บทที่ 792 แก้ปมหัวใจ

กู้หวนอวี้เฝ้าดูน้ำตาของนางที่ร่วงหล่น เจ็บปวดหัวใจอย่างบอกไม่ถูก เขาตบที่หลังมือของหญิงสาว แล้วกอดนางเอาไว้ในอ้อมแขน

“ชิงหยูนี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า”

“จะไม่ใช่ความผิดของข้าได้อย่างไร ถ้าหากข้าไม่นำจดหมายฉบับนั้นให้มารดาดู นางคงจะไม่…”

อาจารย์ก็พูดเช่นกันว่าไม่ใช่ความผิดของนาง เปลือกนอกนางเป็นสตรีเก่งกาจมีพรสวรรค์ แท้จริงแล้วหัวใจของนางเสมือนถูกขังอยู่ในกรง ใครๆก็บอกว่านางเป็นคนฉลาด มีเพียงเหตุการณ์นี้เท่านั้นที่เป็นปมอยู่ในหัวใจของนางมาตลอด

หลายปีผ่านไป ตู้ชิงหยูเดินทางไปทุกที่ แต่นางไม่เคยให้อภัยตนเองได้

“ชิงหยู เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่ามารดาเจ้าเป็นคนเช่นไร?” กู้หวนอวี้ถามขึ้นมา

“ท่านแม่ข้าเป็นคนอ่อนโยนทว่าเข้มแข็งมาก นางฉลาด ชอบอ่านบทกวี นางมีความรู้มากมาย นางรักข้ามาก ตอนที่ข้ายังเด็ก…” ตู้ชิงหยูเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นสมัยที่นางยังเป็นเด็ก นางอยากให้มารดายังมีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้จะได้เห็นเสี่ยวไป๋เติบโตขึ้น…แต่น่าเสียดายยิ่งนัก

เมื่อตู้ชิงหยูพูดถึงมารดา ดวงตาของนางเปล่งแสงแวววาว ต่อเมื่อนางพูดจบ แสงสว่างในดวงตาจึงได้จางหายไป

“มารดาของเจ้าเป็นคนฉลาดมาก แท้จริงนางคงรู้เรื่องนี้มานานแล้ว และไม่ใช่เพราะจดหมายของเจ้าหรอก”

ตู้ชิงหยูขมวดคิ้ว นางคิดว่ามารดาน่าจะรู้เรื่องนี้ เพียงแต่นางหลอกตนเอง จดหมายที่เอาให้มารดาดูเป็นเหมือนข้อเท็จจริงอันโหดร้ายที่ได้ถูกเปลือยออกมาให้เห็นต่อหน้า มารดาของนางคงรับไม่ได้กับการถูกกระตุ้นเร้าเช่นนี้

“ข้ารู้สึกได้ว่า แท้จริงแล้วมารดาของเจ้าอาจจะไม่อยากมีชีวิตอยู่นานแล้ว แต่นางต้องอยู่เพื่อเจ้าและเสี่ยวไป๋ นางเหนื่อยมามากแต่ต้องอดทนมาตลอด” กู้หวนอวี้ว่า

ดวงตาหม่นหมองของตู้ชิงหยูแสดงความประหลาดใจออกมา นางไม่คิดมาก่อนว่ากู้หวนอวี้จะพูดประโยคเช่นนี้ออกมา

“นางเหนื่อยมาก นางรักเจ้ามาก แต่เหตุใดถึงได้เลือกที่จะฆ่าตัวตายหลังจากที่เจ้านำจดหมายให้นางดู” กู้หวนอวี้รู้สึกว่ามีบางอย่างที่เขามองข้ามไป

“นางได้ทิ้งของบางอย่างไว้ให้เจ้าหรือไม่?” เขาถามพลางมองไปที่ตู้ชิงหยู

“คืนนั้นท่านแม่ให้ของบางอย่างไว้กับข้า” ตู้ชิงหยูว่าพลางหยิบของที่ห้อยอยู่รอบคอออกมาให้กู้หวนอวี้ดู เป็นจี้หยกที่ตู้ชิงหยูรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี กู้หวนอวี้มองจี้หยกที่ยังมีความอุ่นจากร่างกายของตู้ชิงหยู เขาต้องการแก้ปมในใจ และจี้หยกชิ้นนี้น่าจะเป็นกุญแจที่สำคัญ

มารดาของชิงหยูต้องการบอกอะไรกับนางผ่านหยกชิ้นนี้หรือไม่?

กู้หวนอวี้เอามือถูหยก เขาสังเกตลักษณะของหยก มีความคิดบางอย่างวาบขึ้นมาในใจ เขารู้สึกว่าหยกดูผิดแผกออกไปจากหยกปกติ

“ชิงหยูนี่ไม่ใช่หยกชิ้นเดียว ข้าคิดว่าเป็นหยกที่ถูกประกบเข้าหากัน” กู้หวนอวี้เอ่ย

ตู้ชิงหยูตกตะลึง นางรักหยกชิ้นนี้มาก นำมาห้อยไว้กับตนเองมาตลอด แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีบางอย่างซ่อนอยู่ในหยกชิ้นนี้

และเพราะนางรักหยกชิ้นนี้มาก จึงทำใจไม่ได้ที่จะทำลายมัน

“ชิงหยู อาจมีบางอย่างซ่อนเอาไว้ในหยกชิ้นนี้ เจ้าอยากจะเปิดออกดูหรือไม่?” เขาถาม

ของที่ระลึกจากมารดา มีความสำคัญกับนางมาก นางย่อมไม่เต็มใจที่จะทำให้เสียหายแม้แต่น้อย แต่ตู้ชิงหยูไม่ใช่คนทั่วไป นางมองหยกด้วยแววตาดิ้นรนต่อสู้ ไม่นานนางจึงพยักหน้า

จะเกิดอะไรขึ้นหากมารดาของนางซ่อนบางอย่างเอาไว้ในหยกจริงๆ

ตู้ชิงหยูจำการละเล่นของมารดากับตนเองเมื่อยามที่นางเป็นเด็กได้เป็นอย่างดี ท่านแม่ชอบซ่อนของไว้ตามที่ต่างๆ เพื่อให้นางได้ค้นหา ถ้าหากนางหาพบของชิ้นนั้นจะเป็นรางวัลของนาง

กู้หวนอวี้หยิบหยกมา เขาบีบจี้หยกแล้วขยับเบาๆไม่กี่ครั้งจึงได้เห็นว่าจี้หยกแบ่งออกได้เป็นสองซีกจริงๆ มีกระดาษม้วนอยู่เล็กๆ ตรงกลางจี้หยก กู้หวนอวี้หยิบกระดาษส่งให้ตู้ชิงหยู นางกลั้นหายใจรับไว้แล้วเปิดออกอย่างระมัดระวัง

หญิงสาวอ่านข้อความบนกระดาษ ดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดง

นี่เป็นลายมือของมารดา อารมณ์ของตู้ชิงหยูวุ่นวายสับสน ทั้งกังวลทั้งอยากรู้ นางอ่านถ้อยคำในจดหมายอีกครั้ง

เป็นเหมือนที่กู้หวนอวี้พูดไว้ไม่ผิด ที่จริงแล้วมารดาของนางไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล่ว ตั้งแต่ที่เสี่ยวไป๋เกิด อาการของนางกำเริบขึ้น นางอดไม่ได้ที่จะทุบตีบุตรชาย ตู้ชิงหยูจำได้ว่าท่านแม่ไม่ค่อยสนิทกับเสี่ยวไป๋มากนัก ไม่ใช่ว่านางไม่รักเขาแต่เป็นเพราะนางกลัวว่าตนเองจะทำร้ายเขานั่นเอง

ท่านแม่ต้องใช้ความพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะให้มีชีวิตอยู่รอดเพื่อนางและเสี่ยวไป๋ นางเบื่อหน่ายไม่อยากจะต้องทนอยู่ต่อไปในโลกใบนี้อีกแล้ว

ต่อมานางทนไม่ไหวจึงได้พบกับตู้ชิงหยูเป็นครั้งสุดท้าย จดหมายของท่านพ่อและสตรีผู้นั้นไม่ได้มีผลกระทบต่อนาง แต่ที่ท่านแม่เลือกที่จะปลิดชีวิตของตนเองเป็นเพราะนางทนไม่ไหวอีกต่อไป …

ตู้ชิงหยูวางจดหมายไว้ใกล้หัวใจของตนเอง อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาออกมา

กู้หวนอวี้ยื่นมือออกมารั้งนางไว้ในอ้อมแขนของตนเอง เสื้อที่หน้าอกของเขาเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาของตู้ชิงหยู หัวใจเขาราวกับถูกเผาไหม้จนร้อน ทั้งอึดอัดและไม่สบายใจ

“แม่ของข้าป่วย” นางเคยได้ยินถังหลี่เล่าให้ฟังว่านี่เป็นโรคที่ต้องได้รับการรักษาและกินยาเพื่อให้อาการดีขึ้น

“เหตุใดข้าถึงไม่พบก่อนหน้านี้ ถ้าหากว่าข้าพบก่อนหน้า ข้าคง…” นางพึมพำ

“ชิงหยู เจ้าโทษตนเองมาสิบปีแล้ว ท่านแม่ของเจ้าไม่อยากให้เจ้าโทษตนเอง ทั้งเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของเจ้าตั้งแต่แรก” กู้หวนอวี้กล่าว

บางครั้ง คนยิ่งร่าเริงมากเพียงใด ย่อมมีความเจ็บปวดมากมายซ่อนอยู่ในใจมากเท่านั้น รอยแผลเป็นย่อมกรีดลึกฝังอยู่ในใจมาช้านาน ราวกับว่าหากได้อยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายแล้วจะทำให้มีความสุข แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น

ตู้ชิงหยูเป็นคนประเภทที่ว่า…

นี่จึงเป็นเหตุผลที่กู้หวนอวี้รู้สึกว่านางเป็นสายลมที่กรรโชกมาอย่างแรงแล้วพัดผ่านไป จนเขาไม่อาจเอื้อมมือไปคว้านางมาอยู่ข้างกายตนได้ ไม่ใช่เป็นเพราะนางทำตัวเป็นคนไร้กังวลไม่อยู่กับร่องกับรอย พร้อมที่จะพัดผ่านหายไปได้ทุกเมื่อ

“เจ้าอ่านประโยคสุดท้ายหรือไม่? นางอยากให้เจ้ามีความสุขนะ” กู้หวนอวี้ว่า

ตู้ชิงหยูจ้องเขา “ท่านแอบอ่านหรือ?”

กู้หวนอวี้ไม่ได้รู้สึกผิดแต่อย่างใด เขาหยิบกระดาษมาม้วนแล้วใส่ไว้ในจี้หยกเช่นเดิม จากนั้นจึงได้นำมาคล้องที่คอของตู้ชิงหยู

“แม่ของเจ้าเล่นซ่อนสมบัติกับเจ้า เหตุใดเจ้าถึงได้หาไม่พบมาถึงสิบปีแล้ว ช่างโง่เขลานัก”

ตู้ชิงหยูยอมรับว่านางโง่ดังที่กู้หวนอวี้ว่า มารดาของนางคิดว่านางย่อมรู้อยู่แล้ว เป็นเพราะมารดาเคยละเล่นเช่นนี้กับนางมาตั้งแต่นางยังเป็นเด็ก แต่นางกลับเอาแต่คิดว่าเป็นของแทนใจที่มารดาเหลือทิ้งเอาไว้ให้จนไม่เคยเอะใจว่าจะมีบางอย่างซ่อนอยู่ในนั้น

เป็นคำพูดที่มารดาอยากพูดกับนาง

ช่างโง่เหลือเกิน

นางคว้าจี้หยกกำแน่นไว้ในฝ่ามือ แม้ว่าจะยังโทษตนเองอยู่ ทว่าความรู้สึกผิดที่อยู่ในใจกลับจางลง

“กู้หวนอวี้ มีแต่อาจารย์ของข้าและท่านเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ ท่านต้องเก็บไว้เป็นความลับนะ ห้ามแพร่งพรายบอกใคร!” ตู้ชิงหยูกำชับ

กลายเป็นว่าเขาเป็นคนที่สองที่รู้เรื่องนี้ อีกคนเป็นอาจารย์ของนาง ตู้ชิงหยูคงเห็นเขาเป็นคนพิเศษนางจึงยินดีที่จะเปิดเผยเรื่องนี้ให้เขาได้รับรู้ คนอื่นอาจจะเห็นว่านางเป็นคนไร้กังวล ไม่รู้ร้อนหนาว มีเพียงเขาที่เห็นเข้าไปในส่วนลึกของจิตใจของนาง

“ไม่ต้องห่วง ปากข้าจะปิดสนิทกว่าอาจารย์ของเจ้าเสียอีก” ตู้ชิงหยูถึงกับขบขัน

“เอาล่ะ มืดแล้ว ข้าจะไปส่งเข้ากลับ”

“กลับกันเถอะ ป่านนี้แล้ว ถังหลี่น่าจะเป็นกังวล”