บทที่ 714 ประทับใจ

บทที่ 714 ประทับใจ

โชคดีที่ฉืออี้หย่วนคิดเพื่อซูเสี่ยวเถียนจึงไม่ได้รักษาท่าทีเยือกเย็นตามปกติ ทั้งยังพูดคุยกับพวกเธอประโยคสองประโยคเป็นครั้งคราว

กับข้าวสี่อย่างซุปหนึ่งอย่างเพราะทั้งสามสาวยังไปรับข้าวของตัวเองมาด้วยจึงกินไม่หมด

ดีที่แม้ฉืออี้หย่วนจะดูผอมเพรียวแต่ก็ตั้งใจกินมาก จึงรับผิดชอบกับข้าวที่เหลือทั้งหมด

ตอนยังเด็กที่ฉืออี้หย่วนอยู่ชุมชนการผลิตหงซินใช้ชีวิตลำบากมาก สองปู่หลานมักจะกินไม่อิ่มอยู่เสมอ

แม้ในภายหลังเป็นเพราะความช่วยเหลือจากตระกูลซูเป็นครั้งคราว รวมทั้งอาหารที่แบ่งในชุมชนยังมากขึ้นหน่อยด้วย แต่สำหรับฉืออี้หย่วน รสชาติของความหิวโหยยังคงฝังใจ

ดังนั้นเขาจึงหวงอาหารมาก

อีกโต๊ะหนึ่งที่หวงอาหารมากกว่าฉืออี้หย่วน กำลังตั้งอกตั้งใจกินข้าวเป็นอย่างมาก อาหารที่อิ่นหรูอวิ๋นสั่งมาเสิร์ฟแล้วแต่หรูอวิ๋นและอ้ายอวี้ทั้งสองคนนั้นยังไม่กลับมา

หลังจากครุ่นคิดก็ยังไปตรงจุดรับข้าวต้องการขอข้าวเพิ่ม

ป้าในโรงอาหารเห็นฉีเสี่ยวฟางสามารถกินอาหารมากขนาดนั้นหมดก็ประหลาดใจมาก

นักศึกษาคนนี้เป็นถังข้าว*[1]หรือ?

เคยเห็นคนที่สามารถกินได้ ทว่าแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยเห็นคนกินขนาดนี้!

“ป้าคะหนูกินข้าวหมดแล้ว ป้าบอกว่าถ้ากินหมดแล้วจะให้อีกนี่คะ” ฉีเสี่ยวฟางเอ่ยอย่างสมเหตุสมผล กล่องข้าวในมือถูกยื่นออกไปข้างหน้า

ป้าในโรงอาหารไม่มีทางเลือกได้แต่เติมข้าวลงกล่องให้เธอ

คุณป้าในโรงอาหารคิดเอาเองว่า เด็กสาวคนนี้น่าจะฐานะครอบครัวไม่ดีจึงมีความสามารถในการกิน

โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าฉีเสี่ยวฟางไม่อาจตัดใจสั่งกับข้าวได้ สั่งเพียงวุ้นเส้นผักกาดขาวตุ๋นหนึ่งอย่างที่ถูกที่สุดแล้วยังถูกเธอตักให้น้อยอีก

คุณป้าโรงอาหารไม่ใช่คนเลวร้ายเมื่อมองข้าวขาวที่ไม่มีกับข้าวเลย ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงรู้สึกปวดใจ

ไม่ง่ายเลยที่เด็กจะออกมาเรียนหนังสือ จะกินเยอะแต่ก็เกรงว่าเงินอุดหนุนจะไม่พอกิน เป็นไปไม่ได้ที่จะให้กับข้าวอีกจานแต่จะให้ซุปเพิ่มอีกสักหน่อย

ป้าโรงอาหารหยิบช้อนตักซุปหมูตุ๋นน้ำแดงราดลงกล่องอาหารของฉีเสี่ยวฟางหนึ่งช้อน

ฉีเสี่ยวฟางเห็นป้าที่จู่ ๆ ก็หยิบช้อนตักซุปขึ้นมาตักซุปหมูตุ๋นน้ำแดงราดลงกล่องอาหารของตัวเอง ตอนนั้นเองที่รู้สึกประหลาดใจจนอ้าปากค้าง จนลืมแม้กระทั่งจะรับกล่องอาหาร

“ทำไม? กินอิ่มแล้วหรือ?” คุณป้าโรงอาหารที่เร่งเธอ

ฉีเสี่ยวฟางรีบขอบคุณป้าโรงอาหารพลางเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง

นี่คือซุปหมูตุ๋นน้ำแดงช้อนใหญ่แม้จะไม่มีเนื้อแต่ก็ยังมีรสชาติของเนื้อ ผสมกินกับข้าวกลิ่นหอมมากทีเดียว

อาจเป็นเพราะป้าโรงอาหารได้เติมซุปหมูตุ๋นน้ำแดงลงกล่องข้าวของเธอแล้ว ฉีเสี่ยวฟางจึงไม่ได้แตะต้องกับข้าวอย่างที่สามซึ่งมาเสิร์ฟบนโต๊ะ

เธอแค่ตะกละเล็กน้อยทั้งยังเลินเล่อไปบ้างแต่ก็ไม่ได้โง่

อ้ายอวี้และอิ่นหรูอวิ๋นทั้งสองคนดูแคลนฉีเสี่ยวฟาง และเธอก็เห็นได้ชัดเจน

ฉีเสี่ยวฟางนั่งกินข้าวอยู่เงียบ ๆ เมื่อกล่องอาหารของเธอใกล้หมดอิ่นหรูอวิ๋นและอ้ายอวี้ก็กลับมาในที่สุด

เห็นฉีเสี่ยวฟางกินข้าว อ้ายอวี้ก็เลิกคิ้วอย่างไม่รู้ตัวแต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร

กลับกันหลังจากฉีเสี่ยวฟางเห็นทั้งสองคนก็รีบลุกขึ้นและพูด “พวกเธอกลับมาแล้วหรือ? กับข้าวฉันยังไม่ได้กิน ฉันอิ่มแล้วพวกเธอรีบกินข้าวเถอะ!”

ยังไม่ได้กินหรือ?

อ้ายอวี้มองซอสสีแดงซึ่งอยู่ในกล่องอาหารของฉีเสี่ยวฟางแล้วขมวดคิ้ว

ผู้หญิงคนนี้เห็นอยู่ชัด ๆ ว่ากินไปแล้วยังจะมาบอกว่ายังไม่ได้กินช่างไร้ยางอายจริง ๆ

แต่หลังจากผ่านเรื่องวุ่นวายมา เธอก็เหนื่อยมากและไม่อยากจะต่อปากต่อคำกับฉีเสี่ยวฟางอีก

ทางโต๊ะซูเสี่ยวเถียนมีบรรยากาศกลมเกลียวเป็นอย่างมาก ต่างจากความกระอักกระอ่วนของฝั่งนี้

“พี่อี้หย่วนพรุ่งนี้ยังไม่มีเรียน พี่พาฉันไปเดินดูรอบ ๆ ได้ไหมคะ?”

การรายงานผ่านมาแล้วสองวัน ซึ่งซูเสี่ยวเถียนมาวันแรกแล้ว

เธอยังต้องการทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ด้วย

เธอวางแผนจะหาโอกาสทางธุรกิจที่นี่หากสามารถตั้งร้านที่เหมาะสมที่นี่ได้ และเปิดร้านที่เหมาะสม ซูเสี่ยวเถียนคิดว่าน่าจะดีมาก

มหาวิทยาลัยสามารถขับเคลื่อนการพัฒนาทางเศรษฐกิจมาโดยตลอดในด้านหนึ่งเสมอ

“ได้! พรุ่งนี้เช้าฉันจะไปรอเธอที่ใต้หอพัก!” ฉืออี้หย่วนวางชามและตะเกียบพยักหน้าและพูด

ได้เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับซูเสี่ยวเถียน ทั้งสองคนมีโอกาสมากมายทำให้ฉืออี้หย่วนมีความสุขมาก

“ไม่ต้องหรอกค่ะ พวกเราไปเจอกันหน้าประตูมหาวิทยาลัยดีไหมคะ?” ซูเสี่ยวเถียนคิดว่าการให้ฉืออี้หย่วนมารออยู่ใต้หอพักตัวเองคงไม่ค่อยดีนัก

“งั้นเอาแบบนี้ เสี่ยวเถียนพี่รับปากคุณปู่ซูกับคุณย่าซูว่าจะดูแลเธอ หลังจากนี้ข้าวสามมื้อพี่จะรอกินพร้อมเธอด้วย!” แต่ฉืออี้หย่วนกลับยืนกราน

ซูเสี่ยวเถียน “…”

ทำไมต้องกินข้าวพร้อมกันทั้งสามมื้อ?

เธอยังอยากกินข้าวสานสัมพันธ์กับพวกเพื่อนร่วมห้องนะ

หากข้าวสามมื้อต้องกินกับฉืออี้หย่วน แบบนั้นจะยังได้คบค้าสมาคมกับเพื่อนร่วมหอพักหรือ?

ซูเสี่ยวเถียนหารือพร้อมรอยยิ้มทั้งน้ำตา “พี่อี้หย่วนพวกเรามาปรึกษากันหน่อยเถอะค่ะ อย่ากินข้าวด้วยกันทั้งสามมื้อเลยค่ะกินด้วยกันทุกวันตอนเที่ยงเถอะนะคะ ตอนเช้ากับตอนเย็นฉันจะกินกับเพื่อนร่วมชั้นแบบนี้ดีไหมคะ?”

เดิมทีฉืออี้หย่วนคิดอยากจะบอกว่าไม่เห็นด้วย แต่เมื่อเห็นแววตาอ้อนวอนของซูเสี่ยวเถียนสุดท้ายก็พยักหน้า

เด็กสาวควรต้องมีเพื่อนของตัวเองบ้าง ไม่อาจใช้เวลาสี่ปีในมหาวิทยาลัยอยู่โดยไม่มีเพื่อนได้ ถ้าเป็นแบบนั้นคงน่าเบื่อเกินไป

ซูเสี่ยวเถียนมีความสุขแล้ว

ท่าทางผิดปกติของฉืออี้หย่วนถูกคนจำนวนมากเห็นเข้า

เพื่อนนักศึกษาหญิงที่อยากเข้ามาชวนฉืออี้หย่วนคุยแต่ทำไมได้ เมื่อเห็นฉากนี้ก็กัดฟัน

คนอื่น ๆ ต่างสงสัยว่าใครกันที่สามารถทำให้ฉืออี้หย่วนเปลี่ยนนิสัยท่าทีได้

เพิ่งรู้ว่าตั้งแต่ที่เข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัย ฉืออี้หย่วนก็ปฏิบัติต่อผู้หญิงอย่างให้เกียรติ แต่วันนี้คาดไม่ถึงว่าจะไปกินข้าวด้วยกันกับผู้หญิงสี่คน

ท้องฟ้าจะมีฝนแดงตกลงมา*[2]หรือ?

มีคนมากมายรู้จักเพียงฉืออี้หย่วน แต่ไม่รู้จักพวกผู้หญิงที่นั่งกินข้าวร่วมโต๊ะกับฉืออี้หย่วน คนมักจะเป็นเช่นนี้ กับเรื่องที่ไม่รู้ก็จะมีความกระตือรือร้นในการคาดเดาเป็นอย่างมาก

ผ่านไปไม่นานข่าวที่ว่ามีผู้หญิงของฉืออี้หย่วนมาเรียนที่มหาวิทยาลัยจิ่งเฉิง และข่าวที่น้องสาวของฉืออี้หย่วนมาเรียนที่มหาวิทยาลัยจิ่งเฉิงก็แพร่กระจายไปทั่วในรั้วมหาวิทยาลัย

ถึงขั้นที่มีเพียงคนที่เกี่ยวข้องเท่านั้นที่ไม่รู้ ส่วนคนอื่นล้วนได้ยินข่าวหมดแล้ว เป็นธรรมดาที่ทั้งสองฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับปัญหานี้จะไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย

พวกเขาใช้ชีวิตของตัวเองแล้วคนอื่นทำอะไรเล่า?

ยิ่งไปกว่านั้นเป็นธรรมดาที่จะยอดเยี่ยมเมื่อถูกคนสนใจโดยที่ไม่มีปัญหา

แม้จะยังมีพวกเพื่อนร่วมห้องด้วย แต่ฉืออี้หย่วนก็ยังไปส่งซูเสี่ยวเถียนที่ใต้ตึกหอพักตามหน้าที่อย่างมีความรับผิดชอบ

พวกฉู่เยว่ล้วนมองออก และไม่ไปรบกวนการพูดคุยของฉืออี้หย่วนและซูเสี่ยวเถียน

แม้ทั้งสองคนจะบอกเองว่าเป็นพี่น้องกัน แต่ไม่รู้ทำไมพวกเธอถึงรู้สึกว่าสายตาที่ฉืออี้หย่วนมองซูเสี่ยวเถียนดูไม่บริสุทธิ์เอาเสียเลย

แม้ว่าอาจจะเป็นเพราะซูเสี่ยวเถียนอายุยังน้อยจึงไม่ได้แสดงออก แต่ฉืออี้หย่วนดูเหมือนกำลังมองภรรยาตัวน้อยในอนาคตเลย

ดังนั้นพวกเธอสามคนเดินไปไม่ไกลก็ส่งสายตาต่างคนต่างพูด

[1] ถังข้าว หมายถึง คนที่ดีแต่กิน

[2] มีฝนแดงตกลงมา หมายถึง เกิดเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้