หนานฉู่ ลู่ช่านขว้างราชโองการลงพื้นอย่างเกรี้ยวกราด ทั้งที่วางแผนไว้อย่างดีแล้วว่าเมื่อต้ายงกับเป่ยฮั่นเปิดศึก ตนจะมอบแนวป้องกันสู่จงให้ผู้ใต้บัญชาดูแล แล้วนำกองทัพใหญ่ข้ามลำน้ำโจมตีต้ายง นี่เป็นโอกาสแย่งชิงใต้หล้าเพียงหนึ่งเดียวของหนานฉู่
หากพลาดโอกาสนี้ไป ไม่มีทหารอาชาเหล็กของเป่ยฮั่นถ่วงรั้ง หนานฉู่คงทำได้อย่างมากสุดเพียงยึดครองเจียงหนาน แต่โก่วเหลียนราชทูตแห่งต้ายงกลับใช้เงินทองกับคำขู่ข่มขวัญบรรดาขุนนางในราชสำนักได้อย่างง่ายดายดั่งยกฝ่ามือ ลู่ช่านมองราชโองการห้ามมิให้ตนออกศึกฉบับนั้น ฉับพลันรู้สึกว่าทั้งร่างไร้เรี่ยวแรงอย่างแท้จริง
เวลานี้เองก็มีคนมารายงาน “ท่านแม่ทัพ เจ้าตำหนักเฉินมาขอพบ”
ลู่ช่านขมวดคิ้ว ในใจคิดว่าเหวยอิงมาได้เช่นไร อาการบาดเจ็บของเขายังไม่ทันหายดี ยิ่งไปกว่านั้น เพราะความพ่ายแพ้ย่อยยับที่ตงไห่ อำนาจมากมายของเขาจึงถูกตำหนักเฟิ่งอู่กับตำหนักอี๋หวงเข้ายึดครอง ยามนี้เป็นช่วงเวลาเก็บเนื้อเก็บตัว เหตุใดเขาจึงเดินทางมาพบตนได้เล่า ทว่าถึงแม้ดูแคลนนิสัยของเหวยอิง แต่ลู่ช่านก็เห็นค่าความสามารถของเขาอยู่พอสมควร จึงออกคำสั่งให้เหวยอิงเข้ามา
เหวยอิงสีหน้าซีดเซียวเล็กน้อย ถึงอย่างไรการหลบหนีจากทะเลเพลิงย่อมมิง่ายดายปานนั้น ระหว่างทางยังพบการไล่ล่าตามจับของต้ายงอีก ปลอดภัยกลับมาหนานฉู่ก็มิง่ายแล้ว เขาคำนับลู่ช่านอย่างนิ่งสงบแล้วคลี่ยิ้ม เอ่ยว่า “แม่ทัพลู่คงจะปวดเศียรยิ่งนัก มิทราบว่าข้าขอแนะนำได้หรือไม่”
ลู่ช่านกล่าวอย่างเฉยชา “เจ้าตำหนักเหวยมีความเห็นสูงส่งประการใด ราชสำนักมีราชโองการออกมาแล้ว ข้ายังจะขัดราชโองการได้หรือ”
เหวยอิงยิ้ม “ท่านแม่ทัพช่างยึดติดเกินไปแล้ว ขัดขืนราชโองการแล้วเป็นเช่นไร บิดาของท่านมิข้องเกี่ยวกับกองทัพนานแล้ว อำนาจทหารของหนานฉู่แบ่งเป็นสามฝ่าย ท่านแม่ทัพครองอยู่สองฝ่าย หรงเยวียนแม่ทัพผู้พิทักษ์จิงเซียงมีบารมีสู้ท่านแม่ทัพมิได้ ยามปกติส่วนมากล้วนฟังคำสั่งการของท่านแม่ทัพ
หากท่านแม่ทัพมีความประสงค์ ข้ายินดีช่วยเหลือท่านแม่ทัพกวาดล้างขุนนางข้างกายเจ้าแคว้น กำจัดเสนาบดีชั่วผู้ถ่วงรั้งแว่นแคว้น นับจากนี้ท่านแม่ทัพย่อมดำเนินแผนการอันยิ่งใหญ่ได้ เหวยอิงก็จะเกาะหางอาชาได้ชำระแค้นอันใหญ่หลวง ความตั้งใจนี้ของเหวยอิง นภาและตะวันเป็นพยาน มิทราบท่านแม่ทัพคิดเห็นเช่นไร”
ลู่ช่านตบโต๊ะลุกขึ้นยืน ผรุสวาทว่า “เหวยอิง ท่านเอ่ยวาจาขาดความอกตัญญูไร้ความภักดีเช่นนี้ออกมาได้เช่นไร ยามนั้นพวกท่านตกยากมาถึงแคว้นแห่งนี้ หากมิใช่เพราะอัครมหาเสนาบดีซั่งกับเจ้าแคว้นเมตตา พวกท่านไหนเลยจะปักหลักในหนานฉู่สำเร็จ ยามนี้เพิ่งได้อำนาจมาก็ทำเรื่องเนรคุณเช่นนี้แล้ว อย่าโทษหากข้าจะตัดรอนไมตรี จับตัวท่านส่งให้อัครมหาเสนาบดีซั่ง ให้เขาเห็นโฉมหน้าอัปลักษณ์ของสำนักเฟิงอี้ของพวกท่าน”
เขาโกรธจัดครานี้ องครักษ์นอกกระโจมพลันจับอาวุธพุ่งเข้ามา องครักษ์คนสนิทของลู่ช่านมองเหวยอิงอย่างเย็นชาแล้วกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพ คนผู้นี้ล่วงเกินท่านแม่ทัพหรือ ขอท่านแม่ทัพออกคำสั่ง”
ใบหน้าของเหวยอิงแฝงรอยยิ้มเยาะหยัน กล่าวว่า “แม่ทัพลู่ อยากสังหาร อยากจับกุมก็รอให้ข้ากล่าวถ้อยคำจากใจจริงให้จบก่อนเถิด หรือท่านแม่ทัพมิกล้าฟังคำพูดเพ้อเจ้อของข้าเล่า”
ลู่ช่านสีหน้าเคร่งขรึม โบกมือสั่งองครักษ์คนสนิทให้ถอยออกไปแล้วกล่าวว่า “เหวยอิง หนานฉู่มิใช่ต้ายง ข้าหวังว่าท่านจะรู้จักทำตัวให้ดี”
เหวยอิงยิ้มละไม กล่าวขึ้นว่า “ท่านแม่ทัพอยากทราบหรือไม่ว่าโก่วเหลียนเจรจาอันใดเป็นการลับกับอัครมหาเสนาบดีซั่ง”
ลู่ช่านประหลาดใจ ถามขึ้นว่า “ท่านรู้ความลับสำคัญเช่นนั้นได้อย่างไร”
เหวยอิงมิตอบ แต่เลียนเสียงของโก่วเหลียนเอ่ยขึ้นว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดีเป็นถึงพระอัยกาของเจ้าแคว้น ชาติตระกูลสูงส่ง ฐานะสูงศักดิ์เหลือจะกล่าวอย่างแท้จริง ทว่าอำนาจในการปกครองแว่นแคว้นมิได้ขึ้นอยู่กับขุนนางบุ๋น แต่อยู่ที่แม่ทัพใหญ่ผู้ปกครองเหล่าทหาร ยามนี้แคว้นของท่านอำนาจทหารแบ่งเป็นสามส่วน ลู่กงกับบุตรชายกุมอำนาจสองส่วนเอาไว้ หรงเยวียนผู้พิทักษ์จิงเซียงกุมอำนาจหนึ่งส่วน ทหารในมือท่านอัครมหาเสนาบดีควบคุมเจี้ยนเย่ได้เพียงเมืองเดียวเท่านั้น เทียบกับท่านลู่กง ลู่ซิ่น แม่ทัพลู่ลู่ช่านกับแม่ทัพหรงแล้วเล็กน้อยจนมองข้ามได้
แม้ลู่กงภักดีเจ้าแผ่นดินรักแว่นแคว้น แต่ถึงอย่างไรย่อมไม่มีทางสร้างความลำบากให้บุตรชายของตน แม่ทัพหรงเองก็ฟังคำสั่งแม่ทัพลู่อยู่มาก หากแม่ทัพลู่เกิดคิดกบฏขึ้นมา แผ่นดินแคว้นท่านก็คงถึงเวลาผลัดเปลี่ยนในบัดดล แต่ต่อให้แม่ทัพลู่มิมีใจคิดกบฏ ท่านอัครมหาเสนาบดีก็ต้องป้องกันไว้ก่อน
ยามนี้ต้ายงของข้ามีศึกที่ชายแดนเหนือ แม่ทัพลู่อายุน้อยจึงเลินเล่อ ไร้ความกลัวดั่งตั๊กแตนยกขาขวางรถ ถึงขั้นหมายมาดข้ามแม่น้ำบุกตีแคว้นข้า หากฝ่ายท่านพ่ายแพ้ จักรพรรดิต้ายงของข้าย่อมโกรธจัด เมื่อจบศึกทางเหนือแล้วย่อมต้องทวงถามความผิด ถึงยามนั้นสองแคว้นยกทัพรบกัน โลหิตนองเป็นสายน้ำ ภาพความย่อยยับในวันวานคงปรากฏอีกหน มิหนำซ้ำเจ้าแคว้นของแคว้นท่านยังมีพี่น้องเป็นตัวประกันอยู่ในแคว้นของพวกเรา หากจักรพรรดิพิโรธหนักแต่งตั้งเจ้าแคว้นองค์ใหม่มา เจ้าแคว้นของท่านกับท่านอัครมหาเสนาบดีจะเป็นเช่นไร
หากฝ่ายท่านชนะ ต้ายงของพวกเราเผชิญศึกสองฝั่งอาจต้องถอยทัพชั่วคราว ทว่าต้ายงมีทหารเรือนล้าน เสบียงและเงินทองพรั่งพร้อม แม้พ่ายแพ้ชั่วครั้งชั่วคราวแต่ไม่มีทางเสียหายถึงรากฐาน ทว่าแม่ทัพลู่ย่อมสร้างชื่อจากชัยชนะครั้งใหญ่ ความดีความชอบสั่นคลอนตำแหน่งเจ้าแผ่นดิน แม้แม่ทัพลู่เดิมทีมิมีใจคิดกบฏ ถึงเวลานั้นก็คงยากจะไม่เกิดใจคิดเป็นอื่น
ท่านอัครมหาเสนาบดีขัดขวางแม่ทัพลู่ทุกครั้งทุกครา ถึงเวลานั้นแม่ทัพลู่ยกธงกวาดล้างขุนนางข้างกายเจ้าแผ่นดิน น่ากลัวว่าทั่วทั้งหนานฉู่คงแซ่ซ้องขานรับ ท่านอัครมหาเสนาบดีคงตายไร้ที่ฝังร่าง แม้แต่เชื้อพระวงศ์แคว้นท่านก็คงเป็นปลาติดร่างแห ดังนั้นหากสองแคว้นรบกัน มิว่าชนะหรือปราชัย ล้วนไม่มีประโยชน์ใดต่อท่านอัครมหาเสนาบดี
ท่านอัครมหาเสนาบดีปรารถนาเพียงเกียรติยศความมั่งคั่ง วันใดทหารขึ้นปกครอง อำนาจของท่านอัครมหาเสนาบดีย่อมสลายกลายเป็นความว่างเปล่า สิ่งที่ท่านอัครมหาเสนาบดีควรทำมีเพียงเจรจาเท่านั้น
ในอดีตยามแคว้นท่านพ่ายศึกเคยสัญญาว่าจะส่งเงินชดเชยให้ทุกปี จวบจนวันนี้ทหารและชาวประชาแคว้นท่านก็ยังคงเสียหายหนักหนาอยู่ หากท่านอัครมหาเสนาบดีใช้สิ่งนี้เป็นเงื่อนไขเจรจากับแคว้นข้า ฝ่าบาทของแคว้นเราจะตกลงลดละเว้นเงินชดเชยเพื่อศึกทางเหนือให้แน่นอน ถึงยามนั้นราชสำนักย่อมชื่นชมคุณงามความชอบของท่านอัครมหาเสนาบดี เป็นเช่นนี้ไยมิดีกว่าทำศึกให้เสียหาย
หากท่านอัครมหาเสนาบดีตกลง แคว้นข้ากับแคว้นท่านอาจยังผูกสัมพันธ์เกี่ยวดองกันได้อีกหน ฝ่าบาทของข้ายินดีให้ธิดารักหมั้นหมายกับเจ้าแคว้นของแคว้นท่าน เมื่อองค์หญิงเติบใหญ่ถึงวัยปักปิ่น สองแคว้นก็แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กัน เป่ยฮั่นมีทหารแข็งแกร่ง ไม่มีแปดปีสิบปีคงมิอาจเผด็จศึกได้ ฝ่าบาททรงกังวลเรื่องศึกทางเหนือ จึงหวังจะเจรจากับหนานฉู่ มิทราบว่าท่านอัครมหาเสนาบดีคิดเห็นเช่นไร”
ยามแรกลู่ช่านยังไม่เข้าใจอยู่บ้าง แต่เมื่อฟังได้สองสามประโยค สีหน้าพลันถมึงทึง เมื่อเหวยอิงกล่าวจบ เขาก็ถอนหายใจกล่าวขึ้นว่า “อัครมหาเสนาบดีซั่งคงตกลงเป็นแน่”
เหวยอิงเอ่ยอย่างเย็นชา “โก่วเหลียนผู้นี้มีลิ้นสาลิกา ในอดีตซั่งเหวยจวินเคยถูกต้ายงจับตัวเป็นเชลย ไม่เหลือความกล้ามานานแล้ว คิดแต่อยากจะอยู่อย่างสงบ นับประสาอะไรกับเมื่อท่านแม่ทัพกุมทหารไว้ในมือมากมาย อัครมหาเสนาบดีซั่งระแวงอยู่เป็นทุนเดิม ลู่กงก็นอนป่วยลุกไม่ขึ้น ยามนี้การเจรจาสำเร็จลุล่วงแล้ว หากท่านแม่ทัพมิใช้กำลังทหารโน้มน้าวคงไม่มีโอกาสกอบกู้สถานการณ์แน่”
ลู่ช่านสีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “วันนี้ท่านมาที่นี่เป็นเจตนาของท่านเพียงคนเดียว หรือเป็นเจตนาของสำนักเฟิงอี้ด้วย”
เหวยอิงสีหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย กล่าวว่า “พวกนางหวาดกลัวอำนาจทหารของต้ายง ไฉนจะกล้าเปิดศึกกับต้ายง คิดแต่จะใช้เล่ห์กลอุบาย พวกนางไร้ความกล้าจะเข้าร่วมเข่นฆ่าในสนามรบ ครั้งนี้เป็นเจตนาของข้าเพียงคนเดียว แต่หากท่านแม่ทัพยอมยกพล ข้ารับประกันว่าพวกนางจะเลือกสนับสนุนท่านแม่ทัพ”
ลู่ช่านถอนหายใจยาว กล่าวตอบว่า “เจ้าตำหนักเหวย ข้าทราบว่าวันนี้ท่านมาด้วยใจจริง แต่ผู้แซ่ลู่เป็นขุนนางแห่งหนานฉู่ มิมีวันทำเรื่องมิภักดีต่อเจ้าแผ่นดินเช่นนั้นเป็นอันขาด ดังนั้นข้าจะไม่เคลื่อนทหาร ความหวังดีของท่านข้ารับรู้แล้ว ข้าจะไม่แพร่งพรายเรื่องในวันนี้ออกไป ท่านไปเสียเถิด”
เหวยอิงตอบอย่างผิดหวัง “ท่านเข้าใจหรือไม่ว่าหากวันนี้ประนีประนอม จะไม่มีโอกาสเหยียบย่ำแผ่นดินของต้ายงอีกต่อไปแล้ว”
ลู่ช่านเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “มิว่าอนาคตเป็นเช่นไร ผู้แซ่ลู่ก็มิอาจกระทำการมิภักดีเนรคุณได้ หากผู้เป็นขุนนางต่างขัดราชโองการนำทหารมาข่มกันหมด เช่นนั้นอำนาจของราชสำนักจะอยู่ที่ใด หากผู้แซ่ลู่กระทำเรื่องเช่นนี้ นับจากวันนี้ กฎราชสำนักของหนานฉู่คงเสื่อมความศักดิ์สิทธิ์ หากจะกลายเป็นเช่นนั้น ลู่ช่านขอยอมลำบากตรากตรำทำศึกกับต้ายงเพื่อปกป้องแผ่นดินที่เหลือครึ่งหนึ่งฝั่งเจียงหนาน”
เหวยอิงถอนหายใจ “ท่านภักดีอย่างโง่เขลาเช่นนี้ จะเป็นคู่ต่อสู้ของเจียงเจ๋อได้เช่นไร เอาเถิด ข้าตาบอดเองที่คิดว่าท่านจะเป็นนายที่ฝากชีวิตไว้ได้ ในเมื่อท่านตัดสินใจแล้ว ข้าก็มิมีคำใดจะกล่าว เพียงแต่นับจากวันนี้ไป ข้าอาจต้องล่วงเกินอีกมาก ขอท่านแม่ทัพโปรดเข้าใจ”
จิตสังหารโชนฉายออกมาจากดวงตาของลู่ช่าน เขาเอ่ยอย่างมีโทสะ “ข้าทราบว่าท่านคิดจะเปลี่ยนไปควบคุมอัครมหาเสนาบดีซั่ง แม้อัครมหาเสนาบดีซั่งมิเจนจบกลศึก แต่การขับเคี่ยวด้วยเล่ห์เหลี่ยมกลอุบาย ไม่แน่ว่าท่านจะใช่คู่ต่อกรของเขา มิว่าเช่นไร หากท่านทำเกินไปก็จงอย่าลืมว่าในมือข้ายังมีกองทัพใหญ่อยู่”
เหวยอิงถอนหายใจแผ่วเบา กล่าวว่า “หากข้าควบคุมสำนักเฟิงอี้อยู่คงกำจัดซั่งเหวยจวิน ให้ท่านควบคุมราชสำนักได้ น่าเสียดายเรื่องนี้ข้าไร้กำลัง ช่างเถิด โชคชะตาของผู้แซ่เหวยคงถูกกำหนดมาเช่นนี้ มิมีโอกาสช่วยกองทัพหนานฉู่ของท่านบุกตีฉางอัน” สิ้นคำ เหวยอิงก็หมุนตัวเดินออกไป ลู่ช่านอยากจะส่งเสียงเรียกเขา แต่สุดท้ายก็มิได้เอ่ยปาก ในเมื่อเขามิอาจกระทำการมิภักดีเนรคุณได้ ถ้าเช่นนั้นการแตกหักกับเหวยอิงก็เป็นเรื่องที่ต้องเกิด
ลู่ช่านถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเบา “แม้นร่างแหลกสลายเป็นผุยผง ผู้แซ่ลู่ก็จักพิทักษ์มาตุภูมิอันงดงามไว้ ทว่าเรื่องเช่นการก่อกบฏ ผู้แซ่ลู่ถึงตายก็มิมีวันทำ หากท่านเจียงอยู่ที่นี่คงต้องหัวเราะเยาะที่ข้าคร่ำครึเกินไปเป็นแน่ วันวานยามร่ำเรียนกับเขา ท่านอาจารย์ก็เคยหัวเราะเยาะมาแล้ว เฮ้อ สุดท้ายข้าก็มิอาจทำตัวอิสระเสรีได้เฉกเช่นท่านอาจารย์”
เหวยอิงก้าวออกจากค่ายใหญ่ของลู่ช่านแล้วเดินเลื่อนลอยอยู่เป็นเวลานาน ผ่านไปพักใหญ่กว่าจะฟื้นสติกลับมาจากความผิดหวังและหัวใจอันหนาวเหน็บได้อย่างสมบูรณ์ เขาเป็นบุตรของอัครมหาเสนาบดี ทั้งยังเคยเป็นขุนนางชั้นสูง ความสามารถทางกลศึกของเหวยอิงมิใช่ตื้นเขิน
ใต้หล้าในยามนี้ ต้ายงกำลังทหารแข็งแกร่ง หนานฉู่กับเป่ยฮั่นไร้กำลังต่อกร ยามนี้เป็นโอกาสเพียงหนเดียวที่เหนือใต้จะกระหนาบโจมตี ลดทอนกำลังของต้ายง ขอเพียงต้ายงสูญเสียสาหัส ต่อให้ทำลายต้ายงให้สิ้นซากในทันทีมิได้ ต้ายงก็ไม่มีกำลังรวบรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งอีกต่อไป หากใต้หล้ารวมเป็นหนึ่ง ถ้าเช่นนั้นความแค้นของตนย่อมยากจะชำระ
หลิงอวี่ จี้เสีย เยี่ยนอู๋ซวง คนเหล่านี้แม้เข้าใจการศึกและการปกครองอยู่บ้าง แต่สายตาตื้นเขิน คิดแต่เพียงจะให้หนานฉู่ตั้งมั่นอยู่ฝั่งเจียงหนาน ในความคิดของพวกนาง หากต้ายงต้องการกำจัดเป่ยฮั่น กลืนแผ่นดินและประชนชนของพวกเขา ไม่มีเวลาสิบกว่าปีย่อมทำมิได้
แม้หนานฉู่จะมีความอ่อนแอซ่อนอยู่ แต่ถึงอย่างไรก็ครอบครองแผ่นดินครึ่งหนึ่งเอาไว้ ขอเพียงปกป้องฉางเจียงไว้ได้ ย่อมไม่กลัวต้ายงเหยียบย่างลงใต้ ดังนั้นพวกนางจึงยอมใช้เล่ห์กลสารพัดขัดขวางการรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งของต้ายง แต่มิกล้าต่อสู้ซึ่งหน้า ด้วยกลัวว่าต้ายงจะยกพลมาหนานฉู่เสียก่อน
ในความคิดของพวกนาง ชะลอเวลาได้สิบปีย่อมเพียงพอให้หนานฉู่สั่งสมกำลังขึ้นใหม่แล้ว อย่างน้อยก็รับประกันได้ว่าภายในเวลาหลายสิบปีจะอยู่อย่างสงบสุข สำหรับพวกนางแล้ว ความแค้นของเจ้าสำนักเฟิงอี้เป็นเพียงเรื่องไม่สำคัญในอดีต ขอเพียงตนเองมีเกียรติยศและความมั่งคั่ง พวกนางก็มิยินดีจะสละชีวิตเพื่อแก้แค้น ยามนี้สิ่งที่พวกนางปรารถนามากที่สุดก็คือการควบคุมราชสำนักหนานฉู่อยู่เบื้องหลังเหมือนเช่นอดีตยามอยู่ต้ายง การที่สองแคว้นทำศึกกันย่อมไม่ดีต่อผลประโยชน์ของพวกนาง
สตรีโง่เขลาสายตาตื้นเขินพวกนี้ ตนเองมาอยู่รวมกับพวกนางได้อย่างไรกัน ระหว่างที่นึกชิงชังหนักหนา ทันใดนั้นเหวยอิงก็ได้สติ เขาทิ้งความขุ่นเคืองอันไร้ประโยชน์อย่างฉับไว ในเมื่อมิอาจใช้ลู่ช่านยกทัพไปต้ายงได้ ถ้าเช่นนั้นตนก็ต้องหยิบยืมกำลังของสำนักเฟิงอี้ คิดหาวิธีควบคุมราชสำนักหนานฉู่ หลังจากนั้นค่อยรวบรวมกำลังทั้งหมดชำระแค้นกับต้ายง แก้แค้นเจียงเจ๋อ เพื่อเป้าหมายประการนี้ ตนยินยอมแลกทุกสิ่ง ใบหน้าฉายแววเด็ดเดี่ยว เหวยอิงเร่งความเร็วฝีเท้า เขามิอาจสิ้นเปลืองเวลาได้อีกต่อไป