บทที่ 791 อดีตของตู้ชิงหยู

หลังจากที่ได้สนทนากันในวันนั้นแล้ว กู้หวนอวี้ยังคงเชิญตู้ชิงหยูให้มาเล่นหมากและชื่นชมภาพวาด ประดิษฐ์ตัวอักษรอยู่บ่อยครั้ง แต่นางไม่ค่อยมาตามนัดหมาย

แต่อย่างไรก็ตาม กู้หวนอวี้จะพบของบางอย่างที่ดึงดูดความสนใจจนนางไม่อาจจะปฏิเสธได้ อย่างเช่นรูปภาพเลียนแบบที่สูญหายไปนานแล้ว

แน่นอนว่ากู้หวนอวี้ได้ไปพบปะกับเว่ยจื่ออี้บ่อยขึ้น รูปภาพเหล่านั้นมาจากหลานชายคนดีของเขานั่นเอง

เมื่อตู้ชิงหยูพบของเลียนแบบที่หายากและไม่เหมือนใคร ไม่ว่านางจะพยายามควบคุมอารมณ์ไว้เพียงใด ก็อดไม่ได้ที่จะมาพบกู้หวนอวี้ นอกเหนือไปกว่านั้น นางยอมรับว่าตนเองมีความสุขและผ่อนคลายยามที่ได้อยู่กับผู้ชายคนนี้

วันนี้กู้หวนอวี้เชิญตู้ชิงหยูมาดูภาพวาดต้นฉบับ ในขณะที่ยืนดูอยู่นั้น เขาสังเกตเห็นนางเหม่อลอย เขาจึงชวนนางดื่มสุรา ตู้ชิงหยูดื่มสุราเก่ง หลังจากดื่มไปไม่นาน นางก็นั่งเท้าคางมองออกไปนอกหน้าต่าง ตกอยู่ในภวังค์

“วันนี้เป็นวันครบรอบการเสียชีวิตของอาจารย์ข้า” จู่ๆ นางก็พูดขึ้นมา หลังจากที่ได้คุยกันในวันนั้นแล้วกู้หวนอวี้รู้สึกว่าเขายังไม่เข้าใจตู้ชิงหยูดีพอ เขาจึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะทำความรู้จักกับนาง

ตู้ชิงหยูเกิดในสกุลตู้ ทุกวันนี้สกุลตู้ที่อยู่ในเมืองหลวงมีความระส่ำระสาย แตกออกเป็นสกุลเล็กๆ แต่เมื่อหลายสิบปีก่อนหน้า เชื้อสายสกุลตู้ทางฝั่งบิดาของนางมีบทบาทมากในแวดวงบัณฑิต บิดาของนางนับได้ว่าเป็นนักปราชญ์ผู้โด่งดังในขณะนั้น บิดาและมารดาของนางเป็นคู่สามีภรรยาที่รักใคร่กันดี พวกเขาเป็นเพื่อนกับท่านอาจารย์ฮั่นจากสำนักกุยกู ท่านอาจารย์ฮั่นสนใจความฉลาดและมีไหวพริบของตู้ชิงหยูในวัยเยาว์ เขาจึงรับนางเป็นศิษย์และพานางไปศึกษาให้ความรู้

ต่อมาไม่นาน บิดามารดาของนางได้ย้ายออกจากเมืองหลวงไปและเสียชีวิตในเวลาต่อมาโดยไม่มีใครทราบสาเหตุ

สำหรับตู้ชิงหยูแล้ว อาจารย์ของนางนับได้ว่าเป็นผู้อาวุโสที่นางสนิทสนมเป็นที่สุด

การเสียชีวิตของเขาจึงได้สร้างความทรงจำที่ไม่ดีไว้กับตู้ชิงหยู นั่นจึงได้เป็นสาเหตุที่นางไม่สบายใจในวันครบรอบการเสียชีวิตของอาจารย์

“ท่านอาจารย์เสียชีวิตไปเก้าปีแล้ว ก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต ท่านได้กล่าวกับข้าว่าร่างกายและวิญญาณของท่านเป็นอิระจากพันธนาการไปแล้ว ขอให้ข้าอย่าได้เศร้าเสียใจ ท่านบอกข้าไว้ว่าไม่ต้องแสดงความเคารพหรือเซ่นไหว้ท่าน”

กู้หวนอวี้ตระหนักได้ว่า อารมณ์ที่เป็นอิสระไม่ผูกมัดกับขนบธรรมเนียมของตู้ชิงหยูน่าจะเป็นผลมาจากท่านอาจารย์ของนาง

“อาจารย์ของข้าแม้จะป่วยหนักอยู่บนเตียง ท่านจะยิ้มแล้วปลอบใจข้าอยู่เสมอว่าท่านสบายดี นี่เป็นการทดสอบครั้งสุดท้ายในฐานะมนุษย์ผู้หนึ่ง หากผ่านไปได้ก็จะได้ออกไปเผชิญกับความจริงที่ยิ่งใหญ่” ตู้ชิงหยูคิดถึงใบหน้าที่ใจดีของอาจารย์

“เขาบอกข้าว่าไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ตายไปแล้ว เขาจึงได้ใช้ร่างกายของตนเพื่อค้นหาความจริง” ใบหน้าของนางยามที่พูดถึงอาจารย์แม้มีรอยยิ้มแต่ก็เคล้าไปด้วยความเจ็บปวดอย่างยากที่จะอธิบาย

กู้หวนอวี้ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา เขารู้ว่านางแค่ต้องการระบาย หาใครรับฟังความรู้สึกเท่านั้น

เป็นอย่างที่เขาคิดเอาไว้ ท่านอาจารย์ฮั่นของนางเป็นคนมีวิสัยทัศน์กว้างขวาง ชีวิตและความตายเป็นเพียงการจากลากันอย่างชั่วนิรันดร์ จึงเป็นเรื่องที่คนทั่วไปยากที่จะปล่อยวาง

ตู้ชิงหยู

หญิงสาวดื่มสุราแก้วแล้วแก้วเล่า รวมทั้งกู้หวนอวี้ด้วย จนในที่สุดตู้ชิงหยูจึงเริ่มหน้าแดง

“ท่านเป็นบัณฑิตที่เก่งมาก เก่งมากจริงๆ บางครั้งข้าสู้ท่านไม่ได้” ตู้ชิงหยูยกคางขึ้นมองกู้หวนอวี้ ใบหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง กลายเป็นหนุ่มรูปงามมากยิ่งขึ้น

บางสิ่งบางอย่างที่อยู่ในใจ ที่ตู้ชิงหยูไม่เคยเอ่ยออกมาให้ใครฟังแม้กระทั่งกับน้องชายของตนเอง แต่นางกลับเต็มใจที่จะเล่าให้กู้หวนอวี้ฟัง นางคิดว่าเขาเป็นสหายคนสนิท เขาเข้าใจในสิ่งที่นางพูด พวกเขามีเรื่องคุยกันไม่รู้จบ ทั้งยังสายตาที่อ่อนโยนและอดทนของกู้หวนอวี้กระตุ้นให้นางอยากเล่าเรื่องของตนเองให้เขาฟัง

หญิงสาวอยากเล่าให้เขาฟังว่าแท้จริงแล้ว นางไม่ได้เป็นคนดีเท่าที่เขาคิด ไม่คู่ควรกับความรักที่เขามอบให้นางอย่างสุดหัวใจ

“บิดามารดาข้าอยู่เมืองหลวงมานานหลายสิบปี ท่านรู้หรือไม่ว่าเป็นเพราะเหตุใดพวกเขาจึงได้ออกจากเมืองหลวง” นางตั้งคำถาม

กู้หวนอวี้ส่ายหน้า

“ในเมืองหลวงมีบัณฑิตมากมาย มารดาของข้าเป็นผู้รู้หนังสือ นางเป็นหญิงสาวที่เก่งกาจยากที่จะหาตัวจับได้ บิดามารดาของข้าพบเจอกันในงานเลี้ยง พวกเขาได้แลกเปลี่ยนบทกวีด้วยกัน ทั้งคู่ต่างตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกพบ ไม่นานพวกเขาก็แต่งงานเป็นคู่รักที่สมกันประหนึ่งเทพเซียน บิดาและมารดาเป็นคู่สามีภรรยาที่มีความรักกันอย่างลึกซึ้ง ตั้งแต่ที่ข้ายังเป็นเด็กข้าก็เห็นเช่นนั้นมาตลอด แม้แต่คนภายนอกก็คิดเหมือนกับข้า ข้าคิดว่าพวกเขาจะอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า พวกเขารักกันมาก จนกระทั่งผู้หญิงคนนั้นปรากฏตัวขึ้น ….

“นางเป็นคนมีความรู้ นางได้รู้จักกับบิดามารดาของข้า พวกเขาโต้เถียงกันแต่ในที่สุดก็ถูกคอกันมากกลายเป็นสหายที่สนิทสนมกัน ท่านแม่ข้ายังเอ่ยปากเรียกนางว่าน้องสาวเสียด้วยซ้ำ

“ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งน้องสาวที่ดีของนางกับสามีที่นางรัก…”

ตู้ชิงหยูหน้าแดง รอยยิ้มบนริมฝีปากส่งไปไม่ถึงดวงตา

ในสมัยนี้ถือเป็นเรื่องปกติที่ผู้ชายจะมีสามภรรยาสี่อนุฯ แต่บิดามารดาของนางต่างกันออกไป

ตราบใดที่บิดาของนางปันใจแม้เพียงเสี้ยวเดียว และถ้าไม่ใช่หญิงสาวที่ท่านแม่ของนางถือว่าเป็นน้องสาวที่นางให้ความไว้วางใจมาก เรื่องราวอาจจะไม่นำไปสู่จุดจบเช่นนี้

“มารดาของข้าได้รับรู้เรื่องนี้ นางใจสลาย ต้องการจะหย่าขาดจากบิดาของข้า แต่ท่านพ่อกลับไม่ยินดี….”

นางหวนคิดถึงภาพที่บิดาก้มลงคุกเข่าอ้อนวอนขอร้องมารดา ภาพลักษณ์ที่สูงส่งของบิดาในใจของนางก็มลายหายไปในทันที ใครเลยจะไปคิดว่าสามีที่รักและบิดาที่เอาใจใส่จะเป็นเช่นคนขี้ขลาด ปราศจากความผิดชอบได้มากถึงเพียงนี้…

มารดาของนางยังไม่สามารถที่จะตัดใจ ละทิ้งความสัมพันธ์ที่มีต่อผู้ชายที่นางรักมาอย่างยาวนานได้ แม้แต่สตรีที่เข้มแข็งอย่างมารดายังใจอ่อน จนในที่สุดพวกเขาตัดสินใจย้ายออกจากเมืองหลวง บิดาได้เลิกติดต่อกับสตรีผู้นั้นอย่างสิ้นเชิง

ในตอนนั้นตู้ชิงหยูอยู่กับอาจารย์ของตน นางแทบไม่ได้กลับบ้านเลย เพียงใช้จดหมายเขียนหากันเท่านั้น

“พวกเขาอาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง หลังจากที่ท่านแม่ข้ามีเสี่ยวไป๋แล้ว ข้าเคยกลับไปเยี่ยมบ้านก็ยังเห็นท่านพ่ออ่อนโยนและเอาใจใส่มารดาข้าเหมือนแต่ก่อน แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ไม่อาจเติมเต็มหรือชดเชยช่องว่างในหัวใจของมารดาได้ ท่านแม่ข้าหดหู่ นางไม่เคยหวนกลับไปมีความสุขเช่นก่อนอีกเลย”

“ข้าอยู่บ้านสักพัก จากนั้นก็กลับมาหาอาจารย์ ไปๆ มาๆ เช่นนี้อยู่ถึงสองปี พอได้กลับบ้านอีกครั้ง ตอนนั้นเสี่ยวไป๋สองขวบแล้ว ข้าพบว่ามารดาข้าผ่ายผอมและไม่ใส่ใจบิดามากขึ้น ข้ารู้สึกถึงความผิดปกติจึงได้ไปตรวจสอบดู ในที่สุดก็พบว่าบิดาและสตรีผู้นั้นยังติดต่อเขียนจดหมายหากันอยู่!” แววตาของตู้ชิงหยูเต็มไปด้วยความเยาะหยัน

“ข้ารู้สึกได้ว่ามารดาน่าจะรับรู้เรื่องนี้แล้ว นางจึงได้เศร้าใจ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงมีแต่ทางตัน ข้าจึงตัดสินใจเอาจดหมายให้มารดาดู เล่าให้นางฟังว่าท่านพ่อยอมหย่าแล้ว ข้าอยากพานางไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับข้า”

“นั่นเป็นการตัดสินใจที่เลวร้ายที่สุดที่ข้าเคยทำมาในชีวิต ข้าเสียใจมาก..เสียใจมาตลอด” ในขณะที่พูดร่างกายของนางสั่นเทา เรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่เกินขีดจำกัดความอดทนของนางแล้ว

กู้หวนอวี้เดินไปนั่งข้างๆ เขาตบหลังปลอบโยนนางเบาๆ

“ท่านแม่มองจดหมาย..ท่าทีของนางสงบนิ่งมาก นางพูดแต่ว่าจะคิดดูก่อน…วันรุ่งขึ้นพอข้าเปิดประตูบ้านก็เห็นท่านแม่ใช้ผ้าขาวผูกคอ..”

ภาพนั้นยังฝังลึกอยู่ในความทรงจำของนางไม่รู้ลืม

นางลืมไม่ได้ และไม่เคยอนุญาติให้ตนเองลืม นั่นเป็นสิ่งเตือนใจว่านางทำผิดพลาด!

ตู้ชิงหยูมองกู้หวนอวี้อย่างเศร้าโศก

“เป็นข้าที่ฆ่านาง ข้าไม่ใช่คนดิบดีอะไรเลย…” ท่าทางเฉลียวฉลาด มีคุณธรรมนั่นเป็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอก แต่แท้จริงแล้วนางเป็นคนฆ่ามารดาของตนเอง