บทที่ 715 เป็นความผิดฉันเอง

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 715 เป็นความผิดฉันเอง

บทที่ 715 เป็นความผิดฉันเอง

ถ้าเป็นไปได้ อี้หย่วนอยากใช้เวลาเดินเที่ยวรอบ ๆ มหาวิทยาลัยกับเสี่ยวเถียน หากจะบอกว่าทิวทัศน์ที่แห่งนี้เป็นลักษณะของสวนคงไม่ใช่เรื่องเกินจริง แต่น้องบอกอยากกลับไปอ่านหนังสือแล้ว เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากยอมแพ้

“เด็กคนนี้ อยากจะอ่านหนังสืออยู่ตลอดเลยนะ เป็นเด็กมหาวิทยาลัยแล้วยังขยันเหมือนเดิมเลย!”

คนเป็นพี่ยิ้มเอ็นดู ก่อนลูบปอยผมที่ร่วงลงมาของน้อง

“ต้องตั้งใจอยู่แล้วสิคะ หนูจะเป็นนักศึกษาหัวกะทิ!” เสี่ยวเถียนยิ้มสดใส

หลังกลับมาถึงห้อง ยังเหลือเตียงว่างอยู่สองที่ เธอคิดว่าพวกเขาไม่น่าจะมาวันนี้แน่นอน ยังไงก็ยังเหลือวันรายงานตัวอีกหนึ่งวัน

“เสี่ยวเถียน ยังหัววันอยู่เลย มาเล่นไพ่กันไหม?” ฉู่เยว่มองไปรอบ ๆ ห้อง แต่ไม่มีอะไรให้ทำเลยจึงเสนอเล่นไพ่

“ไม่เล่นจ้ะ ฉันอยากอ่านหนังสือน่ะ!” ซูเสี่ยวเถียนหยิบหนังสือในมือขึ้นให้อีกฝ่ายดู

หนังสือเล่มนี้เธออ่านมาหลายวันแล้ว แต่เพิ่งอ่านได้ครึ่งเดียวเอง และเพราะต้องรออีกสองวันถึงจะเริ่มเรียน เวลาอ่านหนังสือจึงยิ่งน้อยกว่าเดิม จึงหาโอกาสช่วงสองวันนี้อ่านเพิ่มสักสองสามหน้า

“แต่พรุ่งนี้ไม่มีเรียนนะเสี่ยวเถียน!”

คนที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยจิ่งเฉิงได้ต้องเป็นคนรักเรียน แต่พรุ่งนี้ไม่มีเรียนเนี่ยสิ หนังสือเรียนจะแจกให้ช่วงก่อนเริ่มคลาสหลังจากเปิดเทอมด้วย แล้วทำไมเสี่ยวเถียนถึงเริ่มอ่านหนังสือแล้วล่ะ?

“ฉันรู้ แต่หนังสือที่อ่านมันไม่ใช่หนังสือเรียนสักหน่อย มันเป็นหนังสือที่ฉันยืมมาเลยต้องรีบอ่านรีบเอาไปคืนน่ะ”

หนังสือจากระบบเองก็ต้องคืนเหมือนกัน การที่เธอพูดแบบนี้มันไม่ผิดใช่ไหมล่ะ?

ฉู่เยว่ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้

ตอนนี้ฉีเสี่ยวฟางกับอิ่นหรูอวิ๋นยังไม่กลับมา กำลังคิดว่าพวกเธอน่าจะสนิทกันพอตัว

หลังจากเสี่ยวเถียนจัดเตียงเสร็จ ก็ขึ้นไปนอนเตรียมอ่านหนังสือ

เธอเตรียมของมาพร้อม เตรียมมาแม้กระทั่งโคมไฟตั้งโต๊ะ เตียงมืด ๆ สว่างขึ้นทันทีที่เปิดไฟ อันที่จริงต่อให้มืดเสี่ยวเถียนก็ยังอ่านได้อยู่ เพราะมันเป็นหนังสือที่มาจากระบบ แต่ก็ต้องแสร้งทำท่าไปก่อน เดี๋ยวคนอื่นจะผิดสังเกตเอา

“เสี่ยวเถียน เธอเริ่มอ่านหนังสือแล้วหรือ?” จ้าวหงเหมยที่กลับมาจากห้องน้ำประหลาดใจมากตอนเห็นเพื่อนถือหนังสืออยู่ในมือ

ถ้าเธอไม่รั้นและตั้งใจเรียนแบบนี้บ้าง ป่านนี้คงสอบได้คะแนนดีไปแล้วใช่ไหมล่ะ?

“ใช่จ้ะ รีบอ่านน่ะ!” เสี่ยวเถียนพยักหน้าจริงจัง

การอ่านหนังสือเป็นการสั่งสมความรู้ที่ดีมาก ถ้าไม่ตั้งใจจะมีชีวิตอย่างทุกวันนี้หรือ

ฉู่เยว่ไม่รู้อยู่แล้วว่าเหตุผลที่ทำให้คนบ้านซูมีชีวิตที่ผาสุกอย่างตอนนี้เป็นเพราะเสี่ยวเถียนตั้งใจเรียน

จิตวิญญาณอันขยันขันแข็งที่มุ่งต่อการเรียนของเด็กสาวทำให้เพื่อนคนนี้ประทับใจเป็นอย่างยิ่ง

“เสี่ยวเถียน พรุ่งนี้ฉันจะไปซื้อโคมไฟแล้วตั้งใจเรียนแบบเธอบ้างแล้วล่ะ!” ฉู่เยว่สาบาน

เพราะคิดว่าหลังจากเข้ามหาวิทยาลัยมาคงไม่ต้องตั้งใจเรียนเหมือนเมื่อก่อน แต่ใครจะรู้เล่าว่ามีรูมเมทเด็กในห้องขยันขนาดนี้ ทำเอาผู้ใหญ่อย่างเธออายไม่น้อย

จ้าวหงเหมยรีบกล่าว “พรุ่งนี้ฉันจะไปซื้อด้วยนะ จะได้อ่านด้วยกัน!”

ได้ยินว่าใครเรียนดีจะได้ทุนด้วยนะ เราควรหาเงินไปจ่ายค่าโคมไฟดีไหมเนี่ย?

เสี่ยวเถียนไม่รู้ว่าพวกเพื่อน ๆ เอาเธอเป็นแรงบันดาลใจโดยจะตั้งใจเรียนแล้วชิงทุนบ้าง ถ้าเด็กหญิงรู้ก็คงยกนิ้วชมพวกเขาแล้วล่ะ

แต่ละคนควานหาหนังสือแล้วเริ่มอ่านบ้าง

ตอนอิ่นหรูอวิ๋นและฉีเสี่ยวฟางกลับมาถึงห้อง ภาพที่เห็นคือคนทั้งสี่กำลังอ่านหนังสืออย่างสบายใจ และได้แต่สงสัยว่ามาผิดห้องหรือเปล่า

นี่มหาวิทยาลัยแล้วนะ ไม่ใช่มัธยมปลายเสียหน่อย? แล้วทำไมรูมเมทแต่ละคนรีบอ่านหนังสือกันขนาดนั้นล่ะ?

เดิมทีเสี่ยวเถียนไม่คิดจะให้ความสนใจกับคนมาใหม่ แต่ถ้าทำแบบนั้นก็ใช่ว่าคนอื่นจะไม่สนใจเธอเสียหน่อย

อิ่นหรูอวิ๋นเดินมายืนอยู่ตรงหน้าต่าง ทำให้เสี่ยวเถียนรู้สึกมีคนกำลังบังแสง แม้ไฟจากตัวโคมจะไม่ได้โดนผลกระทบอะไร แต่มันก็ยังเรียกความสนใจให้เสี่ยวเถียนเงยหน้าขึ้นมองได้

เธอเห็นสีหน้าอิ่นหรูอวิ๋นดูไม่สู้ดีสักนิด ก่อนเบนสายตาไปยังฉีเสี่ยวฟาง สีหน้าฝ่ายนั้นก็ไม่ดีพอกัน เห็นได้ชัดเลยว่าเกิดความบาดหมางระหว่างพวกเธอ

แต่นี่มันเป็นเรื่องของคนอื่น ไม่ได้เกี่ยวกับเธอเสียหน่อย

เด็กสาวเบนสายตากลับมาอ่านหนังสือต่อ

“เสี่ยวเถียน เราคิด ๆ ดูแล้วว่า เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้มันเป็นความผิดของเราเอง เธออย่าใส่ใจกันเลยนะ!” อิ่นหรูอวิ๋นเอ่ยด้วยท่าทางอ่อนแรง

เสี่ยวเถียนแปลกใจกว่าเก่า ทำไมจู่ ๆ อีกฝ่ายมาพูดแบบนี้กับเธอล่ะ?

ไม่ใช่แค่นั้นนะ คนอื่น ๆ ยังตกใจเหมือนกันที่เธอคนนั้นเอ่ยกับเสี่ยวเถียนด้วยเสียงเล็กเสียงน้อยแบบนั้น นี่ไม่ใช่ลักษณะของอิ่นหรูอวิ๋นเลย หรือเจ้าตัวมีความคิดอื่นแฝง?

คนอื่น ๆ อดไม่ได้ที่จะมองไปทั้งสอง

บรรยากาศระหว่างทั้งคู่แลดูซับซ้อนมาก

แต่เสี่ยวเถียนไม่อยากให้ความสนใจนี้ ทว่าในเมื่ออีกฝ่ายพูดออกมาแล้ว การที่เราไม่ตอบอะไรไปสักหน่อยก็ดูไม่ดีนัก

“ไม่ว่าฉันจะใส่ใจหรือไม่ อันที่จริงเราเองต่างก็เป็นคนแปลกหน้านะ!” เสี่ยวเถียนเอ่ยเสียงเรียบ

ที่พูดออกไปแบบนี้ก็เพราะคิดแบบนั้นนั่นล่ะ ถ้าเราเข้าขากันดีก็อยู่ด้วยกันได้ แต่ถ้าคุยต่อกันไม่ได้ก็เป็นคนแปลกหน้าไปเสียจะดีกว่า

กลายเป็นว่าอิ่นหรูอวิ๋นรู้สึกคับข้องใจขึ้นมา หยาดน้ำตาไหลรินออกมาสองหยดแล้วเอ่ยอย่างน่าสงสารว่า “เธอไม่เต็มใจให้อภัยเราหรือ? เสี่ยวเถียน เรารู้ว่าเราทำผิดไปแล้วนะ”

เสี่ยวเถียนเริ่มจะหงุดหงิดขึ้นมา

ทำไมต้องมาเจอคนแบบนี้ด้วย?

เปลี่ยนหอหรือ? หรือจะฟังที่พี่อี้หย่วนบอกแล้วออกไปอยู่ข้างนอกแทน? นั่นเป็นครั้งแรกที่ซูเสี่ยวเถียนเริ่มพิจารณาความเป็นไปได้นี้อย่างจริงจัง

อิ่นหรูอวิ๋นเหมือนคางคกบนโต๊ะอาหาร*[1] ไม่ตายแล้วยังน่าขยะแขยงอีก!

พอคิดถึงช่วงเวลานับจากนี้อีกสี่ปี เธอรู้สึกหนังหัวชาไปหมด

“พอเถอะ เลิกร้องเวลาพูดได้ไหม? เดี๋ยวก็ถ่อไปหาคนมาบอกให้ฉันขอโทษอีก!”

เสี่ยวเถียนนึกภาพเหตุการณ์อ้ายอวี้ในวันนี้แล้วเอ่ยออกมาตรง ๆ

สีหน้าอิ่นหรูอวิ๋นบูดบึ้งน่าเกลียด

ทำไมซูเสี่ยวเถียนใจแคบนักหนา?

[1] ความโชคร้าย