ตอนที่ 1469 สามโลกชั้นกลาง (2) / ตอนที่ 1470 สามโลกชั้นกลาง (3)
ตอนที่ 1469 สามโลกชั้นกลาง (2)
งานชุมนุมเทพยุทธ์จะจัดขึ้นที่ยอดเขาฝูเหยา ล้อรถม้าเคลื่อนที่ไปและส่งเสียงดังกึกก้องไปตลอดทาง เมื่อพวกเขามาถึงเชิงเขา รถม้าต้องหยุดที่นั่น ผู้โดยสารจะต้องเดินเท้าขึ้นไป
จวินอู๋เสียเดินตามผู้เยาว์กลุ่มเล็กๆ และหยุดอยู่ที่เชิงเขาพร้อมกับพวกเขา ทุกคนต่างแบกสัมภาระทั้งใหญ่และเล็กไว้บนตัว ดูเด่นมาก เห็นได้ชัดว่าผู้เยาว์พวกนี้มาจากหมู่บ้านเล็กๆ ที่ห่างไกล เสื้อผ้าของพวกเขาเรียบง่าย เมื่อก่อนก็ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่พออยู่ที่เชิงเขาฝูเหยา มองดูคนอื่นๆ ที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแต่งตัวหรูหราด้วยผ้าหรือไม่และผ้าซาตินเนื้อดี ผู้เยาว์กลุ่มนี้ก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
แน่นอนว่าคนที่รู้สึกไม่สบายใจพวกนั้น ไม่ได้รวมถึงจวินอู๋เสีย
จวินอู๋เสียอุ้มเจ้าแมวดำลงจากรถม้า การแต่งกายของนางธรรมดาสามัญมาก ใบหน้าของนางหลังแปลงโฉมแล้วก็เป็นแค่ผู้เยาว์คนหนึ่งที่จะถูกมองข้ามทันทีเมื่ออยู่ท่ามกลางฝูงชน
ภูเขาฝูเหยา เรียกว่าภูเขาก็จริง แต่พื้นที่ของมันกว้างใหญ่มาก พืชพันธุ์ตามลำธารบนภูเขาได้รับการกล่าวขานว่ามีพลังวิญญาณอยู่ในระดับที่หนาแน่น
ตอนที่จวินอู๋เสียมาถึงสามโลกชั้นกลาง นางก็ค้นพบทันทีว่าพลังวิญญาณในอากาศที่นี่หนาแน่นกว่าในสามโลกเบื้องล่าง ไม่ว่าจะเป็นแหล่งน้ำหรืออาหาร พลังวิญญาณที่อยู่ในนั้นก็สูงกว่าในสามโลกเบื้องล่างหลายเท่า ผู้คนในสามโลกชั้นกลางเติบโตและได้รับการฝึกฝนตั้งแต่ยังเด็กภายใต้สภาวะที่มีพลังวิญญาณอยู่มากมายเช่นนี้ ดังนั้นรากฐานของพวกเขาจึงเหนือกว่าคนในสามโลกเบื้องล่างมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับคนอย่างนางที่มีภูติวิญญาณประเภทพฤกษา พวกนางสามารถสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่อยู่รอบตัวอย่างชัดเจนมากขึ้น แม้ว่านางจะทะลวงเข้าสู่ขั้นพลังวิญญาณขั้นสีม่วงแล้ว แต่เมื่อก้าวเข้าสู่สามโลกชั้นกลาง จวินอู๋เสียก็ค้นพบว่าต่อให้นางไม่ได้ตั้งใจฝึกฝนพลังของนาง แต่นางก็ยังสามารถเพิ่มพลังได้อย่างดีเยี่ยม
“น้องเสีย อีกเดี๋ยวพวกเราจะเริ่มขึ้นเขากัน ว่ากันว่าระยะทางจากเชิงเขาถึงยอดเขาน่ะไกลมากเลย เจ้าขึ้นไปมือเปล่าแบบนี้จะดีหรือ อย่างน้อยก็เตรียมอะไรไปสักหน่อยหรือไม่” สหายร่วมทางของนางเตรียมตัวพร้อมแล้วและกำลังจะออกเดินทาง หนึ่งในนั้นสังเกตเห็นว่าจวินอู๋เสียไม่ได้แบกอะไรเลยนอกจากแมวดำตัวเล็กๆ จึงอดถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้
พวกเขารู้แค่ว่า ‘เด็กชาย’ ตัวเล็กตรงหน้าชื่อว่าน้องเสีย จู่ๆ เขาก็ปรากฏตัวขึ้นที่หมู่บ้านของพวกเขาเมื่อไม่นานมานี้ ส่วนเรื่องที่เขามาจากไหน ไม่มีใครรู้เลยสักคน
จวินอู๋เสียส่ายหน้า
เด็กหนุ่มเกาหัวและรู้สึกจนปัญญา ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี จากนั้นผู้เยาว์อีกคนก็ดึงแขนเสื้อเขาและกระซิบว่า “ทำไมเจ้าจุ้นจ้านแบบนี้ ถ้าเขาไม่อยากเตรียมอะไรก็ปล่อยเขาไปสิ จะต้องไปกังวลอะไรด้วย”
เมื่อได้ยินเสียงกระซิบ ผู้เยาว์คนอื่นๆ อีกหลายคนก็พยักหน้าเห็นด้วย พวกเขาไม่ได้กีดกันจวินอู๋เสียออกจากกลุ่ม แต่แค่จวินอู๋เสียแทบไม่พูดกับพวกเขาเลย ตลอดการเดินทางอันยาวนาน นางเปิดปากพูดไม่ถึงสิบครั้งด้วยซ้ำ เจอกับสหายร่วมทางที่เย็นชาแบบนี้ ผู้เยาว์กลุ่มนี้จึงไม่สามารถทำตัวเองให้ชอบผู้เยาว์ตัวเล็กคนนี้ได้
“ข้าแค่รู้สึกว่าเขาดูน่าสงสารก็แค่นั้น มารดาของข้าบอกข้าเสมอว่า เราทุกคนเกิดมาจากแผ่นดินเดียวกัน และมันจะดีมากหากเราสามารถดูแลกันและกันได้”
“เขาน่าสงสารตรงไหน เห็นชัดๆ เลยว่าเขาไม่สนใจพวกเราด้วยซ้ำ เราไม่ควรยื่นจมูกไปยุ่งกับเรื่องของเขา” ผู้เยาว์คนอื่นๆ พูดพลางลากตัวสหายตัวใหญ่ใจดีออกไป ทิ้งจวินอู๋เสียให้ยืนมองฝูงชนที่หนาแน่นอยู่ตรงนั้นเพียงคนเดียว
จวินอู๋เสียเงยหน้าขึ้นมองภูเขาสีเขียวตรงหน้านาง ภูเขาฝูเหยาเต็มไปด้วยพลังวิญญาณมากมายมหาศาลกว่าที่อื่นๆ ในใจของนางนึกถึงทุกสิ่งที่เฟยเยียนได้สอนนางเอาไว้เกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ของสามโลกชั้นกลาง
ตอนที่พวกเฟยเยียนอยู่ในสามโลกชั้นกลางนั้น พวกเขายังเล็กมาก ทุกอย่างที่พวกเขารู้เกี่ยวกับสถานที่ต่างๆ เป็นเพียงสิ่งที่พวกเขาได้ฟังมาจากคนอื่น ไม่เคยไปด้วยตัวเอง นางได้รับการบอกเล่าว่า ภูเขาฝูเหยาได้รับการกล่าวขานว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในสามโลกชั้นกลาง
เนื่องจากภูเขาฝูเหยาเต็มไปด้วยพลังวิญญาณจำนวนมาก จึงเป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการฝึกฝน แต่เนื่องจากภูเขาเคยเป็นของดินแดนเทพมาร จึงมีเพียงผู้ที่ได้รับอนุญาตจากดินแดนเทพมารเท่านั้นที่จะเข้าไปฝึกฝนในภูเขาได้
ตอนที่ 1470 สามโลกชั้นกลาง (3)
หลังจากดินแดนเทพมารถอนตัวไปอยู่อย่างสันโดษ สถานที่นี้ก็ถูกแบ่งให้อยู่ใต้อำนาจของเก้าวังและสิบสองตำหนัก
ภูเขาฝูเหยา นอกจากจะเป็นที่จัดงานชุมนุมเทพยุทธ์ทุกๆ สิบปี บนภูเขายังมีสำนักศึกษาที่มีเอกลักษณ์มากอยู่หนึ่งแห่ง สำนักศึกษาแห่งนี้สิบสองตำหนักและเก้าวังได้ร่วมกันก่อตั้งขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อให้พวกเขาพัฒนาสมาชิกที่มีพรสวรรค์ได้สะดวกยิ่งขึ้น การจะเข้าสู่สำนักศึกษานี้ได้มีข้อกำหนดเพียงอย่างเดียว นั่นคือจะต้องได้รับคำเชิญจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในเก้าวังหรือสิบสองตำหนัก
โดยรวมแล้วสำนักศึกษาแห่งนี้ถูกมองว่ามีไว้เพื่อให้เก้าวังและสิบสองตำหนักหาผู้ที่มีพรสวรรค์เพิ่มขึ้นเท่านั้น โดยใช้งานชุมนุมเทพยุทธ์เป็นแหล่งให้พวกเขาค้นพบผู้มีพรสวรรค์เพิ่มนั่นเอง
นั่นคือเหตุผลที่ผู้คนจำนวนมากทั่วทั้งสามโลกชั้นกลางเค้นสมองหาวิธีอย่างหนักเพื่อมาแสดงตัวที่งานชุมนุมเทพยุทธ์นี้สักครั้ง
จวินอู๋เสียละสายตาออกมา ตอนอยู่ที่เมืองชิงเฟิง นางได้ต่อสู้กับผู้อาวุโสแห่งตำหนักเปลวเพลิงปีศาจ แล้วนางก็เอาชนะเขาได้อย่างง่ายดาย แต่จวินอู๋เย่าบอกกับนางว่านางยังคงห่างชั้นกับเหล่าจ้าวตำหนักของสิบสองตำหนัก ภูเขาฝูเหยาเป็นสถานที่ที่เอื้อให้นางฝึกฝนพลังได้อย่างมาก ถ้าทำได้นางก็ไม่รังเกียจที่จะใช้ช่วงเวลานี้ฝึกฝนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น!
สิบสองตำหนักและเก้าวังมีเกณฑ์ที่เข้มงวดอย่างมากในการรับสมาชิก แม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้ชนะในงานชุนนุมเทพยุทธ์ แต่พวกเขาก็ยังต้องฝึกฝนอยู่บนภูเขาฝูเหยาเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อนที่จะได้รับการพิจารณาให้เป็นหนึ่งในสมาชิกของพวกเขา
จุดประสงค์ของจวินอู๋เสียในการมาที่นี่ครั้งนี้นั้นง่ายมาก นางได้จัดการให้เฉียวฉู่และพรรคพวกคนอื่นๆ ถูกส่งมาที่นี่เพื่อให้ได้อันดับในงานชุมนุมเทพยุทธ์ด้วย ระดับพลังของพวกเขาในตอนนี้นั้น การจะโดดเด่นในงานชุมนุมเทพยุทธ์ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไปสำหรับพวกเขา และเมื่อมีใครก็ตามจากสิบสองตำหนักยื่นไมตรีให้พวกเขา พวกเขาก็จะยอมรับข้อเสนอเพื่อที่จะได้แทรกซึมเข้าไปข้างใน
จากนั้นพวกเขาก็จะกลายเป็นตะปูปลิดวิญญาณที่จวินอู๋เสียได้ตอกเข้าไปในสิบสองตำหนัก!
สำหรับตัวนางเอง จวินอู๋เสียไม่ได้ต่อต้านความคิดที่นางจะเล่นสนุกกับคนจากสิบสองตำหนัก แต่น่าเสียดายที่นางมีภูติวิญญาณที่ไม่เหมือนใคร และไม่รับประกันว่าจะมีคนจากสิบสองตำหนักค้นพบว่านางครอบครองภูติวิญญาณประเภทพฤกษาหรือเปล่า ดังนั้นนางจึงตัดสินใจว่านางจะคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังชั่วคราว ให้พวกเขาได้เฝ้าสังเกตกลุ่มอำนาจต่างๆ ในสามโลกชั้นกลางก่อนจะตัดสินใจในขั้นต่อไป
ร่างของจวินอู๋เสียหายไปในฝูงชนอย่างเงียบๆ เดินผ่านฝูงชนที่คลาคล่ำเข้าไปในป่าที่ยากต่อการเดินทาง
เมื่อพ้นจากสายตาของคนอื่น ร่างของจวินอู๋เสียก็กลายเป็นเส้นแสงสีม่วงพุ่งผ่านด้านข้างของภูเขาฝูเหยาไปอย่างรวดเร็ว!
หากนางต้องพึ่งพาขาของนางเพียงอย่างเดียวในการขึ้นไปสู่ยอดเขา คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งวันเต็มๆ แต่จวินอู๋เสียใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็ขึ้นเขาไปได้ครึ่งทางแล้ว
เมื่อเทียบกับพลังวิญญาณที่เชิงเขา ที่นี่หนาแน่นกว่ามาก จวินอู๋เสียหยุดอยู่กลางป่าทึบเพื่อสัมผัสถึงอากาศบริสุทธิ์ภายในป่าบนภูเขา
ทันใดนั้น กลิ่นไหม้ก็ลอยมาจากระยะใกล้ จวินอู๋เสียหันไปมองหาที่มาของกลิ่นทันที พร้อมกับเดินเข้าไปหามัน
ภายในภูเขาเขียวขจี ลำธารเล็กๆ ไหลผ่านต้นไม้ที่ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นลงมาตามไหล่เขาอย่างช้าๆ ที่ด้านข้างของลำธารที่มีน้ำใสแจ๋วราวกับผลึก จวินอู๋เสียมองเห็นร่างเล็กๆ ที่ดูโมโหฉุนเฉียวนั่งยองๆ อยู่บนพื้นหญ้า มีกองหญ้าเหี่ยวๆ ที่กลายเป็นสีดำอยู่ที่เท้าของเขา
“อ๊ากกกกกก! ทำไมมันยังไม่ได้อีก!” เสียงร้องอย่างโกรธเคืองดังขึ้นจากที่นั่น จวินอู๋เสียเห็นว่านั่นคือชายชราตัวเล็กที่อายุเกินห้าสิบปีแล้ว เขาหลังงอ ตัวผอม มองแวบแรกอาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเด็กอายุประมาณสิบขวบได้ แต่หนวดเคราที่ยาวเฟื้อยและใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยได้บ่งบอกอายุของเขา
ชายชราตัวเล็กถือไม้เท้าไว้ในมือข้างหนึ่ง ขณะที่จ้องมองไปที่กองหญ้าเหี่ยวๆ ซึ่งกลายเป็นสีดำอย่างสิ้นหวัง เขามองมันอยู่นานก่อนจะก้มหน้าและหันไปรอบๆ พร้อมกับถอนหายใจยาว จากนั้นก็ดึงเอาสมุนไพรกอใหญ่ขึ้นมาจากตะกร้าใบใหญ่ที่อยู่ด้านข้าง