รัชศกถงไท่ปีที่ห้า เดือนหนึ่ง ราชทูตแห่งต้ายง โก่วเหลียนขอเข้าเฝ้า โก่วเหลียนใช้ทองคำมหาศาลติดสินบนบรรดาขุนนาง ยามนี้เจ้าแคว้นยังเยาว์วัย อัครมหาเสนาบดีซั่งเหวยจวินยึดครองราชสำนัก โก่วเหลียนเจรจาเป็นการลับหลายครั้ง อัครมหาเสนาบดีซั่งหวั่นเกรงลู่ช่านจะสร้างความดีความชอบเกินหน้าเกินตา จึงหยุดยั้งเขามิให้ออกศึกจนเสียโอกาสดี สิ่งนี้เป็นความผิดมิอาจอภัยโดยแท้
…พงศาวดารฉู่ราชวงศ์หนาน พระประวัติฉู่หมิ่นอ๋อง
ข้ามองข่าวกรองในมือ เมื่ออ่านจบก็แทบจะครวญครางออกมา ฉีอ๋องฉวยจดหมายไปแล้วกล่าวกับข้าว่า “สุยอวิ๋น คิดไม่ถึงว่าแผนการของท่านช่างอำมหิตนัก ทำเช่นนี้ยอดแม่ทัพใต้บัญชาของหลงถิงเฟยก็ตายหนึ่ง เจ็บหนึ่ง”
ข้าได้แต่แก้ตัวอย่างหน้าซีดและไร้เรี่ยวแรง นี่มิใช่สิ่งที่ข้าวางแผนเสียหน่อย ความจริงแล้วแผนการของซูชิงหัวหน้าหน่วยสอดแนมเป่ยฮั่นอำมหิตกว่าและอันตรายกว่าแผนการที่ข้าวางไว้ แต่ผลลัพธ์ก็สมบูรณ์แบบยิ่งกว่าด้วย ไม่เพียงใส่ร้ายสืออิงและทำให้ต้วนอู๋ตี๋ชื่อเสียงมัวหมองสำเร็จ แต่ยังเล่นงานชื่อเสียงของหลงถิงเฟยได้อีกด้วย
หากมิใช่ว่าระหว่างทางที่ซูชิงพาสายลับยอดฝีมือจำนวนหนึ่งกลับเจ๋อโจว พวกเขาถูกชิวอวี้เฟยพบเข้าจนโรมรันกันอย่างดุเดือด แม้อาศัยวรยุทธ์อันโดดเด่นของซูชิงกับสายลับยอดฝีมือทั้งหลาย แล้วยังมีคนของฝั่งเจ๋อโจวมารับทันเวลาจนสุดท้ายชิวอวี้เฟยล่าถอยไป แต่ก็เสียหายอย่างสาหัส แผนการครั้งนี้ก็คงถูกซูชิงจัดการได้อย่างสมบูรณ์แบบอย่างยิ่งจริงๆ
แต่ข้ารู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะอยู่ในใจ นี่ดูเหมือนมิใช่ความผิดของซูชิง ข้าเป็นผู้ปล่อยชิวอวี้เฟยไปเอง แม้มิทราบว่าคนผู้นี้เหตุใดจู่ๆ ก้าวหน้ากลายเป็นยอดฝีมือผู้กลืนเป็นหนึ่งกับธรรมชาติได้ แต่ดูเหมือนมันจะเป็นความผิดของข้าที่ทำให้ซูชิงเสียกำลังคนอย่างหนักหนาสาหัส
กล่าวไปแล้วแม้พรรคมารจะหนุนหลังเป่ยฮั่น แต่จิงอู๋จี๋ก็เป็นเพียงขุมกำลังที่คอยข่มขวัญเท่านั้น บุคคลระดับเขา หากออกโรงมาสังหารศัตรู หรือลอบสังหารด้วยตนเอง เกรงว่าทหารและประชาชนเป่ยฮั่นคงรู้สึกว่ายอดหอคอยของเป่ยฮั่นกำลังจะเอนล้มลงแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น หากจิงอู๋จี๋ไม่ลงมือ ยอดฝีมือระดับปรมาจารย์ฝั่งพวกเราก็จะไม่ลงมือเช่นกัน ดังนั้นหากไม่ถึงห้วงเวลาวิกฤต จิงอู๋จี๋ไม่มีทางลงมือ
เมื่อเทียบกันแล้ว ศิษย์คนอื่นของพรรคมารเป็นภัยคุกคามต่อพวกเรามากกว่าเสียอีก ตัวอย่างเช่นชิวอวี้เฟย ผู้ใดจะคาดคิดว่าเขาจะก้าวหน้าในทางวรยุทธ์อย่างฉับพลันจนก้าวเข้าสู่ขอบขั้นเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติที่มีผู้บรรลุขั้นนับนิ้วได้ เป็นเช่นนี้ซูชิงจะพลาดท่าก็ไม่แปลก
ข้านึกเสียใจอยู่เล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นจะสังหารชิวอวี้เฟยก็มิได้ ข้าทำได้เพียงปล่อยวางความจริงที่เกิดขึ้นแล้วและเตรียมตัวจัดการเรื่องที่กำลังจะเกิดต่อไป
ข้าตัดสินใจเรียกซูชิงเข้ามาในกองทัพหลวง ถึงอย่างไรอีกไม่นานกองทัพหลวงก็จะยกพลโจมตีเป่ยฮั่น ในเมื่อตัวตนของซูชิงถูกเปิดเผยแล้ว ถ้าเช่นนั้นเก็บนางไว้เป็นที่ปรึกษาในกองทัพหลวงจะเหมาะสมกว่าอยู่บ้าง สตรีนางนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ นางแฝงตัวอยู่ในเป่ยฮั่นได้หลายปีโดยไม่เผยช่องโหว่แม้แต่น้อย ครั้งนี้ยังเอาตัวเข้าถ้ำเสือ ชั้นเชิงในการแสร้งเปิดเผยความลับก็ทำได้ยอดเยี่ยมนัก ทำให้ข้านับถือยิ่งนักจริงๆ
ข้าเรียบเรียงข่าวกรองเสร็จก็สั่งฮูเหยียนโซ่วให้เรียกซูชิงเข้ามา ซูชิงเปลี่ยนมาสวมอาภรณ์บุรุษสีเขียวแล้ว แม้เรือนร่างอ้อนแอ้นแต่แลดูกล้าแกร่งทระนงดั่งดอกเหมยเหมันต์ นางก้าวเข้ามาในกระโจมของข้าด้วยสีหน้าเฉยชา คุกเข่าลงคารวะแล้วโขกศีรษะกล่าวว่า “ผู้น้อยซูชิง คารวะฉู่เซียงโหวผู้ตรวจการกองทัพ ผู้น้อยขัดคำสั่งใต้เท้าเปลี่ยนแผนการโดยพลการจนทำให้สหายร่วมรบมากมายต้องพบภัย ขอใต้เท้าโปรดลงโทษ” กล่างจบก็ไอออกมาเบาๆ สองสามหน สีหน้ายิ่งซีดเผือดดั่งหิมะ
ข้าถอนหายใจมองชื่นชมสตรีนางนี้ คนผู้นี้คือยอดสตรี หกปีก่อนเคยเฉิดฉายอยู่ในยุทธภพของต้ายง ทั้งร่างสวมอาภรณ์สีเขียวคราม มิเคยปกปิดฐานะสตรีเพศ ฝีมืออำมหิต แต่ดำรงตนเปิดเผย มิเคยเผยใบหน้าจริงมาพบผู้คน เพียงครึ่งปีสั้นๆ ก็มีชื่อเสียงขจรขจาย
ทว่าหลังจากนั้นก็เข้ามาอยู่ใต้บัญชาของยงอ๋อง ขันอาสาไปเป็นสายลับในเป่ยฮั่น คุณงามความชอบโดดเด่น ภายในเวลาไม่กี่ปีก็กลายเป็นหัวหน้าหน่วยสอดแนมในเป่ยฮั่น มิว่าความสามารถ หรือความภักดี ล้วนเป็นอันดับหนึ่งในหมู่สายลับ ครั้งนี้ยังสร้างผลงานใหญ่หลวง ทว่าสีหน้าของนางกลับไม่มีทั้งความลำพองและไม่มีทั้งความกังวลที่ฝ่าฝืนคำสั่งโดยพลการ ขนงโก่งแพรเขียวช่างไม่ธรรมดาเสียจริง
ในใจของซูชิงมิได้เยือกเย็นดั่งเช่นที่แสดงออกมาภายนอก ความจริงแล้วนางหวาดวิตกอยู่ แม้ใต้เท้าเจียงผู้นี้จะพูดจาอ่อนโยนสุภาพ แต่ในฐานะหัวหน้าหน่วยสอดแนมของสายลับเป่ยฮั่น นางย่อมทราบเรื่องราวเบื้องหลังในราชสำนักมามากมายยิ่งนัก วิธีลงมือของคนผู้นี้เป็นเช่นไร นางรู้แจ้งแก่ใจ หากมิใช่ว่าระหว่างนางกับต้วนอู๋ตี๋มีความขัดแย้งกันอยู่และสืออิงตกหลุมรักตนอย่างไม่คาดคิด นางก็คงมิกล้าเปลี่ยนแผนการโดยพลการเด็ดขาด
ทว่าหลังจากแผนการสำเร็จ นางกลับยิ่งกังวลถึงจุดจบของตนเอง ผู้ชาญฉลาดทั้งหลายมักเกลียดที่สุดยามเรื่องราวหลุดจากการควบคุม การกระทำของตนน่ากลัวว่าจะแตะถูกเกล็ดย้อนของคนผู้นี้ อีกทั้งเขามิต้องสรรหาความผิดอันใดให้ เพียงเรื่องที่ยอดฝีมือใต้บัญชาของตนถูกชิวอวี้เฟยเล่นงานบาดเจ็บล้มตายไปเกือบครึ่งก็เอาโทษตนเองได้แล้ว
ข้ากลับคิดไม่ถึงว่านางจะมีความคิดเช่นนั้น สำหรับข้าแล้ว ผู้ใต้บัญชาปรับเปลี่ยนการกระทำได้ตามสถานการณ์ นั่นย่อมเป็นสิ่งดีที่สุด แต่ในเมื่อกล้าเปลี่ยนแปลงแผนการก็ต้องกล้าแบกรับผลที่ตามมา หากล้มเหลวย่อมต้องได้รับโทษหนักหนา แต่หากสำเร็จก็สมควรได้รับรางวัล ซูชิงทำสำเร็จมากกว่าล้มเหลว ข้าย่อมต้องมอบรางวัลให้
ข้าถอนหายใจแผ่วเบาแล้วกล่าวว่า “เรียกมาครั้งนี้มิได้จะตำหนิเจ้า แม้เจ้าเปลี่ยนแปลงแผนการโดยพลการ แต่กลับได้ผลลัพธ์ยอดเยี่ยมกว่าที่ข้าคาดการณ์เอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังเสียสละมากมายนัก ข้าจะกล่าวโทษเจ้าได้เช่นไร ส่วนเรื่องที่ชิวอวี้เฟยตามไล่ล่าสังหารเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดมาก่อน ครั้งนี้นับว่าได้กำไรมากกว่าเสียหาย เจ้ามิต้องตำหนิตนเองมากเกินไป ข้าให้เสี่ยวซุ่นจื่อส่งยารักษาอาการบาดเจ็บไปให้ เจ้าได้ใช้แล้วหรือยัง”
ดวงตาของซูชิงฉายแววซาบซึ้ง กล่าวว่า “ผู้น้อยขอบพระคุณใต้เท้าที่มิถือโทษ ยารักษาอาการบาดเจ็บได้ผลดียิ่งนัก”
เสี่ยวซุ่นจื่อสอดปากขึ้นมา “หัวหน้าหน่วยสอดแนมซู รอเจ้าหายดีแล้ว ข้าต้องการประมือกับเจ้า ดูสักหน่อยว่าฝีมือของชิวอวี้เฟยเวลานี้เป็นเช่นไร”
ซูชิงตอบอย่างรวดเร็ว “ผู้น้อยรับมือชิวอวี้เฟยเพียงหนึ่งร้อยกระบวนท่าก็พ่ายแพ้บาดเจ็บ ผู้น้อยไร้ความสามารถ ขอใต้เท้ากับท่านหลี่โปรดอภัย”
ข้าสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง หลังจากเสี่ยวซุ่นจื่อสันนิษฐานว่าชิวอวี้เฟยก้าวเข้าสู่ขอบขั้นเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติแล้ว จิตใจข้าก็ไม่สงบ แต่ซูชิงสตรีนางหนึ่งกลับรับกระบวนท่าของยอดฝีมือระดับนั้นได้หนึ่งร้อยกระบวนท่า วรยุทธ์เช่นนี้มิธรรมดา ช่างเป็นวีรสตรีในหมู่อิสตรีเสียจริง เพียงแต่จวบจนวันนี้ก็ยังเดียวดายไร้คู่ครอง ช่างน่าสงสารและน่าเสียดายโดยแท้
ในใจข้าคิดว่าจะเป็นพ่อสื่อให้นางดีหรือไม่ แต่ก็มิกล้าเผยความคิดเช่นนี้ออกไปเพราะมิต้องการให้นางคิดว่าข้าจุ้นจ้าน จึงพูดเพียงว่า “หัวหน้าหน่วยซู ยามนี้เป่ยฮั่นคงกำลังทุ่มสุดกำลังกวาดล้างสายลับของฝ่ายเราเป็นแน่ ยิ่งไปกว่านั้นยามนี้ศึกใหญ่ใกล้อุบัติ เจ้ามิจำเป็นต้องกลับไปอีกแล้ว รอกองทัพเราเข้าโจมตีเป่ยฮั่น เจ้าก็ค่อยออกเดินทางไปกับกองทัพ คอยบัญชาการสายลับที่ซุ่มซ่อนอยู่ของฝ่ายเราและควบคุมข่าวสารเถิด ค่ายทหารสอดแนมของฝั่งเรามอบหมายให้เจ้าดูแล เจ้ายินดีหรือไม่”
ซูชิงมีสีหน้ายินดี ก่อนกลับมานางคิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่าจะได้รับมอบหมายหน้าที่สำคัญเช่นนี้ นางรีบโขกศีรษะขอบคุณ “ขอบพระคุณใต้เท้าที่เมตตา ผู้น้อยจักทำหน้าที่สุดกำลัง”
เมื่อซูชิงถอยออกไปแล้ว ข้าจึงผ่อนลมหายใจ เอ่ยกับเสี่ยวซุ่นจื่อว่า “เรื่องดำเนินมาถึงวันนี้ก็เตรียมการได้พอประมาณแล้ว ศึกใหญ่กำลังจะอุบัติ ไปเชิญฉีอ๋อง แม่ทัพเซวียนกับจิงฉือเข้ามา พวกเราต้องหารือกันสักหน่อยว่าจะบุกเป่ยฮั่นอย่างไร แล้วชื่อจี้จะเดินทางมาเมื่อใด ข่าวทางตงชวนกับหนานฉู่ส่งมาแล้วหรือไม่”
เสี่ยวซุ่นจื่อตอบว่า “ชื่อจี้รับคำสั่งของคุณชายเดินทางไปรวบรวมข่าวที่หนานฉู่ จึงพบว่าสาเหตุที่ครานี้มิได้ข่าวการเคลื่อนไหวผิดแปลกของสำนักเฟิงอี้เพราะว่าครั้งนี้เหวยอิงเคลื่อนไหวอย่างเร้นลับมากจริงๆ อีกทั้งหอกลไกสวรรค์ก็มิสะดวกสอดมือเข้าไปยุ่งมากเกินไป ชื่อจี้เตรียมการเพื่อจับตาดูสำนักเฟิงอี้ไว้แล้ว คิดว่าคงไม่พลาดเช่นครั้งนี้อีก แล้วก็หัวหน้าหานมิได้คิดเปลี่ยนฝ่ายเพราะเรื่องที่ตงชวน ดังนั้นชื่อจี้จึงเร่งรีบออกเดินทางมาเจ๋อโจวแล้ว คาดว่าภายในสองสามวันนี้น่าจะมาถึง
ต่งเชวียถึงตงชวนแล้ว เฉินเจิ่นซาบซึ้งบุญคุณของคุณชายนัก อีกทั้งเขาไม่เชื่อคำสัญญาของชิ่งอ๋อง เขาต่างจากหานอู๋จี้ เขามิได้มีความผูกพันกับแคว้นสู่เท่าใดนัก ดังนั้นสถานการณ์ทางตงชวนจึงยังมั่นคงอยู่ ตอนนี้บรรลุข้อตกลงกับชิ่งอ๋องแล้ว เชื่อว่าอีกไม่นานจะเข้าไปยังใจกลางอำนาจของชิ่งอ๋องได้ แต่หากชิ่งอ๋องเคลื่อนไหวเร็วเกินไป เกรงว่าพวกเขาคงจะเข้าไปคุมกำลังสำคัญของชิ่งอ๋องมิทันกาล”
ข้าตอบอย่างนิ่งสงบ “เรื่องนี้เจ้าวางใจได้ เซี่ยโหวหยวนเฟิงมิใช่สัตว์กินพืช เขาเริ่มลงมือกับชิ่งอ๋องแล้ว ให้ต่งเชวียติดต่อเขา ต้องทำให้ขุมกำลังที่ชิ่งอ่องพึ่งพาเสียหายหนัก เขาจึงจะยิ่งพึ่งพากลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว หากชิ่งอ๋องต้องการพบฮั่วจี้เฉิงก็บอกว่าฮั่วจี้เฉิงมิสะดวกเผยหน้า เมื่อใดที่ชิ่งอ๋องชูธงกบฏ ฮั่วจี้เฉิงจึงจะปรากฏตัว ถึงอย่างไรชิ่งอ๋องก็น่าจะทราบว่ากลุ่มอำนาจแคว้นสู่เดิมไม่มีทางเชื่อใจเขาอย่างสมบูรณ์”
เสี่ยวซ่นจื่อหัวเราะพรืดแล้วกล่าวว่า “ผู้ที่มิใช่สัตว์กินพืช ใช่เพียงเซี่ยโหวหยวนเฟิงเสียที่ไหน ฝ่าบาทเองก็มิใช่สัตว์กินพืชเช่นกัน สารที่พระองค์ให้ใต้เท้าสือเขียนมาก็คือการสั่งให้ท่านรีบถวายแผนการ เพียงแต่ไม่กล่าวโต้งๆ ก็เท่านั้น”
ข้าหัวเราะจืดเจื่อนแล้วกล่าวว่า “มิรู้ว่าชาติก่อนข้าติดค้างพวกเขาพี่น้องหรืออย่างไร ข้าถือตัวว่าชาญฉลาด แต่พวกเขาสองคนดันมองข้าออกอย่างง่ายดาย”
เวลานี้เอง นอกกระโจมก็มีเสียงหัวเราะกังวานดังขึ้น “พูดอันใดเล่า หากฝ่าบาทมองท่านออกจริงก็คงมิต้องยอมแพ้อยู่ร่ำไปแล้ว ใต้หล้ามีเจ้าแผ่นดินสักกี่คนเป็นเช่นฝ่าบาท ยอมปล่อยให้ท่านทำตามใจเสมอ เรื่องใดก็ตาม ท่านไม่กล่าว ฝ่าบาทก็มิถาม ความเชื่อใจเช่นนี้ แม้แต่ข้ายังอิจฉา”
หลังจากนั้นฉีอ๋องก็ก้าวยาวเดินเข้ามา ยักคิ้วหลิ่วตา เอ่ยว่า “สุยอวิ๋น ดูท่านสงสารซูชิงมากทีเดียว อย่างไรดี จะให้ข้าเป็นพ่อสื่อให้ท่านดีหรือไม่ ฉางเล่อจิตใจดีงามนัก มิมีทางกล่าวโทษท่านแน่นอน”
ข้าตีหน้าเคร่งขรึม “องค์ชายอย่าได้กล่าวเหลวไหล หากแม่นางซูได้ยินเข้าไฉนมิผิดหวัง นางหาใช่ผู้ใช้เรือนร่างแลกความโปรดปรานไม่”
หลี่เสี่ยนถูกข้าโต้เถียงก็เอ่ยอย่างละอาย “ข้าก็เพียงหวังดี จนวันนี้ซูชิงก็ยังเดียวดายตัวคนเดียว สตรีนางหนึ่งต้องทนลำบากเช่นนี้ ข้าก็ทนมองมิไหว นางมีเล่ห์เหลี่ยมเพทุบายปานนี้ หากมิใช่ท่าน ผู้ใดจะรับมือได้กันเล่า”
ข้าเอ่ยอย่างเย็นชา “ข้ายังต่อกรกับองค์ชายมิได้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับนาง เอาเช่นนี้ ข้าขอให้ฉางเล่อกราบทูลฝ่าบาท หมั้นหมายนางเป็นพระชายาของท่านอ๋องเป็นเช่นไร”
หลี่เสี่ยนตกใจสะดุ้งโหยง “อย่าๆ ข้าเพียงล้อเล่น ซูชิงผู้นี้น่ากลัวยิ่งนัก ข้ามิกล้าล่วงเกินหรอก อีกประการหนึ่ง ยามนี้นางมีฐานะเป็นแม่ทัพขั้นสาม ย่อมมิอาจนำนางมาล้อเล่นได้”
ข้าถลึงตาใส่ฉีอ๋อง แล้วผู้ใดเปิดประเด็นขึ้นมาก่อนมิทราบ แต่ข้าก็เอ่ยอย่างประหลาดใจต่อ “ข้ากำลังคิดจะให้เสี่ยวซุ่นจื่อส่งคนไปเชิญองค์ชาย เซวียนซงกับจิงฉือมาพอดี เหตุไฉนองค์ชายกลับมาหาก่อน มีเรื่องอันใดหรือ”
ฉีอ๋องทำสีหน้าจริงจัง เอ่ยว่า “มิมีเรื่องอันใด เพียงแต่คิดจะหารือเรื่องการยกทัพออกศึกกับท่านสักหน่อย”
ข้าหัวเราะ “ข้ากำลังคิดเช่นนั้นพอดี รอแม่ทัพทั้งสองมาถึงแล้ว พวกเราค่อยหารือกันเถิด แต่เรื่องเหล่านี้ องค์ชายก็รับมือไหวอยู่แล้ว เจียงเจ๋อคงได้แต่ฟังเท่านั้น”
ฉีอ๋องจึงตอบว่า “ตอนข้ามา ส่งคนไปแจ้งพวกเขาแล้ว อีกไม่นานคงมาถึง”
เวลานี้เองนอกกระโจมพลันมีเสียงองครักษ์รายงาน “แม่ทัพจิง แม่ทัพเซวียนขอเข้าพบ”
ข้ากับฉีอ๋องยิ้มให้กัน การยกพลใหญ่บุกตีเป่ยฮั่นจ่ออยู่ตรงหน้าแล้ว ศึกที่จะตัดสินโชคชะตาของต้ายงกำลังจะเริ่มต้น หากศึกนี้สู้รบสิ้นสุดไว ใต้หล้าก็จะไม่มีผู้ใดขัดขวางการรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งของต้ายงได้อีก หากกลายเป็นการต่อสู้ยืดเยื้อกินเวลานาน ถ้าเช่นนั้นต้ายงก็จะถูกรุมโจมตี ศึกนี้จึงสำคัญยิ่งนัก