บทที่ 594 หยิ่งผยอง! (2)
บนท้องถนนที่เงียบเชียบ
รถม้าของเซียวเหิงมิได้ไปทางกรมราชทัณฑ์ แต่เขากำลังไปทางฝั่งตะวันออกของเมือง
สารถีของเขาคือหนึ่งในองครักษ์ของจวนองค์หญิง
ด้วยความที่องครักษ์มักมีสัญชาติญาณที่ไวกว่าคนทั่วไป ขณะที่พวกเขากำลังเลี้ยวรถ ใบหูทั้งสองขององครักษ์ก็เกิดขยับขึ้นเล็กน้อย “ใต้เท้าเซียว มีคนตามหลังพวกเราอยู่ขอรับ!”
“อย่าหยุดรถเป็นอันขาด เดินหน้าต่อไปเต็มกำลัง!” เซียวเหิงออกคำสั่ง
“ขอรับ!” สิ้นเสียงสั่ง องครักษ์รีบกระชับบังเหียนให้แน่นก่อนจะสะบัดเต็มแรงจนรถม้าพุ่งทะยานท่ามกลางความมืดมิด
สีหน้าของเซียวเหิงเองก็เริ่มดูระแวงมากขึ้น
องครักษ์เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “แย่แล้วใต้เท้า! มีกลุ่มคนรอดักทั้งทางทิศเหนือและทิศใต้! จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว! พวกเราถูกล้อมแล้วขอรับ!”
“วิ่งชนมันเลย!” เซียวเหิงกำหมัดแน่น
องครักษ์เองก็กัดฟันแน่น “ขอรับ!”
ต้องยกความดีความชอบให้องค์หญิงซิ่นหยางผู้เป็นเจ้าของม้าตัวเก่งตัวนี้ เพราะตอนนี้มันกำลังเร่งความเร็วจนถึงขีดสุดชนิดว่าไม่มีใครเข้ามาหยุดพวกเขาได้
“เลี้ยวซ้าย!” เซียวเหิงร้องตะโกนลั่น
องครักษ์รีบเอามือดึงบังเหียนแน่นจนรถม้าเลี้ยวเข้าไปในตรอกแห่งหนึ่ง
หลังจากพวกเขาเลี้ยวเข้าไปได้เพียงแค่อึดใจเดียว ถนนเส้นเมื่อครู่นี้พลันปรากฏกลุ่มคนและม้าขึ้นทั้งจากทางหัวและทางท้ายถนน หากไม่ได้ตรอกนี้พวกเขาคงถูกล้อมไปไหนไม่ได้
“เลี้ยวขวา!”
“กลับรถ!”
“ตรงไป!”
“เลี้ยวซ้าย!”
เซียวเหิงอาศัยความเป็นเจ้าถิ่นสามารถหลบฝูงคนที่กำลังไล่ตามมาได้สำเร็จ
แต่ถึงอย่างนั้น เขายังคงต้องพ่ายแพ้ในท้ายที่สุดเมื่อเผชิญกับการล้อมทั่วทั้งเมือง
ไม่นานหลังจากเข้าสู่เขตชานเมือง รถม้าของเซียวเหิงก็ถูกล้อมบนเส้นทางรกร้าง
ทั้งสองด้านของเส้นทางนี้มีแนวสันเขา มีหุบเขาข้างหน้า และพื้นที่เปิดโล่งขนาดใหญ่ด้านหลัง หุบเขาและพื้นที่เปิดโล่งเต็มไปด้วยฝูงคนที่กำลังไล่ตามหลัง เว้นแต่ว่าเซียวเหิงจะวิ่งเข้าไปในทุ่งนาตรงสันเขา แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่สามารถหลบหนีได้
รถม้าวิ่งในนาไม่ได้
ต่อให้เขาหนีไปคนเดียวก็คงไม่พ้นอยู่ดี
เบื้องหน้านั้นคือกลุ่มทหารที่ไล่ตามเขาโดยอ้อมมาจากถนนอีกเส้นหนึ่ง โดยผู้นำกลุ่มคือราชครูจวงที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมใหญ่
ในเมื่อเรื่องราวเดินมาถึงขั้นนี้ ราชครูจวงเองก็เหนื่อยหน่ายที่จะปกปิดตัวตนที่แท้จริงต่อ เขาถอดหมวกไม้ไผ่ออก แล้วมองไปที่รถม้าของเซียวเหิง “เซียวเหิงเอ๋ยเซียวเหิง เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นคนเดียวที่คุ้นเคยกับถนนหนทางของเมืองหลวงหรืออย่างไร”
ที่เขาเรียกชื่อเซียวเหิงได้อย่างเต็มปาก นั่นก็แปลว่าเขารู้ตัวตนที่แท้จริงของเซียวเหิงแล้ว
เซียวเหิงยกม่านขึ้นอย่างเย็นชา ก่อนจะจ้องไปที่ร่างสูงใหญ่ของราชครูจวงบนหลังม้า “ราชครูจวง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะขอรับ”
“เจ้ากับข้าคงไม่ต้องพูดอะไรที่ต้องเกรงใจกันแล้วกระมัง เหตุผลที่ข้ามาในวันนี้นั้นง่ายแสนง่าย”
“อ๋อ ข้าขอเดานะ ท่านจะมากำจัดข้า หรือจะจับข้าไปล่ะขอรับ”
“จับก่อน แล้วค่อยฆ่าทิ้ง”
เซียวเหิงหันไปมองหน้าต่างด้านหลังรถม้า
ราชครูจวงถึงกับโพล่งหัวเราะออกมา “ไม่ต้องชะเง้อดูหรอก พวกเขามากันแล้ว เจ้าหนีไปไหนก็ไม่พ้นอยู่ดี”
เบื้องหลังปรากฏองครักษ์หลงอิ่งจากแคว้นเยี่ยนหลายร้อยคน พวกเขาไม่ได้สวมหน้ากากเหมือนองครักษ์หลงอิ่งของที่นี่ แต่สวมเสื้อคลุมสีดำพร้อมหมวกคลุมใบหน้า
นำทัพโดยชายวัยกลางคนที่รูปร่างแลดูกำยำพร้อมกับสวมเสื้อผ้าที่ไม่เหมือนคนอื่น
ถ้าให้เดาเขาคนนั้นคงจะเป็นนายพลหนานกง
“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังวางแผนอะไรอยู่ เจ้ารู้อยู่แต่แรกแล้วว่าแผนการขององค์หญิงจะรั่วไหล เจ้ารู้ว่าคนของแคว้นเยี่ยนจะต้องหาจังหวะบุกเข้ามา และเจ้ารู้ว่าข้าคือคนที่ช่วยเหลือพวกเขา ก็เลยคิดจะขุดบ่อล่อเหยื่อสินะ ถนนเส้นนี้มุ่งหน้าไปยังค่ายทหารหลางซาน เจ้าคิดจะล่อพวกเราให้ไปยังเขตของกองทัพตระกูลกู้ ทว่ากู้ฉังชิงไม่อยู่ที่นั่น ส่วนเหล่าโหวยังคงพักรักษาตัวที่จวน ให้ข้าเดานะ ที่ค่ายทหารยังมีบุตรชายคนรองของตระกูลกู้รออยู่สิท่า! น่าเสียดายที่เจ้าไปไม่ถึงที่นั่น เพราะถูกพวกเราดักไว้เสียก่อน หากถึงเวลานัดพวกเขาเห็นว่าเจ้ายังไปไม่ถึงที่นั่น กู้เฉิงเฟิงก็จะต้องออกตามหาเจ้า แต่เจ้าลองคิดสิว่า เขาจะหาเจ้าเจอได้อย่างไร”
เซียวเหิงกำหมัดแน่นพร้อมกับเอ่ยขึ้น “กลับใจตอนนี้ยังทันนะท่านราชครูจวง”
ราชครูจวงเปล่งเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ข้าทายถูกใช่ไหมล่ะ เช่นนั้นข้าขอเดาต่อแล้วกัน ตรงสันเขานั่นมีกลไกกับดักตั้งไว้อยู่ ต่อให้พวกกองทัพตระกูลกู้ตามมาไม่ทัน อย่างน้อยจำนวนของพวกเราอาจลดน้อยลงไปบ้างเพราะถูกกับดักเล่นงานสินะ”
สีหน้าของเซียวเหิงเริ่มเปลี่ยน
ราชครูจวงที่เห็นสีหน้าของเขาก็รู้ในทันทีว่าเดาถูกทุกอย่าง จึงโพล่งหัวเราะออกมาพร้อมกับเอ่ยขึ้น “เซียวเหิงเอ๋ยเซียวเหิง ข้าต้องขอพูดเลยนะว่าแผนของเจ้ามันช่างสมบูรณ์แบบยิ่งนัก! เจ้ารู้จักวางแผนได้ดียิ่งกว่าจวงอวี้เหิงหลานของข้าเสียอีก! ข้ายังเคยคิดเลยว่าจะปั้นเจ้าขึ้นมาอย่างดี หากเจ้ามิได้เป็นปรปักษ์กับข้า! แต่น่าเสียดาย เจ้าดันเกิดมาเป็นลูกของเซวียนผิงโหว ถูกกำหนดให้เป็นเสี้ยนหนามของข้า! ว่าอย่างไรล่ะ ความรู้สึกที่ว่ายิ่งขึ้นที่สูง ศัตรูยิ่งกล้าแกร่ง มันเป็นอย่างไร”
เซียวเหิงพอฟังจบก็ยิ่งกำหมดแน่น
“พวกเจ้าไปตรวจสอบตรงบริเวณสันเขา” นายพลหนานกงสั่งการองครักษ์หลงอิ่งสิบนาย
“ขอรับ!”
องครักษ์หลงอิ่งสิบคนควบม้ามุ่งหน้าไปยังบริเวณสันเขา พอพวกเขาไปถึง ก็พบว่าทุกอย่างเป็นปกติ แต่อาจเป็นเพราะพวกเขายังไม่คุ้นเคยกับพื้นที่ตรงนั้นเท่าไหร่นักจึงยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น
องครักษ์หลงอิ่งที่เป็นหัวหน้าลองเชิงด้วยการลงจากหลังม้า จากนั้นฟาดแส้เพื่อให้ม้าวิ่งพุ่งนำหน้าไปก่อน
กระนั้นก็ยังคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เขาจึงค่อยๆ เดินตามเข้าไป
องครักษ์หลงอิ่งอีกเก้าคนเตรียมจะเดินตามหลัง และขณะที่เขาเดินมาถึงบริเวณที่พ้นเขตสันเขาก็ดูเหมือนเจอกับอะไรบางอย่างจึงยกมือส่งสัญญาณให้คนที่เหลือหยุด
จากนั้นเขาคว้าเชือกออกมามัดก้อนหินที่แหลมออกมา
จากนั้นเขาเดินกลับมารวมตัวกับคนที่เหลือ เขาดึงเชือกนั้นมาตลอดทางจนก้อนหินนั้นร่วงหล่น ทันทีที่สิ้นเสียงสะท้อน ปรากฏก้อนหินขนาดยักษ์ตกลงไปในหุบเขา ตามมาด้วยกลุ่มลูกศรและหอกที่ปลิวว่อนในอากาศ เข็มเงินที่ซ่อนอยู่พุ่งออกมาอย่างท่วมท้น อาวุธทุกอย่างถูกปล่อยออกมาราวกับสายฟ้าแลบ!
หลังจากการเคลื่อนไหวอันรุนแรงนั้น ในที่สุดทางออกจากหุบเขาก็ถูกก้อนหินใหญ่ขวางไว้
หากพวกเขาไม่ได้สกัดกั้นเสี่ยวเหิงทันเวลาและปล่อยให้เซียวเหิงผ่านหุบเขาเพื่อกระตุ้นกลไก อย่างน้อยคนครึ่งกองทัพอาจติดอยู่ในกับดักนั้น
นายพลหนานกงถึงกับตัวสั่น
ราชครูจวงเยาะเย้ย “เป็นแผนที่ดี แต่ข้ายังคงยืนยันว่าเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ทัดเทียมของข้า!”
นายพลหนานกงเปล่งเสียงอันเย็นชาขึ้น “อย่ามัวแต่ต่อปากต่อคำอยู่เลย! รีบจับมันแล้วทำธุระให้เสร็จเสียที!”
“เซียวเหิง เจ้าจะยอมมอบตัวดีๆ หรือให้ข้าส่งคนไปลากคอเจ้ามา”
จากนั้นเซียวเหิงก็ลงจากรถม้า
ทันทีที่ราชครูจวงส่งสัญญาณมือ องครักษ์ของตระกูลจวงสองนายและองครักษ์หลงอิ่งแคว้นเยี่ยนหนึ่งนายก็พุ่งตรงไปยังรถม้าของเซียวเหิง
องครักษ์หลงอิ่งแคว้นเยี่ยนรีบเข้าไปทุบองครักษ์ของจวนองค์หญิงจนสลบในทันที
องครักษ์ตระกูลจวงคว้าร่างของเซียวเหิง และพาไปยังเบื้องหน้าของราชครูจวง
ขณะเดียวกัน นายพลหนานกงก็ได้ควบม้าเข้ามาใกล้ๆ และมองลงไปที่เซียวเหิง
ดวงตาของเขาหม่นแสงลงทีละน้อย ราวกับว่าเขากำลังมองเซียวเหิงหรือเห็นเซียวเหิงเป็นใครสักคน
“เจ้าคือนายพลหนานกงสินะ” เซียวเหิงเอ่ยพร้อมกับเงยหน้ามองด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
แม่ทัพแห่งอาณาจักรใหญ่มีอำนาจที่เหนือกว่าอำมาตย์เก่าแก่ของแคว้นเจาเสียด้วยซ้ำ แต่กลับถูกชายหนุ่มวัยสิบเก้าปีคนนี้จ้องมองด้วยสายตาหยามเหยียด
นายพลหนานกงยิ้มมุมปากหนึ่งที ก่อนโพล่งขึ้น “กล้าหาญดีนี่ ตัดนิ้วมัน!”
ถึงกระนั้น แววตาของเซียวเหิงยังคงเหมือนเดิม
องครักษ์หลงอิ่งนายหนึ่งเดินเข้ามาคว้ามือซ้ายของเซียวเหิง
ราชครูจวงเอ่ยขึ้น “ช้าก่อน ตัดนิ้วขวาของมัน!”
เซียวเหิงถึงกับหันมาจ้องราชครูจวงอย่างคับแค้น
ระหว่างที่องครักษ์หลงอิ่งควักกริชออกมาเตรียมจะตัดนิ้วของเขา จู่ๆ เสียงเกือกม้าวิ่งดังขึ้นจากไม่ใกล้ไม่ไกล
“ช้าก่อน อย่าเพิ่งขยับอาวุธของเจ้า”
องครักษ์หลงอิ่งชะงักกริชในมือ
ราชครูจวงและนายพลหนานกงมองไปรอบๆ พร้อมกัน พวกเขากลับเห็นแต่ขันทีฉินกำลังขี่ม้ามาอย่างรวดเร็ว
“ผู้ใดกัน” นายพลหนานกงขมวดคิ้วแน่น
………………………………………………………………