยยักษ์ตื่นตระหนกทันที โชคไม่ดีที่มันไล่ตามซูอันและเพ่ยเหมียนหมานมาที่บันไดโดยไม่รู้ตัวแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ใกล้ทั้งสองคนก็ตาม
วิญญาณชั่วร้ายเหล่านั้นรุมล้อมร่างมหึมาของมันจนมิด
เทาเที่ยกรีดอย่างต่อเนื่อง โบกกรงเล็บอันแหลมคมของมันไปรอบตัว และใช้ปากฉีกกระชากวิญญาณที่เข้ามา หางแหลมของมันสะบัดฟาดอย่างบ้าคลั่ง
น่าเสียดายที่วิญญาณชั่วร้ายไม่มีรูปร่าง ดังนั้นการโจมตีทางกายภาพทั้งหลายจึงไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง
เทาเที่ยยักษ์ส่งเสียงร้องอย่างโกรธเกรี้ยว แต่เมื่อเวลาผ่านไป เสียงของมันกลับยิ่งเหมือนเสียงร้องไห้ด้วยความปวดร้าว…
ในเวลาไม่นาน ร่างใหญ่ของมันก็ทรุดตัวลง เนื้อบางส่วนของร่างกายได้หายไปเผยให้เห็นกระดูกสีขาวด้านใน
หากยังคงรักษาความเร็วนี้ไว้ได้ ร่างกายทั้งหมดของมันจะถูกพวกวิญญาณชั่วร้ายกลืนกินจนหมดไปในไม่ช้า
ซูอันและเพ่ยเหมียนหมานตกตะลึง วิญญาณชั่วร้ายบางตัวพุ่งเข้ามาหาพวกเขาเช่นกัน
ซูอันฟาดฟันด้วยกระบี่ไท่เอ๋อร์ โชคไม่ดีที่วิญญาณร้ายเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต ดังนั้นกระบี่จึงวาดผ่านร่างของพวกมันไปโดยไม่สร้างความเสียหายใด ๆ เลย
เหล่าวิญญาณชั่วร้ายส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งโดยไม่แสดงความกลัวเลย
โชคดีที่ซูอันมีวิชาร่างก้าวทานตะวันดังนั้นเขาจึงสามารถหลบเลี่ยงการโจมตีของพวกมันได้ และไม่ได้ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเทาเที่ยยักษ์
แต่ถึงอย่างนั้น วิญญาณร้ายบางตนก็ยังสามารถข่วนแขนและขาของซูอันได้ทัน ส่งความเจ็บปวดรวดร้าวไปทั่วบริเวณที่พวกมันสัมผัสทันที
“นี่มันอะไรบ้าอะไรกันเนี่ย?!” ซูอันไม่สามารถทำร้ายพวกมันได้ แต่ไอ้พวกวิญญาณเหล่านี้กลับสามารถทำร้ายเขาได้ เขาจะสู้กับอะไรแบบนี้ได้ยังไง?
เหล่าวิญญาณร้ายไม่ลดละความพยายาม พวกมันกรีดร้องแล้วบินหมุนไปรอบ ๆ จากนั้นจึงพุ่งเข้าใส่เขาอีกครั้ง
ซูอันใจหายวาบ ชายหนุ่มกำลังพยายามคิดว่าควรจะเผชิญหน้ากับพวกมันอย่างไร แต่แล้วทันใดนั้นเปลวไฟสีดำก็วูบผ่าน
วิญญาณร้ายส่งเสียงคร่ำครวญอย่างหวาดกลัวและถอยห่างออกไปหลายจั้งเห็นได้ชัดว่าพวกมันกลัวเปลวไฟนี้
เพ่ยเหมียนหมานรีบวิ่งมาที่ด้านข้าง นางจับมือของซูอันไว้ “เจ้าเป็นอะไรไหม?”
“ข้าไม่เป็นไร ข้าไม่คิดเลยว่าเปลวไฟของเจ้าจะได้ผลกับพวกมันขนาดนี้!” ซูอันตั้งข้อสังเกตอย่างประหลาดใจ
“วิญญาณร้ายเหล่านี้เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทหยิน ในขณะที่เปลวไฟสีดำของข้าคือพลังหยางสุดขั้ว ดังนั้นเปลวไฟของข้าคือของแสลงสำหรับพวกมันโดยธรรมชาติ” เพ่ยเหมียนหมานตอบ
เสียงกรีดร้องที่น่าสังเวชของเทาเที่ยยักษ์ดังก้องมาจากด้านล่างบันได ทั้งสองก้มลงมองอย่างไม่รู้ตัว เหล่าวิญญาณร้ายฉีกกระชากเนื้อของเทาเที่ยออกจากร่างของมันจนทำให้มันเหลือแต่โครงกองกระดูกสีขาว
ซูอันกลืนน้ำลาย
สิ่งต่าง ๆ ในวังที่แปลกประหลาดนี้ล้วนแข็งแกร่งอย่างตลกร้าย…นักรบโครงกระดูกก่อนหน้านี้ได้ฆ่าเทาเที่ยขนาดธรรมดาห้าตัวอย่างง่ายดายก่อนจะตายเพราะเทาเที่ยยักษ์ตัวนี้ เขาคิดว่าเทาเที่ยยักษ์ตัวนี้จะเป็นบอสตัวสุดท้าย แต่ท้ายที่สุดมันกลับพบกับจุดจบที่น่าเศร้าโดยพวกวิญญาณร้ายที่น่าสยองยิ่งกว่า!
เมื่อกระดูกของเทาเที่ยยักษ์นั้นสะอาดเอี่ยมจนเหลือแต่โครงกระดูก วิญญาณร้ายจำนวนมากก็เริ่มลอยเข้ามาใกล้มนุษย์ทั้งสอง!